เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 516 ชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้า
บทที่ 516 ชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้า
แววตาของเหยียนจี้ชวนดูจริงจังมากเสียจนฉินเฟยหลงเชื่อจริง ๆ บาดแผลที่ปากของเขาค่อนข้างรุนแรง และการพูดมากจนเกินไปจะส่งผลเสียต่อบาดแผลได้ “คุณก็รีบกินเถอะค่ะ”
เหยียนจี้ชวนเลิกคิ้ว เผยรอยฟกช้ำบนใบหน้า ความสดใสงดงามจางหายไปนานแล้ว ซึ่งดูน่าตลกขบขันเล็กน้อย
สวี่ชิงเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าโจวจินหนานจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
หลังรับประทานอาหาร เหยียนจี้ชวนเชิญชวนให้ฉินเฟยกลับไปด้วยกัน โดยบอกว่าเขาต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูว่าต้องเย็นแผลหรือไม่
เนื่องจากเขามีหมออยู่ข้างกายแล้ว สวี่ชิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว แล้วทำไมเธอจะต้องตามไปดูอาการที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ?
แต่เมื่อได้เห็นเหยียนจี้ชวนกับฉินเฟยเดินเคียงข้างกันบนท้องถนนและถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ภาพตรงหน้ากลับดูสวยงามและเหมาะสมกันเป็นพิเศษ
หลังจากลงทะเบียนเรียนแล้ว ชั้นเรียนก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงมีความสุขมากก็คือตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยไม่ต้องเข้าร่วมการฝึกทหารแล้ว และไม่ได้กำหนดให้เข้าร่วมกิจการทางทหารมาก่อน เพราะกิจกรรมเหล่านั้นถูกยกเลิกเมื่อสองปีก่อน
หลังสูตรเข้าตรงประเด็นตั้งแต่เริ่มชั้นเรียน และเธอสามารถกลับบ้านได้ทุกวันหลังเลิกเรียน
เนื่องจากเธอไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตวิทยาลัย เธอจึงต้องเข้าร่วมชั้นเรียนที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ วัน แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่สวี่ชิงก็ยังจำเพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ได้ ถึงกระนั้นเธอจำเพื่อนคนหนึ่งที่ดูเหมือนตุ๊กตาได้ หญิงสาวคนดังกล่าวมีชื่อว่าซูช่าน มาจากปักกิ่ง
เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าหล่อนดูดีมาก และค่อนข้างมีชีวิตชีวา หล่อนมักจะกล่าวทักทายและเรียกชื่อสวี่ชิงชัดถ้อยชัดคำทุกคนที่เจอหน้ากัน
ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
ในช่วงกลางเดือนกันยายน สวีหย่วนตงแวะมาหาพร้อมกับบัตรเชิญ และรู้สึกอายมากที่ต้องสู้หน้าสวี่ชิง “พี่สะใภ้ เวลาต้องเจอหน้าคุณ ผมอายตลอดเลย”
สวี่ชิงยิ้มเล็กน้อย “คุณเป็นอะไรไป? ถึงได้อายเวลามาเจอหน้าฉัน”
สวีหย่วนตงถอนหายใจ “ผมได้ยินว่าแม่บุกไปหาคุณน่ะ คุณอย่าเก็บมันเอามาใส่ใจเลยนะครับ นี่คงเป็นสาเหตุที่แม่ต้องเป็นม่ายอยู่หลายปี ท่านชอบพูดจาแบบนี้แหละทั้งในบ้านนอกบ้าน คิดว่าคนในหมู่บ้านพากันกลั่นแกล้งที่ท่านเป็นม่าย บางครั้งเลยพูดอะไรไร้สาระออกมา แต่ที่แย่คือมันไร้สาระนี่แหละ”
สวี่ชิงโบกมือ “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก ว่าแต่วันที่สิบเอ็ดคุณพร้อมจะแต่งงานแล้วหรือยัง?”
สวีหย่วนตงพยักหน้า “พร้อมแล้ว สถานที่จัดงานแต่งอยู่ในหน่วยของเรา ผมกลัวว่าเสวี่ยเหมยจะไปทำงานไม่สะดวก เลยว่าจะเช่าบ้านใกล้ ๆ หน่วยงานหล่อนสักหน่อย”
สวี่ชิงรู้ดีว่าทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว และไม่มีอะไรจะพูดอีก เธอจึงบอกสวีหย่วนตงเพียงแค่ว่า “ต่อจากนี้ไปคุณต้องดูแลเสวี่ยเหมยดี ๆ นะ อย่าทำให้หล่อนเสียใจ ก่อนหน้าที่ฉันแนะนำไม่ให้หล่อนแต่งงานกับคุณ ก็เพราะฉันกลัวว่าคุณจะทำให้หล่อนเสียใจ”
สวีหย่วนตงเอามือลูบหลังศีรษะแล้วพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงครับพี่สะใภ้ ผมเข้าใจนิสัยแม่ดี เดี๋ยวผมจะคอยพูดกับแม่ให้”
สวี่ชิงนึกถึงอุปนิสัยของแม่สวี และคิดว่ามันไม่ง่ายเลยที่นางจะเชื่อฟังคำพูดของเขา
สวีหย่วนตงยังคงพูดชวนเชิญสวี่ชิง “วันที่สิบเอ็ดพาพวกต้าเป่าเสี่ยวเป่ามาด้วยนะครับ ผมไม่มีญาติในตัวเมืองเอกเลย”
สวี่ชิงยิ้ม “ไม่ต้องห่วงค่ะ เราจะไปกันแน่นอน”
พร้อมกับถอนหายใจ หากเธอกับฉินเสวี่ยเหมยไม่มีเรื่องบาดหมางกัน เธอคงจะเข้าร่วมเป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวไปแล้ว
หลังจากที่สวีหย่วนตงจากไป สวี่ชิงนั่งนิ่งอยู่ที่ลานบ้านอยู่พักหนึ่ง และตัดสินใจว่าจะเข้าหาฝั่งฉินเสวี่ยเหมยก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น สวี่ชิงจัดการฝังเข็มให้กับเสี่ยวเป่า หลังจากฝังเข็มให้เสี่ยวเป่าจนลูกน้อยไม่รู้สึกอึดอัดท้องแล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปเข้าห้องเรียน
สวี่ชิงที่มาเข้าชั้นเรียนสายค่อย ๆ เดินย่องไปเข้าทางประตูหลัง มองหาที่ว่างและนั่งลง
และคาดไม่ถึงว่าเพื่อนที่นั่งข้างโต๊ะเธอจะเป็นซูช่าน
ซูช่านส่งยิ้มให้ทันทีที่หันมาเห็นเธอ อีกทั้งยังเขยิบเข้าไปนั่งด้านใน
สวี่ชิงยิ้มตอบรับอย่างใจดี และหยิบหนังสือเรียนออกมาเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบรรยาย
ซูช่านเขยิบบทคัดลอกไปด้านข้างสวี่ชิง และเขียนบนกระดาษว่าอาจารย์เพิ่งพูดถึงประเด็นสำคัญ และจะถามคำถามในคาบเรียนครั้งหน้า
สวี่ชิงส่งยิ้มให้ซูช่าน และกล่าวขอบคุณเธอ
หลังจากจบคาบเรียนแรก ซูช่านเหลือบมองสวี่ชิงและถามเบา ๆ ว่า “คุณแต่งงานแล้วจริง ๆ เหรอคะ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “ค่ะ ลูกเกือบสองขวบแล้ว”
ซูช่านประหลาดใจมาก “คุณดูอายุพอ ๆ กับฉันเลย ถ้าไม่บอกคงดูไม่ออกว่ามีลูกสองคนแล้ว อีกอย่างคุณหน้าตาดีมาก ลูกจะต้องน่ารักมาก ๆ แน่เลย”
ต้องบอกว่าซูช่านเป็นคนชวนคุยเก่งมาก หากไม่มีหัวข้อจะคุยกับคุณแม่คนไหน เพียงแค่ชมว่าลูกของพวกเธอน่ารัก รับรองได้ว่าหัวข้อถัดไปจะต้องตามมาอย่างแน่นอน
สวี่ชิงไม่ได้ถ่อมตัว พยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย “ค่ะ น่ารักแต่ว่าซนกันมาก”
จนทำให้ซูช่านรู้สึกอิจฉา “ดีจัง ได้ยินมาว่าคุณอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย มีบ้านใกล้นี่นับว่าโชคดีมากเลยนะคะ”
สวี่ชิงอยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งที่ในปักกิ่งมีมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าซูช่านทำคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดีมาก แต่ทำไมหล่อนถึงเลือกมาเรียนที่นี่?
“ทำไมคุณไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ปักกิ่งล่ะคะ มาไกลขนาดนี้ทำไม?”
ซูช่านเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของคุณปู่ฉันค่ะ คุณปู่เป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งมาก แต่คุณปู่มีปัญหาบางอย่างเลยถูกส่งตัวกลับมาที่นี่ และเสียชีวิตลงที่นี่ด้วย”
สวี่ชิงรู้สึกเสียใจไปกับหล่อน “เสียใจด้วยนะคะ แต่ตัวเมืองเอกของเราก็ดี มีประเพณีท้องถิ่นอันดีงาม”
ซูช่านยิ้มตาหยี “ค่ะ ฉันคิดว่าที่นี่ค่อนข้างดีเลยล่ะ เป็นว่าตอนเด็ก ๆ ฉันโตมากับคุณปู่ด้วย ฉันอาศัยอยู่ที่ปักกิ่งก็จริง แต่ว่าโตมาในตัวเมืองเอก และไม่ได้กลับไปที่ปักกิ่งอีกจนถึงสิบขวบ เพราะปัญหาของคุณทำให้ฉันเริ่มเรียนช้ากว่าคนอื่น และไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุยี่สิบสอง”
หล่อนพูดและชะงักไปครู่หนึ่ง “ฉันชอบที่นี่มาก”
สวี่ชิงมองซูช่านที่มักจะก้มหน้าแอบยิ้มขณะพูด เธอรู้สึกราวกับมีแสงประกายแห่งความใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ในตัวของอีกฝ่าย
แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็คุยกันเยอะมาก
หลังจากจบชั้นเรียนในช่วงเที่ยง ซูช่านที่ถือกล่องอาหารกลางวันอยู่มองไปทางสวี่ชิง “คุณคงจะกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านสินะคะ ถึงเราจะไม่ได้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่ฉันอยากจะบอกว่าข้าวผัดมันฝรั่งที่โรงอาหารอร่อยมากเลยนะคะ”
สวี่ชิงยิ้มและโบกมือ “ค่ะ คุณรีบไปเถอะค่ะ เอาไว้มีโอกาส ฉันจะเชิญคุณไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน”
ซูช่านยังคงยิ้มแย้มสดใสเฉกเช่นเดียวกับชื่อของหล่อน “ฉันไปจริงนะคะ แล้วเจอกันค่ะ”
สวี่ชิงกลับไปที่บ้านพักที่อยู่ในเขตรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าอาการของเสี่ยวเป่าดีขึ้นบ้างหรือยัง เมื่อคืนที่ผ่านมาเจ้าตัวน้อยจอมตะกละกินแตงโมมากเกินไป อีกทั้งยังเตะผ้าห่มออกกลางดึก และตื่นขึ้นมาอาเจียนกับท้องเสียตั้งแต่เช้าตรู่
เธอรีบวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปที่บ้าน มองดูเสี่ยวเป่าที่กำลังวิ่งไล่แมวดำอยู่ในลานบ้าน
ในขณะที่ต้าเป่าเป็นเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวเล็ก คอยใช้สองมือถูเชือกป่านอยู่ข้าง ๆ เฟิงซูฮวา และเขาก็ทำมันออกมาได้อย่างดี
ทว่าใครบางคนที่อยู่ในลานบ้านกลับทำให้สวี่ชิงประหลาดใจ เวลานี้อวี๋เซี่ยงตงควรจะพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล แต่เขากลับนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง
อวี๋เซี่ยงตงกล่าวทักทายสวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม “แปลกใจที่เห็นผมเหรอครับ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “ประหลาดใจสิคะ อาการของคุณเป็นยังไงบ้าง?”
และสิ่งสำคัญที่สุดคือพลาสเตอร์สมุนไพรที่เธอกับฉินเฟยทำให้นั้นได้ผลหรือไม่
อวี๋เซี่ยงตงขยับข้อมือ “ขยับได้แล้วครับ ผมยังใช้พลาสเตอร์ไม่หมดหรอก แค่อยากมาหาคุณเป็นการส่วนตัว กลัวว่าโจวจินหนานจะทิ้งผมไว้คนเดียวน่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ก็ขอให้ชีวิตคู่ของเสวี่ยเหมยในชาตินี้มีความสุขแล้วกันนะ เรื่องในครอบครัว คนนอกเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอก
เซี่ยงตงมาที่นี่ทำไมหนอ?
ไหหม่า(海馬)