เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 52: ขอรับคำท้า
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 52: ขอรับคำท้า
< < 43 > >
ยูจิกับการ์ปยืนจ้องหน้ากัน แม้ว่ากรรมการจะมาอธิบายกฎให้แต่มันไม่ได้เข้าหัวทั้งสองเลย ..สถานการณ์แบบนี้ใครมันจะไปฟังภาษาคนรู้เรื่องละ พวกเขาสองคนไม่ใช่มืออาชีพอย่างนักมวยหรือนักกีฬา เป็นแค่เด็กในโรงเรียนที่เผอิญมีเรื่องชกต่อยกันเท่านั้น
“เข้าใจนะครับทั้งสอง?”
“..ครับ”
“เออ รีบๆประกาศเริ่มได้แล้ว”
กรรมการถอนหายใจ และทวนกฎอีกครั้ง
“ข้อแรกห้ามซ้ำเวลาอีกฝ่ายถูกเวทมนต์แล้ว ข้อสองห้ามเล่นงานอวัยวะเพศ ข้อสามถ้าออกจากสนามเท่ากับแพ้ ข้อสุดท้ายอย่าใช้เวทย์ขั้นสูง”
การ์ปโบกมือไล่กรรมการ
“รู้แล้ว อย่างไอ้แห้งนี้ฉันใช้แค่สะบัดมือหน่อยก็จบแล้ว”
“…ถะ ถ้านั้นก็เว้นระยะห่างกัน 10 เมตร”
ว่าจบทั้งการ์ปและยูจิก็พากันเดินถอยหลังไปจนครบ 10 เมตรทั้งคู่ กรรมการเห็นว่าได้ที่จึงยกมือขึ้นฟ้าและผ่าลงมา—
“เริ่ม!!”
สิ้นสุดเสียงของกรรมการ ทั้งสองก็ยกมือขึ้นมา–ในการต่อสู้นี้ไม่มีใครอุปกรณ์เวทย์เลย ต่างฝ่ายต่างใช้มือเปล่าในการร่ายเวทย์ทั้งสิ้น
การ์ปยกมือขึ้นมาเร็วกว่ายูจิมาก——
“—-[ไฟเยอร์บอล]”
—เวทย์ขั้นกลาง [ไฟเยอร์บอล] พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ระดับที่อีกนิดเดียวก็จะถึงยูจิแล้ว ในสถานการณ์ที่ยูจิยังไม่แม้แต่จะปล่อยเวทย์เสร็จเลย ..ความเร็วความชำนาญในการใช้เวทย์ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“อึก!”
ยูจิรีบตั้งสติแล้วกระโดดกลิ้งหลบไปทางขวา ทำให้หลบบอลเพลิงได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าการ์ปก็ไม่คิดจะปล่อยยโอกาสดีไป การ์ปรีบเร่งร่ายเวทย์ [ไฟเยอร์บอล] อีกครั้ง
ถึงการ์ปจะเป็นไอ้โง่จอมเกเร แต่เขาก็ฉลาดในการต่อสู้ การ์ปเลือกจะใช้ไฟเยอร์บอลที่มีผลขยายดาเมจได้เรื่อยๆหากโดนเป้าหมาย กับการต่อสู้กับเด็กอมมือแบบยูจิ เวทย์ที่ไล่ต้อนอีกฝ่ายได้นี่แหละคือตัวเลือกที่ถูกต้อง
บอลเพลิงพุ่งออกไปจนเกือบจะถึงตัวยูจิแล้ว ทว่าบอลเพลิงก็ได้ถูกดับลง—ด้วย [บับเบิ้ล] เวทย์น้ำขั้นกลาง
ฟองน้ำสีใสขนาดใหญ่กว่าบอลเพลิงของการ์ปราว 3 เท่าได้คลุมมันจนมอดไป
ยูจิค่อยๆลุกขึ้นยืน และฝืนยิ้มทั้งๆที่ขายังสั่น
(รอดแล้ว–เกือบไม่รอดแล้ว) ยูจิข่มกลั้นความหวาดกลัวไว้ และจ้องไปที่คู่ต่อสู้อย่างการ์ป
“ยิ้มอะไรวะ” การ์ปมีน้ำโห ยกมือขึ้นมาร่ายเวทย์อีกครั้ง— “[ไฟเยอร์บอล] — [ธันเดอร์โบลท์]”
—เทคนิคร่ายเวทย์สองเวทย์พร้อมกันด้วยมือสองข้าง มานาจะกระจายไปสองข้างเท่าๆกัน
(ซวยแล้ว!)
ยูจิยกมือขึ้นมาร่าย [บับเบิ้ล] สวนกลับ ทว่าในจังหวะนั้นการ์ปก็ได้ออกวิ่งมาคนละข้างกับสองเวทย์ที่ตนร่ายไป—-การ์ปคิดจะกดดันยูจิหลายทิศ โดยการวิ่งเข้าไปประชิด เพราะมั่นใจได้แล้วว่าพลังกายและเทคนิคเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก ที่เหลือเลยมีแค่กดดันให้คู่ต่อสู้พลาดจนแพ้เท่านั้น กับยูจิที่ไร้ประสบการณ์ต่อสู้มันง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย
“สามัญชนก็อยู่แบบสามัญชนไปซะ!!!”
การ์ปกระโดดขึ้นฟ้า ร่างนั่นลอยไปถึง 2 เมตร—ด้วยแรงกายเพลียวๆ
การ์ปที่อยู่เหนือยูจิยกมือขึ้นมาร่ายเวทย์กลางอากาศ เพื่อโจมตีบนหัว ขณะที่เวทย์ก่อนหน้านี้สองจุดใกล้จะถึงยูจิแล้ว
“—–ย๊ากกกก!”
ยูจิปล่อย [บับเบิ้ล] ออกมาและวิ่งเข้าใส่ฟองน้ำก่อนที่มันจะกระเด้งยูจิปลิวไปอีกฝั่งของการ์ป
เป็นวิธีเอาตัวรอดที่เจ็บตัวเอาเรื่องเลย …การ์ปทำเสียง ‘ชิ’ ไม่พอใจก่อนจะลงพื้นอย่างสวยงาม
“มีดีแต่หนีรึไงหะ!?”
“..อึก” ยูจิได้แต่หลบตา เพราะมันจริงอย่างที่การ์ปว่า เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหนี
“ถ้ากลัวนักก็อยู่เฉยๆแล้วโดยอัดซะ”
การ์ปเดินเข้าไปอย่างนักเลง และยกมือขึ้นมาร่ายบอลเพลิงใส่รัวๆ ยูจิเองก็ได้แต่ร่ายฟองน้ำมากันไว้เท่านั้น … (ทะ ทำยังไงดี ..ไม่มีส่องว่างให้ผมร่ายเวทย์ที่คุณหนิงกับคุณไอริสสอนมาเลย ..ถ้าใช้มันได้ละก็ อาจจะชนะก็ได้) ยูจิกัดฟันกรามแน่น แล้วคิดจะร่ายเวทย์ไผ่ตายอย่างที่คิดไว้สวน ทว่าได้ล้มเลิกความคิดไปเมื่อการ์ปกำลังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ตอนนี้หลังของการ์ปมีบอลเพลิงอยู่สองลูก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยที่ขณะเดียวกันบอลเพลิงก็พุ่งมาหายูจิไม่หยุด ..การ์ปคิดจะรวบรวมบอลเพลิงไว้เยอะๆก่อนปล่อยอัดหน้ายูจิให้จบๆกัน
ในเมื่อโจมตี 1-1 ไม่ได้ผล ก็สะสมให้เป็น 10-1 เป็นอันจบ แม้มันจะยากเพราะต้องควบคุมเวทย์ให้ดี แต่การ์ปถนัดเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่แล้วจึงไม่ยากอะไรนัก ต่างกับยูจิ
“..ทำยังไงดี..ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ได้แพ้แน่ๆ” ยูจิได้แต่พึมพำอย่างเจ็บใจ
****
“ไม่ไหวสินะ”
เคียวยะพึมพำออกขณะดูยูจิต่อสู้
“..นั่นสินะ ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ได้แพ้แน่ๆ” ผมเองก็เสริมอย่างตรงไปตรงมา “ยูจิขาดความกล้าเล่นในการต่อสู้ไปหน่อย”
ความกล้าเล่น? ว่าอีกอย่างความกล้าในการสู้กับอีกฝ่าย กล้าที่จะลองหาจุดอ่อนและจี้จุดอ่อน หรือกล้าที่จะหลอกล่อ หรือต่างๆอะไรมากมาย ในจุดนี้ยูจิไม่มีเลย มีแต่ร่ายเวทย์รับมืออีกฝ่ายซื่อๆ ขืนเป็นแบบนี้ต่อมีแต่จะโดนกดดันจุดอ่อน และแพ้ไปในที่สุด
ทุกคนเข้าใจดีในจุดนั้น ทำให้ต่างส่งสายตาเอาใจช่วยยูจิกัน อย่างน้อยๆก็ขอให้เจ็บน้อยที่สุดประมาณนี้
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ..ในนิยายต้นฉบับยูจิแกร่งกว่านี้มากเลย ในช่วงเวลาเดียวกันน่ะนะ เขามีความกล้าในการต่อสู้มาก ทำให้กำชัยในการต่อสู้ในที่สุด …
“..ทำไมยูจิถึงไม่ใช้เวทย์นั้นละ” หนิงโพ่งขึ้นอย่างมีความหวัง
“เวทย์ที่เธอกับไอริสสอนเรอะ?” ผมถาม
“ใช่ ถ้าใช้เวทย์นั้นต่อให้การ์ปใช้บอลเพลิงเป็นสิบๆอันก็ต้านไม่ไหวหรอก”
ทางทฤษฎีอะนะ
“จะหาโอกาสใช้ได้มันยากนะ ต้องมีเวลาสัก 3 วิ แต่ตอนนี้เวลาแค่วิเดียวยังไม่มีโอกาสเลย” ผมหยักไหล่ “แต่ถ้ายูจิคิดจะเดิมพันมันก็ได้อยู่หรอก”
เดิมพันที่จะร่ายเวทย์ไผ่ตายออกมา โดยกะว่าถ้าอีกฝ่ายชนะก่อนก็จบ แต่ถ้าเขาร่ายเสร็จก่อนก็ชนะไป ..แต่อย่างว่าแหละ
“จะกล้ามั้ยมันอีกเรื่อง”
****
“ฮึย!!!”
ยูจิยังคงร่ายเวทย์สวนกลับแบบทุลักทุเล ต่างกับการ์ปที่สต็อกบอลเพลิงได้เกือบจะห้าลูกแล้ว—ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นานเกมคงจะจบ
(ต้องรีบทำอะไรสักอย่าง แต่จะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้ละ?)
ยูจิข่มใจร่ายเวทย์พลางหลบเวทย์ไปเรื่อย เรื่องมานาเขาไม่มีปัญหาอยู่แล้วแต่ ..เจ็บ แขนของยูจิกำลังสั่นด้วยความเจ็บ ตรงเส้นเลือดมีเลือดฉิบออกมาแล้ว
สำหรับยูจิที่ไม่ได้ฝึกวงจรเวทย์มาดีนักย่อมมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย และคุณภาพในการร่ายเวทย์ วงจรเวทย์ไม่ได้ดีไปคู่กับมานาที่มี เพราะอย่างนั้นถึงจะร่ายเวทย์ได้ไม่มีหมด แต่ไม่ช้าก็เร็วร่างกายจะแบกรับความเสียหายไม่ไหว เพราะวงจรเวทย์คือสื่อกลางในการปล่อยเวทย์ออกมา และสื่อกลางนี่กำลังจะฉีกขาด ..ถึงจะร่ายไปต่อได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันจะมีผลระยะยาว อาจเป็นโรคจนรักษาไม่หายเลยก็ได้ …อึก!
“ย๊ากกกก!!!”
แต่ไม่มีทางเลือก ยูจิร่ายเวทย์สวนอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
“จะให้จบไม่ได้!!”
แต่—ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงได้
บอลเพลิงมันอัดเข้ามาเรื่อยๆ ถึงจะเร็วขึ้นแต่การ์ปก็เร่งสปีดขึ้นเหมือนกัน
“รีบๆยอมได้แล้ว ปล่อยไว้แบบนี้มีแต่วงจรเวทย์จะฉีกเอานะ ไอ้สามัญชน ทางฉันไม่มีปัญหาหรอก”
“การต่อสู้นี้ผมจะยอมไม่ได้”
ยูจิฝืนร่ายต่อในสภาพที่แขนท่วมไปด้วยเลือด—วงจรเวทย์ได้ฉีกขาดแล้ว
ถึงจะรักษาได้หากรอไม่กี่วัน แต่ถ้ายังฝืนต่ออาจต้องรอเป็นเดือน หรือเลวร้ายจะเป็นโรคเลย
“—ผมจะแพ้ไม่ได้!!”
“แพ้ๆไปได้แล้วโว้ย!!”
ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนั้นเอง—————
“ไอ้พระเอกพิมพ์นิยมมองทางนี้ซะ!!!!!!!!!!”
เรเซอร์ตะโกนขึ้น ด้วยเสียงและสีหน้าที่เดือดดาล เขายืนอยู่บนโคลอสเซียมในจุดที่อันตรายและตะโกนไม่หยุด
“อยากจะชนะมากนักก็อย่าเอาแต่บอกว่าจะแพ้ไม่ได้เซ้!! หาวิธีชนะให้ได้สิฟร้ะ กล้าๆหน่อย ไหนๆก็ฝืนตัวเองกะให้วงจรเวทย์มันพังอยู่แล้วนี่ ทำไมไม่ลองกล้าหน่อยเล่า!! เพราะแบบนี้ไงคาแรคเตอร์แกถึงโดนด่าบ่อยๆน่ะ ว่าโคตรธรรมดาเลย!! แค่แหกปากก็ชนะได้เนี่ยเอาเปรียบพวกไม่มีพรสวรรค์ตาดำๆหน่อยเถอะ!!”
(———-แล้วจะให้ทำยังไง)
“—–ถ้าอยากชนะก็หาวิธีสิวะ!! อย่าเอาแต่ร้องบ่น!! รีบๆเดิมพันได้แล้ว!”
(—-หาวิธี?)
ยูจิกลับมาโฟกัสที่การ์ป—–วิธีที่ทำให้ชนะการ์ป มันมีอยู่ แต่..ไม่สิ
(ถ้าหาโอกาสใช้เวทย์ได้ละก็)
ยูจิก้มหัวลง และนึกถึงเวลาฝึกสอน
‘รวมเวทย์เข้าที่จุดกลาง และปล่อยออกมาราวกับดีดมัน’ หนิงบอกไว้
‘บรรจุพลังให้มากที่สุด จุดเด่นของคุณคือการบรรจุเวทย์’ ไอริสบอกมา
‘อย่าไปเสียเวลากันเวทย์มาก หลบบ้างก็ได้’ เรย์บอกมา
‘..รีบๆเดิมพันได้แล้ว!’ เรเซอร์พึ่งด่าว่ามา———
“—-เอาไงเอากัน!”
ยูจิกู่ร้อง “ย๊ากกก” ออกมา และวิ่งเข้าใส่การ์ป
การ์ปเห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาจึงเอาบอลเพลิงข้างหลังที่มีถึง 5 ลูกพุ่งอัดสวนใส่
(ต้องหลบ)
ยูจิพุ่งตัวมาข้างหน้าพร้อมกับหลบไปด้วย–สำเร็จ แต่การ์ปปาบอลเพลิงดักทางไว้
“—-ฮึย!”
ยูจิทนรับความเสียหายไว้ และพุ่งไปต่อ แน่นอนว่าการ์ปมีอีกตั้งสามลูกทั้งหมดได้ดักยูจิไว้หมด แต่ยูจิหาได้หวั่นเกรงไม่
ยูจิพุ่งตัวชนกับลูกที่สาม และใช้แรงพุ่งดันให้ตัวเองไปต่อ แม้ร่างจะถูกลวกไปด้วยเพลิง
****
“ทนดูไม่ได้แล้ว!”
หนิงร้องขึ้น ด้วยใบหน้าที่เกรี้ยวโกรธ เธอจะพุ่งไปฆ่าการ์ปซะเดี่ยวนี้เลย
“เดี่ยวสิหล่อน”
แต่ผมห้ามปรามไว้ก่อน
“อะไรเล่า! ปล่อยไว้แบบนั้นถึงจะชนะได้มันมีแต่จะเจ็บหนักนะ”
“ปล่อยไปเถอะ”
“ไอ้ชั่วนี่!!”
“ถึงในกรณีที่เลวร้าย ร่างกายของยูจิมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ดีแหละ” ผมถอนหายใจ “..ใช่มั้ยยูนา?”
‘ค่ะ’
ทันใดที่ยูนาปรากฏหนิงถึงกับตะลึง ในที่แห่งนี้คนที่เห็นยูนา มีแค่หนิงกับเคียวยะเท่านั้น
เคียวยะเหมือนจะรู้บ้างแล้ว เลยได้แต่กอดอกพึมพำแบบหน่ายใจ
“สรุปแกเป็นตัวอะไรกันแน่วะ”
“ไม่บอกหรอก”
“…” หนิงผงกหัวมองยูจิ
หนิงยอมเงียบไปเพราะถูกตัวตนเมื่อกี้ข่มไปโดยไม่รู้ตัว ..หนิงกลัวยูนาโดยธรรมชาติละนะ เพราะมีสายเลือดของฟัฟนิร์
ผมถอนหายใจพลางจ้องยูจิเขม็ง
“..ช่วยแสดงสิ่งๆนั้นให้ฉันเห็นทีเถอะ ยูจิ”
****
(มุมมองของยูจิ)
ร่างกายถูกเพลิงร้อนแผดเผา แทนจะล้มทั้งยืนอยู่แล้ว แต่ผมยังคงพยุงร่างแสนจะอ่อนแอนี่มุ่งหน้าเข้าใส่อีกฝ่ายไม่รู้จบ ..จะยอมไม่ได้เด็ดขาด
ไม่รู้ทำไมแต่ผมจะยอมไม่ได้เด็ดขาด——-เหลือบอลเพลิงอีกสองลูก จะมาไม้ไหนกั…
บอลเพลิงมันพุ่งเข้าใส่ข้างๆพร้อมกันสองลูก หลบไม่ได้ กันไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“—ไม่จริง”
[ไฟเยอร์บอล] มันพุ่งเข้ามาใกล้ถึงเรื่อยๆ อีก 1 วิ ไม่สิ อีกเชี่ยววิเดียวทุกอย่างคงจะจบกันแค่นี้ ..ผมอาจจะตายเลยก็ได้ ..ถ้าโชคดีอาจจบแค่วงจรเวทย์ฉีกขาดจนต้องเข้ารักษาตัว 1 เดือนเต็ม ..แต่!
“ไม่อยากแพ้ ‘อีกแล้ว’”
จะให้จบแบบนี้ไม่ได้! ผมไม่อยากให้มันจบอย่างน่าเศร้าเลยสักนิด เพระาอย่างนั้นถึงได้ลุกขึ้นมาพยายามอย่างไม่รู้จบ—-ครั้งนี้จะต้องไม่พลาด
“ย๊ากกกก”
ผมพุ่งตัวยกมืออีกข้างที่ไม้ได้ร่ายเวทย์อยู่เข้าใส่บอลเพลิงทางสาบ
“[วินชิลด์]”
โล่สายลมสลายบอลเพลิงข้างซ้ายไปได้ ทว่า—อีกข้างมันเข้ามาจนไม่สามารถป้องกันได้แล้ว
ต่อให้ต้องใช้ร่างเข้าแลก ผมก็ต้องทำ
ผมพุ่งตัวไป เป็นการเดิมพันที่เสี่ยงตาย แต่ช่างมันสิ ..ถ้าตาย แค่เริ่มใหม่ ‘เหมือนทุกๆครั้ง’
“—เอ๊ะ”
ทว่าในจังหวะที่จะเดิมพันนั้นดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทิวทัศน์โดยรอบมันเปลี่ยนไปสนิท—ความทรงจำนับล้านย้อนกลับเข้าหัว แต่ก็ลืมมันในทันทีที่เข้ามา
รู้ตัวอีกทีร่างของผมมันก็ไร้ซึ่งความเจ็บปวดจากพิษบาดแผล และการฉีกขาดของวงจรเวทย์ ..ตอนนี้มีเพียงความรู้สึกที่ราวกับร่างกายสามารถลอยไปไหนก็ได้
ผมพุ่งตัว—เพียงออกแรงเศษเดียวร่างก็พุ่งไปประชิดตัวกับการ์ปได้แล้ว
ทันใดนั้นทิวทัศน์สีเหลืองก็ได้สลายไป กลับมาสู่โลกๆเดิม—-ผมพุ่งมือออกไป แต่ก็ถูกการ์ปขัดไว้ก่อน คนๆนั้นเหยียบแขนผมจนกดพื้น และปล่อยบอลเพลิงลูกสุดท้ายอัดใส่——สุดท้ายก็ไม่ไหว
ไม่สิ—-ไหวสิ ผมมีสิ่งๆนั้นอยู่กับตัวนี่นา ..
“..อลัน” ผมพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘รับทราบครับ’
เสียงขานรับดังขึ้น พร้อมกับแขนสีน้ำเงินที่พุ่งออกมาจากหลังผม แขนๆนั่นมันแยกกับตัวผมโดยสิ้นเชิง มันได้แหวกอากาศ และพุ่งออกไปเข้าใส่บอลเพลิงคู่ต่อสู้ และสะบัดมันทิ้งไปคนละทิศกับที่เล็งไว้ตอนแรก …อลัน..คนๆนั้นคือใครกันแน่ ผมไม่อาจรู้ได้ แต่…ที่รู้ๆเขาคือส่วนหนึ่งในพลังของผม
ผมพุ่งตัวเอาแขนดันร่างการ์ป ก่อนจะกู่ร้องออกมาสุดเสียง———————
“———[สไปรัลวินด์(เกลียวสายลม)]”
เกลียวสายลมพุ่งตัวอัดท้องของการ์ป ร่างนั้นค่อยๆลอยขึ้นฟ้าแบบช้าๆก่อนที่มันจะเกิดการดีดและพุ่งออกไป———-
—ตู้ม!!!!!!!!!! ร่างของการ์ปพุ่งไปด้วยเกลียวสายลมจนกระเด็นออกจากสนาม ยิ่งกว่านั้นร่างยังติดอยู่กับกำแพง และฝากบาดแผลขนาดใหญ่ตัว ‘X’ ไว้ให้ ..การ์ปพยายามพยุงสติตัวเองไว้ และก้าวเท้ามาหาผม ..
“..แม่งเอ๊ย..”
ก่อนจะลงไปฟุ๊บลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น …
“ผะ ผู้ชนะคือ ‘ยูจิ’”
กรรมการวิ่งมาและยกมือของผมขึ้นบนฟ้า …ชนะ..แล้ว?
****
“ชะ ชนะแล้ว!”
ผู้ที่ร้องออกมาคือหนิง หล่อนตะโกนขึ้นพร้อมกับหันไปมองทุกคนรอบตัวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ยูจิชนะการ์ปได้แล้ว!!”
เคียวยะที่ทำเก็กกอดอกเข้มอยู่จู่ๆก็ยกป้ายไฟขึ้นมา มิได้โบกเองแต่อย่างไร เขายื่นให้หนิง
“โบกมันไปตามใจสั่งซะ”
“อะ..อื้อ!”
ว่าจบหนิงก็รับป้ายไฟไว้แล้วโบกให้ยูจิพลางตะโกนไปมา—-
“–ชนะแล้วนะยูจิ! ยินดีด้วย! อยากได้อะไรขอมาเลยน้า!!”
ทุกคน ณ โคลอสเซียมต่างส่งสายตาอนาถจิตอนาถใจมาทางหนิง— ‘ประธานนักเรียนลำเอียงเกินไปแล้ว’ ละนะ
เคียวยะส่งซิกให้ไอริสจากมุมมืด
“แผนการณ์ทำลายชื่อเสียงสำเร็จ”
“คิดถูกจริงๆที่ช่วยคุณเข้ามา เหมือนจะเป็นคุณคอเดียวกันเลยค่ะ”
ทั้งสองพลันหัวเราะเบาหวิวอย่างชั่วร้ายกัน
“สองคนนั้นเข้ากันได้ดีนะ” เบลลามีจ้องทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เข้ากันแบบนั้นไม่ดีหรอก” กอรี่เสริม
มีเพียงโซเฟียเท่านั้นที่หันซ้ายหันขวาไปมา …เธอค่อยๆยกมือขึ้น ก่อนเอ่ยถาม
“..เรเซอร์กับเรย์หายไปไหนเหรอ?”
ทั้งหมดต่างหันไปมองที่เคียวยะ
“ทำไมต้องตูฟร้ะ?”
“ซี้กันนี่ จะขุดทองกันอยู่แล้วไม่ใช่?”
หนิงพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นทำให้เคียวยะวีนแตก
“อย่าทำเหมือนตูเป็นตัวตลกนะเฟ้ย!” เคียวยะชี้หน้าหนิงอย่างเดือดดาล “อย่าคิดว่าจะกลับคำพูดได้ง่ายๆเชียวละ!?”
“หา? หรือจะเอา?”
“มาสิฟร้ะ ยัยถังเก็บถั่วงอก(หนิง)”
“เรียกว่าท่าน ‘เดรสทอยเยอร์’ สิ ..คิดมาสักพักแล้วละ แกนี่วอนเท้าดีจริงๆเคียวยะ ถ้าไม่ติดว่ามีสองตี—หมายถึงมีเรเซอร์อยู่ด้วย ฉันคงจะเล่นงานไปนานแล้วละ”
“โฮ กล้าคิดนะแก แน่จริงก็เข้ามา”
“พูดแล้วไม่คืนคำนะ!”
หนิงกับเคียวยะจะซัดหน้ากันแล้ว กอรี่จึงรีบวิ่งมาขั้นกลางไว้—-
“ร่วมด้วยสิว้ะ!!!”
“มาดิ๊!”
หนิง เคียวยะ และกอรี่ตั้งท่าจะซัดหน้ากัน เบลลามีเห็นทุกคนก็พลางส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น คงจะไปตักเตือน ..
“เอาด้วย”
..ดันจะร่วมวงชกต่อยกับเขาซะงั้น โชคยังดีที่โซเฟียมารั้งไว้ก่อน มิเช่นนั้นเบลลามีได้กระดาษเป็นหักแน่แท้
“เดี่ยวสิ! ถ้าต่อยกันมันจะเจ็บตัวเอานะ!”
“แหงแล้วสิหล่อน! พวกตูเตรียมใจจะหน้าเยินเหมือนๆกันอยู่แล้วเว้ยเห้ย!”
โซเฟียที่ถูกเคียวยะดุก็สะดุ้งเฮือกไป ก่อนจะค่อยๆน้ำตาซึม
“กะ ก็บอกว่าอย่าต่อยกันไงเล่า! เดี่ยวปัดต่อยกับซะเลยนี่! ฉันเป็นจิ๊กโก๋นะจะบอกให้!”
แม้จะขู่ไปแต่ก็มิได้มีใครฟัง ทั้งหมดหันหน้าเข้าหากันเตรียมจะซัดกันแล้ว โซเฟียที่หมดหนทางได้แต่น้ำตาคลอแล้วหันไปหาไอริส ..
“ระ รุ่นพี่ช่วยด้ว..”
“..เอาอีก เอาให้ยับๆเลย รีบๆต่อยกันได้แล้ว หนิงจะได้โดนเด้งสักที ฮุฮุฮุ ยุคสมัยของฉันมาถึงแล้ว”
..คนคนนี้พึ่งไม่ได้ โซเฟียคิดได้ดังนั้นเลยตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ—
“เรเซอร์รีบๆมาช่วยที!!!”
****
ผมเดินตรงไปตามจุดหมายที่เคียวยะบอกไว้—-ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลังจบการต่อสู้ของยูจิ เคียวยะได้ฝากข้อความของเรย์ให้กับผม
“ ..’เจอกันที่ต้นไม้ยักษ์’ ของโรงเรียนรึ? คิดจะทำอะไรนะเจ้านั่น”
แม้จะว่าอย่างนั้นแต่ผมรู้ดีว่าหมอนั่นจะทำอะไร …เฮ้อ
“จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า เอาเป็นว่าดีแล้วละที่คิดจะจบเรื่องกันวันนี้น่ะ”
ผมพึมพำเบาหวิว เดินตรงไปท่ามกลางความมืดอันหนาวเย็น …ไม่นานจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าต้นไม้ยักษ์ ซึ่งเรย์กำลังนั่งอยู่บนรากไม้รอผู้มาเยือน ..ผมเอง
เมื่อเห็นผมหมอนั่นก็บอกมือให้ด้วยสีหน้าที่จริงจัง ไร้ซึ่งความติดตลกใดๆทั้งสิ้น
“สรุปยูจิชนะมั้ย?”
“ชนะได้แบบฉิวเฉียดละ หลังจบศึกร่างกายยูจิก็ถูกรักษาจนหายดีด้วย”
เพราะพลังของวิญญาณระดับเทพ ‘อลัน’ เขาสามารถ ‘หักล้างทุกสรรพสิ่ง’ ได้ มีอำนาจทัดเทียมกับยูนาเลย เพียงแค่ของยูนามันจะใช้ได้หลายเหตุการณ์กว่า กลับกันของอลันมันจะใช้ง่ายกว่ามาก
ว่าง่ายๆอยู่ที่ฝีมือผู้ใช้ซะส่วนมาก ที่ยูจิสามารถรักษาแผลในร่างทั้งหมดได้เพราะอลันช่วยหักล้างบาดแผลให้ ..โกงใช่มั้ยละ? ยูนาของผมก็ตัดมิติของบาดแผลได้เหมือนกันแหละ โกงชะมัดพวกวิญญาณระดับเทพเนี่ย ไม่แปลกใจเลยที่สมัยมีชีวิตจะซัดกับพวกมังกรธาตุ หรือจอมมาร หรือเทพได้สูสี พลังโกงขนาดนี้
ผมถอนหายใจ พลางเปลี่ยนเรื่องที่ควรคิด ..ตอนนี้ผมควรโฟกัสไปที่เรย์
เขาแหงนหน้ามองฟ้า
“นึกว่าจะแพ้ซะอีก ระดับการ์ปไอ้ฉันยังตึงมือเลย ..แต่ดีแล้วละ”
ไม่ได้บอกว่าแพ้ด้วย แค่บอกว่าตึงมือ ..ตึงมือสำหรับนักดาบคงราว 7-10 จังหวะดาบได้
“เหรอ แล้วเรียกฉันมาเนี่ยมีอะไร”
ผมทำเป็นไม่รู้แล้วถามเรย์ไป หมอนั่นทำหน้าแหยงหน่อยๆ เหมือนตำหนิผม
“ให้ตายสิ นายเนี่ยไม่มีหัวใจเอาซะเลยนะ”
หมอนั่นค่อยๆพยุงร่างตัวเองขึ้น และยิ้มให้ผม
“มีเรื่องอยากถามหน่อยน่ะ แค่นิดเดียว”
“ว่ามาเลย” ผมว่าพลางยิ้มมุมปาก
…ไม่ว่าอะไรผมก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา—-จะไม่โกหก
เรย์ส่งสายตาที่จริงจังมา
“ราวสี่ถึงห้าปีก่อน นายได้เกี่ยวข้องกับอัศวินนาม ‘ชินดร้า’ รึเปล่า?”
พี่ชายของเรย์นั่นเอง..ชินดร้า? ช่างเถอะ คงเป็นชื่อจริงกระมัง น่าจะชอบชื่อชินมากกว่ามั้ง
ว่าก็ว่าเถอะ ชื่อหมอนั่นเหมือนผู้หญิงชะมัด
“แล้วอัศวินผู้นั้นเกี่ยวข้องกับนายยังไง”
“เป็นพี่แท้ๆ”
…นั่นสินะ รู้อยู่แล้วละ
“กับชินน่ะ ฉันรู้จักดี” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “เป็นหนึ่งในคนที่สนิทกับฉันเลย”
“งั้นเองเหรอ ..ค่อยยังชั่ว ได้ยินแค่นี้ก็ว่างใจแล้วละ”
เรย์ค่อยๆกลับมาคลี่ยิ้มให้ผม และถามคำถามที่สวนถามกับรอยยิ้มออกมา
“อย่างที่รู้พี่เขาตายแล้ว นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มัย?”
เห็นดังนั้นผมก็—-ยิ้มกลับ
“เกี่ยวสิ ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆเลย”
“….เหรอ”
เรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางแหงนหน้ามองฟ้า
“จะโกหกก็ได้แท้ๆนะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
เรย์ที่ต่างจากทุกที ตัวเรย์ที่ไม่สามารถยิ้มอย่างสนุกสนานได้นั้นน่าแปลกตายกาจะหาได้ แม้ในเนื้อเรื่องต้นฉบับก็ใช่ว่าจะหาได้บ่อยๆหรอก
“ช่วยบอกอีกทีสิ”
“ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของชิน เรียกว่าตัวแปรสำคัญเลยก็ได้”
เพราะผมส่งชินไปสถานที่ที่ผู้กล้าปรากฎ ชินถึงได้ตาย ..
“เหรอ ..เข้าใจแล้วละ” เรย์มองผมด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “จะโกหก..ก็ได้นะ”
“อาจเป็นทางออกที่ไม่เลวนัก การโกหกน่ะ แต่—-แค่ครั้งนี้ที่ฉันจะไม่โกหก”
กับน้องชายของชินที่ผมเคราพ ผมจะคุยปัญหาอย่างซื่อตรง และจบมันอย่างถูกต้อง
มันคือปัญหาของผม ..จะหลอกตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ทุกคนต่างมีปัญหาต่างกันไปทั้งสิ้น ผมเองก็เช่นกัน และขั้นแรกของการแก้ปัญหาคือ–การไม่โกหกหรือหลอกตัวเอง
ผมแสยะยิ้มใส่เรย์
“ที่ถามเนี่ยคิดจะทำอะไรละเรย์”
“…นั่นสินะ”
เรย์หยักไหล่ให้ ก่อนจะเดินไปยันหลังต้นไม้ยักษ์ และถือดาบสองเล่มออกมา
“เอานี่”
เจ้านั่นโยนดาบมาให้ผม พอดูดีๆก็พบว่าเป็นดาบยี่ห่อเดียวกัน ทั้งตัวรุ่นและวันผลิต …
“…เรเซอร์ ..เป็นไปได้ฉันอยากให้นายโกหกนะ ..ทำไมถึงไม่เข้าใจกันนะ ..ช่วยโกหกหน่อยไม่ได้หรือไงหะ?” เรย์โพ่งด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ “..ฉันคงไม่ต้องมาลำบากใจถ้านายโกหก ไม่สิ แต่เดิม ถ้านายยังเป็นเรเซอร์ชั่วๆเหมือนแต่ก่อน ไอ้ฉันก็ไม่ต้องหันดาบใส่นายด้วยความรู้สึกแบบนี้หรอก”
“..ขอโทษด้วย”
“ไม่ ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ที่ต้องขอโทษมันทางฉันต่างหาก ..ขอโทษนะ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วแท้ๆแต่ยังลืมไมไ่ด้ ไม่อาจลืมใบหน้าของพี่ที่รักได้ ไม่อาจลบความคิดด้านลบต่อตัวการได้ ..แรกๆไอ้ฉันก็คิดอยู่หรอกนะ ว่าถ้าเปลี่ยนไปแล้วจะปล่อยเลยตามเลยไป จะไม่มาทวงแค้นอะไรทั้งนั้นแต่ ..”
เรย์จ้องตาผมตรงๆ
“ฉันยอมรับไม่ได้หรอก คิดว่าฉันจะให้อภัยไอ้คนที่พรากไอดอลของฉันไปได้ไงเล่า! พี่น่ะทั้งสง่างาม และทรงไปด้วยปัญญา แข็งแกร่ง ..และใจดี” น้ำตาของเรย์ไหลออกมา “การที่คนคนนั้นตายน่ะ ฉันยอมรับไม่ได้หรอก …เพราะอย่างนั้นถึงได้ใช้วิธีสุดจะน่ารังเกียจเพื่อคลายความรู้สึกนี้ ..นั่นคือการฆ่านายไงละ เรเซอร์”
….
“…ที่นี่จะเป็นหลุมศพของนาย ..ขอโทษด้วยนะ”
“พูดอะไรไร้สาระ”
ผมชักดาบในฝักออกมา และชี้เข้าใส่เรย์
“ฉันจะไม่แพ้”
“..นั่นสินะ ถ้านายใช้เวทย์ได้ฉันคงแพ้ละมั้ง”
กับนักเวทย์ที่พลังกายทัดเทียมนักดาบขั้นสูงย่อมชนะนักดาบขั้นสูงได้ไม่ยาก ทว่า
“ไม่ ฉันจะไม่ใช้เวทย์ จะใช้แค่ดาบในการต่อสู้นี้เท่านั้น”
หมอนั่นอึ้งไป…ก่อนถอนหายใจทั้งน้ำตา
“กวนปราสาทดีจังเลยนะ แกเนี่ย”
“โดนทักบ่อยๆเหมือนกัน”
“..ฮะๆ” ไอ้วัยรุ่นหัวเราะร่าเหมือนทุกที “สมควรแล้วละนะ มันต้องแบบนั้นแหละ”
เรย์กลับมายืนอย่างมั่นคง ดึงดาบออกจากฝักและชี้ใส่หน้าผมเช่นเดียวกับผม …
“ด้วยนามของ ‘เรย์ คามาเลีย’ ขอท้าดวล ‘เรเซอร์ ดราแคล์’”
“ขอรับคำท้า”
พูดจบร่างของทั้งสองก็หายวับไป–พร้อมกับสะเก็ดไฟที่ปะทุขั้นในทุกจังหวะดาบ
พวกเราได้เข้าห้ำหั่นกัน โดยที่ทุกจังหวะดาบ—เป้าหมายคือชีวิต