เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 518 เพียงสบตาราวหมื่นปีผ่านพ้น
บทที่ 518 เพียงสบตาราวหมื่นปีผ่านพ้น
อวี๋เซี่ยงตงพูดพลางอมยิ้มมุมปากขณะหันไปมองข้างหน้า
เขาไม่ต้องการให้ใครมารู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา และไม่ต้องการเห็นสายตาเวทนาของใคร ความเสียใจเพียงอย่างเดียวคือชั่วชีวิตเขาไม่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับโจวจินหนานได้อีกแล้ว
เขาไม่เคยคิดว่าโจวจินหนานจะดีกว่าตนเอง ถึงกระนั้นเขาก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับโจวจินหนาน
พวกเขาอาจจะเป็นคู่แข่งในด้านการทำงาน ทว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อใจกันมากจนกระทั่งสามารถหันหลังให้กันได้โดยไม่หวาดระแวง
ตอนที่โจวจินหนานตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่ฉินอิน เขาก็เสี่ยงที่จะถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริงมาก ดีที่ว่าเขารีบเปลี่ยนยาของเย่ฉินอิน ไม่เช่นนั้นตอนนี้โจวจินหนานคงจะตกอยู่ในกระบวนการล้างพิษที่แสบเจ็บปวด
และเขาคงจะไม่ถูกเปิดโปงจนตกอยู่ในชะตากรรมเช่นกัน
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเสียใจเลย หากเขาเลือกได้ เขาก็คงจะปกป้องโจวจินหนานโดยที่ไม่ลังเลอยู่ดี
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากให้โจวจินหนานรู้ความคิดดังกล่าว
“มีบุหรี่ไหม? ขอสักตัวสิ”
อวี๋เซี่ยงตงหันไปพูดด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ได้คำนึงถึงใบหน้าที่บึ้งตึงของโจวจินหนานแม้แต่น้อย
โจวจินหนานจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเข็นเขาไปข้างหน้าโดยที่ไม่พูดไม่จา
เข็นรถเขาไปในวิทยาเขตได้ครึ่งทางก็ตรงดิ่งไปที่หน่วยงานบริการของทางมหาวิทยาลัย
ภายในตู้กระจกเก่า ๆ บรรจุไปด้วยของใช้ประจำวันต่าง ๆ มีบุหรี่และใบยาสูบวางขายอยู่ที่หัวมุม อีกทั้งยังแบ่งขายบุหรี่ทีละมวนเช่นกัน
อย่ามองว่าเป็นนักศึกษาแล้วจะสูบบุหรี่หนึ่งซองภายในคราวเดียวไม่ได้
โจวจินหนานจอดรถเข็นของอวี๋เซี่ยงตงไว้ที่หน้าประตูทางเข้าหน่วยงานบริการ และเดินเข้าไปซื้อบุหรี่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักเที่ยง จึงมีนักศึกษาจำนวนมากแวะเวียนเข้ามนในหน่วยงานบริการ โจวจินหนานไม่ได้รีบร้อนนัก และต่อคิวอยู่ทางด้านหลังกลุ่มนักศึกษา
ซูช่านวิ่งเข้ามาซื้อขวดหมึกและรีบวิ่งออกไปอีกครั้ง ก่อนจะชำเลืองมองเห็นรถเข็นที่จอดอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้า
หล่อนละสายตาและเดินก้าวฉับ ๆ ออกไปอีกครั้ง แต่หลังจากก้าวขาออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ใครบางคนก็ผุดเข้ามาในความคิดจนต้องหันกลับไปมองและเดินเข้าไปหาอวี๋เซี่ยงตงด้วยความลังเล
แต่ก่อนที่หล่อนจะได้เข้าไปใกล้ หล่อนกลับเห็นชายร่างสูงเดินออกมาจากหน่วยงานบริการ เดินเอาบุหรี่ไปให้ชายคนที่อยู่บนรถเข็น ก้มไปจุดไฟให้อีกฝ่ายและจุดให้ตนเองอีกหนึ่งมวน
คนหนึ่งนั่ง ส่วนอีกคนยืนอยู่ ทั้งสองคนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่สีหน้ากลับดูจริงจัง
อวี๋เซี่ยงตงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นควันออกและถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ “ได้สูบบุหรี่กลางแดดนี่มันสบายจริง ๆ”
โจวจินหนานเคาะขี้บุหรี่เล็กน้อย “นายเลิกเด็ดขาดได้ยังไง?”
อวี๋เซี่ยงตงถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง “ก็อดทนเอา ฉันเป็นใคร? ขนาดขาหักยังไม่ร้องไห้สักแอะ ไม่ใช่เรื่องเลยจริง ๆ”
โจวจินหนานขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับเขาต่อ และตบไหล่เขาเบา ๆ “ขอบใจนะ”
อวี๋เซี่ยงตงหัวเราะเยาะ และไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาเช่นกัน
ทั้งสองสังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวยืนมมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล ทว่ากลับไม่ได้สนใจหล่อนมากนัก อาจเป็นเพราะดวงตาของหล่อนไม่ได้ดูดุร้าย พวกเขาจึงปล่อยหล่อนไป
……
สวี่ชิงกลับมาเข้าชั้นเรียนในช่วงบ่ายกว่า ซูช่านจองที่นั่งให้เธอก่อนหน้านี้และ ทั้งสองจึงมานั่งใกล้กันอีกครั้ง
ถึงกระนั้นสวี่ชิงกลับพบว่าอารมณ์ของเพื่อนร่วมชั้นในช่วงบ่ายผิดแปลกไปจากช่วงเช้า เดิมทีหล่อนดูค่อนข้างกระตือรือร้นและคอยพูดเจื้อยแจ้ว แต่ในช่วงบ่ายกลับตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง
ดูราวกับกำลังหลงทาง
สวี่ชิงไม่อยากถามอะไรอีกฝ่ายมากนัก เพราะพวกเธอเพิ่งรู้จักกัน
หลังเลิกเรียน ซูช่านหันกลับไปมองสวี่ชิง ดวงตารูปจันทร์เสี้ยวของหล่อนเปล่งประกายเป็นพิเศษ “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงมาเรียนแพทย์แผนจีน?”
สวี่ชิงครุ่นคิด “เพราะคุณปู่คุณเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งมากใช่ไหม?”
ซูช่านส่ายหัว “ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่เป็นเพราะว่าตอนเด็กฉันรู้จักเพื่อนบ้านคนหนึ่งต่างหาก เขาเอาแต่ทะเลาะกับคนอื่นทุกวัน จนเพื่อนบ้านในซอยไม่มีใครเล่นกับเขา พากันพูดว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี”
“ตอนฤดูหนาว เขาไปปิดปล่องไฟบ้านคนอื่น ฉีดใส่ถังเก็บน้ำบ้านคนอื่นบ้างล่ะ แถมยังเอามีดไปแทงล้อจักรยานของคนอื่นอีก”
สวี่ชิงเงียบ เพื่อนบ้านคนนี้เลวร้ายมากจริง ๆ
ซูช่านกระพริบตา “แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่คนไม่ดี เขาไปปิดปล่องไฟเพราะลูกสาวบ้านนั้นเรียกคุณปู่ฉันว่าไอ้แก่ตายยาก แล้วยังไม่ร้องเรียนเรื่องคุณปู่อีก ส่วนผู้ชายบ้านที่เขาไปฉี่ใส่ถังเก็บน้ำเคยเอาปัตตาเลี่ยนมาโกนผมฉันไปครึ่งหนึ่ง และยังโกนหัวคุณปู่ด้วย”
“ที่เขาเจาะยางรถจักรยานก็เพราะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนออกคำสั่ง แต่ว่าเขาเลวมาก เขาแอบจับเนื้อต้องตัวฉัน ทั้งที่ฉันอายุแปดขวบเอง…”
หัวใจของสวี่ชิงกระตุกรัว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยได้รับประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน แต่เธอกลับเคยเห็นมันด้วยตาตนเอง
ซูช่านกระพริบตาเบา ๆ “สองปีตอนนั้น พี่ใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านคอยปกป้องพวกเขาดีมาก ฉันไม่ถูกเด็กคนอื่นแกล้งอีกเลย ถึงเขาจะดูแย่แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนใจดีนะ เขาเป็นคนดีมาก ๆ เลยล่ะ”
“พอฉันอายุได้สิบขวบ พ่อแม่พยายามลากฉันกลับไปที่ปักกิ่ง แต่คุณปู่กลับออกมาจากตัวเมืองเอกไม่ได้ วันที่พ่อพาฉันไปขึ้นรถไฟที่สถานี คุณรีบวิ่งมายัดอาหารใส่กระเป๋าฉัน บอกฉันให้ตั้งใจเรียนจะได้โตมาเป็นคนเก่งเหมือนคุณปู่”
สิบสองปีผ่านไปในชั่วพริบตา ซูช่านยังคงจดจำพี่ใหญ่ที่เป็นเพื่อนข้างบ้านได้ดี ตอนนี้เขากลายมาเป็นหนุ่มวัยรุ่น สวมแจ็กเก็ตขนแกะสีแดง ด้านนอกใส่เสื้อคลุมสีเขียวทหารทับอีกที สะพายกระเป๋าลายทหารที่มีรอยเปื้อนน้ำมัน
เขาวิ่งขึ้นมาบนชานชาลา และมองหาเธอบนรถไฟทีขบวน
ในช่วงฤดูหนาวทางตอนเหนือ ถึงแม้ว่าวันนั้นเขาจะมีเหงื่ออก ทว่าควันสีขาวลอยกลับออกมาพร้อมกับลมหายใจอุ่น ๆ เขาส่งยิ้มและยืนขนมปังกรอบกับหมั่วโถวสองสามลูกให้เธอผ่านกระจกรถไฟ “ช่านช่าน เอาไว้กินระหว่างทางนะ คุณปู่ซูจะต้องไม่เป็นไร”
รถไฟแล่นออกไปไกล ทว่าเด็กชายคนนั้นคงยืนโบกมืออยู่ที่เดิม
สวี่ชิงเดาว่าเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้คงจะแก่กว่าซูช่านเพียงแค่ไม่กี่ปี
“แล้วเกิดอะไรขึ้น? พวกคุณยังติดต่อกันอยู่ไหมคะ?”
ซูช่านส่ายหัว “คุณปู่เสียชีวิตลงหลังจากฉันกลับมาที่ปักกิ่งได้แค่สองปี และฉันไม่ได้ออกไปไหนอีก เลยขาดการติดต่อกันไป”
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซูช่านกลับมากวาดหลุมศพของคุณปู่พร้อมกับพ่อ ทำให้รู้ว่าซอยที่หล่อนเคยอาศัยอยู่เหลือเพื่อนบ้านเก่าแก่เพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น
หล่อนไม่เห็นพี่ใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านอีก จึงกลับไปที่ปักกิ่ง
สวี่ชิงรู้สึกเสียดายแทน “แล้วทำไมจู่ ๆ วันนี้ถึงนึกถึงล่ะคะ?”
ซูช่านเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ “วันนี้ฉันเจอคนที่เหมือนเขาอยู่หน้าประตูหน่วยงานบริการน่ะสิ”
แม้ว่าชายผู้นี้จะดูสงบมากและไม่ได้มีความอ่อนเยาว์แบบวัยรุ่น แต่หน้าตาของเขากลับยังเหมือนเดิม และมักจะอมยิ้มใจลอยไปเรื่อย
เขามักจะยกยิ้มมุมปากขณะพูดคุยกับผู้คนรอบข้าง ดูเหลาะแหละยิ่งนัก
แถมยังดูเหมือนคนไม่ดี
สวี่ชิงพูดถาม “แล้วคุณไม่ได้เข้าไปถามเหรอ?”
ซูช่านส่ายหน้าเมื่อนึกถึงรถเข็น “ไม่ค่ะ บางทีอาจจะแค่หน้าเหมือนเฉย ๆ อีกอย่างฉันไม่ได้เจอเขามาสิบกว่าปีแล้ว”
ในตอนนั้นหล่อนอยากจะเดินดุ่มเข้าไปถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าเป็นเขาจริง ๆ เขาคงจะไม่อยากให้หล่อนเห็นสภาพที่น่าสังเวชของตนเองหรอกใช่ไหม?
สวี่ชิงไม่อาจคาดถึงว่าชายคนที่ซูช่านพูดถึงคืออวี๋เซี่ยงตง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์อ่อนไหว เธอจึงพูดชวนว่า “อาทิตย์นี้หยุดนี่ มากินข้าวบ้านฉันไหมคะ? แต่ว่าช่วงเช้าฉันต้องออกไปข้างนอก ฉันไปตามคุณสักบ่าย ๆ ได้ไหม?”
ซูช่านที่อยากเห็นลูกของสวี่ชิงตอบตกลงอย่างง่ายดาย “ได้ค่ะ แต่ว่าฉันกินเก่งมากนะ คุณคงต้องเตรียมอาหารเยอะหน่อย”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อ่าว มีอีกเรือนึงเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเรือฉินเหมียวเหมียวอวี๋เซี่ยงตงล่ะ?
ไหหม่า(海馬)