< < 39 > >
“พรุ่งนี้ สนใจจะไปซื้อของกันมั้ย” เธอคนนั้นกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
…เธอคนนั้นที่ว่าคือ ‘เบลลามี’
“เอาจริงเหรอ?”
“ผิดเหรอ..” เบลลามีซ้อนตามอง “ที่ชวนน่ะ”
“ไม่มีทางผิด คนที่มีชื่อว่า ‘เบลลามี’ ไม่มีทางผิดหรอกครับ มายควีน(ราชินีของผม)”
ว่าแล้วผมก็ลงไปครุกเข้ากับพื้น และจับมือของเบลลามีไว้—-แต่โดนดึงออก
ต๊ายแล้ว ท่าจูบมืออันโรแมนของโผม ….
“…คะ คือ”
“…อย่าจับซี้ซั้วสิ” เบลลามีเอาผ้ามาเช็ดมือตามเคย “มันมีเชื้อโรค..แล้วก็..ไม่มีอะไร”
“—-ขอโทษที่ล่วงเกินครับ!” ผมรีบก้มลงกราบทันที
เบลลามีพยักหน้ารับอย่างเรียบเฉย ก่อนจะยืนยันคำถาม
“จะไปรึเปล่า?”
“ไปสิ! ไปแน่นอน!”
ผมพยักหน้ารัวๆด้วยความปลื้มใจ เบลลามีเห็นเช่นนั้นก็พลอยยิ้ม
“พรุ่งนี้ ..ที่น้ำพุจุดมาร์คของอาณาจักรนะ”
“เข้าใจแล้ว”
“ขอบใจนะ”
พูดจบเบลลามีก็เดินกลับหอหญิง ..ไม่คิดเลยว่าเบลลามีจะมาชวนผมด้วยตัวเอง สุดยอดความก้าวหน้าเลยแฮะนี่
ผมยิ้มร่าก่อนจะรีบข่มตานอนหลับ เพื่อให้ถึงวันต่อไปเร็วๆ—————
————ทว่าความหวังก็พลันแตกสลาย
“นั่นสิเนอะ!”
ตรงหน้าผมมีชายหญิงหลายคนยืนจับกลุ่มกัน ได้แก่
1.ไอ้ถ่อย ‘เคียวยะ’ ที่สวมชุดนักเรียนเหมือนดั่งเดิม
2.เจ้าหญิง ‘หนิง’ ก็สวมชุดนักเรียนเหมือนเดิม
3.น้องชายชิน ‘เรย์’ สวมเสื้อนอกหน้าร้อน ข้างในเป็นเสื้อยืด แล้วก็กางเกงยีนส์ขาสั้น แต่งตัวได้สบายสุดๆ
4.นางอวย ‘เบลลามี’ สวมชุดนักเรียนเช่นกัน
5. ….โจทย์ตั้งแต่ชาติปางก่อน ‘โซเฟีย’ สวมชุดนักเรียนเหมือนทุกคน
ก็พอเดาๆได้อยู่หรอกว่ามามุกไหน คงไปชวนคนอื่นไปด้วยหมดแหละ.. แต่ทำอีท่าไหนถึงชวนโซเฟียให้มาชนกับผมเนี่ย แบบนี้กะฆ่ากันชัดๆ
..เห็นมั้ย หล่อนเห็นผมทีถึงกับสะดุ้งโย่งเลย
“ยะ โย่” โซเฟียส่งเสียงทักเบาๆ
แปลกแฮะ ปกติไม่น่าทักก่อนนี่นา
“โอ้ หวัดดี”
…อย่างเงียบสิ
เรย์เห็นบรรยากาศไม่ดีจึงเข้ามาแทรก
“แต่งตัวมาหล่อดีนี่เรเซอร์”
“ก็แต่งชุดนักเรียนเหมือนกับพวกนายนั่นแหละ”
“ฮาๆๆ! ชอบการตบมุกของเอ็งจริง” เรย์วิ่งมาคล้องคอผมเล่นฉบับเด็กเริงร่า
ผมขมวดคิ้วใส่เล่นๆ เรย์กลับยิ่งได้ใจ
เคียวยะที่ดูจะสนิทกับผมสุดไม่พูดอะไร ใช้เพียงหางตามองแบบเก็กๆ ส่วนหนิง…มองไปทางไหนละนั่น ..อ๊ะ สังเกตุเห็นผมละ วิ่งมาแล้ว–
“ยูจิมาด้วยไม่ใช่รึไงหะ” หล่อนเข้ามากระซากคอเสื้อผม “เอายูจิไปซ่อนไว้ในกัน!? หรือว่าหลอกกันน่ะหะ! หลอกลวงฉันด้วยยูจินั้นรึ! เป็นแผลที่ดีนี่ไอ้ชั่ว!”
“เดี่ยวดิ ตูไม่ได้เป็นคนชวนสักหน่อย”
“..นะ นั่นสินะ”
หนิงพึ่งนึกได้เลยวางมือไป แล้วหล่อนก็ไม่ได้กล้าถึงขนาดไปตวาดใส่เบลลามีด้วย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางจัดคอเสื้อตัวเอง
“จะว่าไป นายมาด้วยสิเนอะ เคียวยะ”
มาแปลกแฮะ หมอนี่ไม่น่าชอบมาซื้อของกับใครสักเท่าไหร่
“ฉันเป็นเด็กทุนด้วยไง โรงเรียนให้เงินมาบังคับซื้อคทา” เคียวยะถอนหายใจ “พอได้ยินเบลลามีบอกว่ามีร้านที่ขายถูกกว่าตลอด เลยตกลงไปด้วยละนะ”
“นั่นสินะ ประหยัดไว้ก็ดี งานพิเศษเก็บถั่วงอกมันไม่พอกินหรอก”
“เห็นด้วยเลย ถึงจะมี ‘เดสทรอยเยอร์ หนิง’ ก็ตาม ..แต่ไม่ไหว”
หนิงทำเสียง ‘ชิ’ ใส่พวกผม ..ลืมบอกเลยแฮะ เชื่อยากไปหน่อย แต่หนิงมีฉายาในวงการกำจัดถั่วงอกด้วยละ ซึ่งฉายานั้นโคตรจะเท่ดั่งที่พูดไป ‘เดสทรอยเยอร์ หนิง’ นั่นแหละฉายาของหล่อน ดาวรุ่งที่ขจัดถั่วงอกจนหมดโรงอาหาร
ในวงการกินถั่วงอกหนิงกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยสมบูรณ์แบบแล้วละ …กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเราสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาแล้วยังไงละ!
“เดสทรอยเยอร์ …” โซเฟียพึมพำขึ้น ก่อนจะยิ้มร่า “เท่ดีนะ อยากได้ชื่อแบบนั้นบ้างจัง”
ช่างสดใสน่ารัก หล่อนคงคิดขึ้นมาในว่า ‘ชื่อสมนักเลงดีแฮะ’ แหงๆ
ทันใดนั้นผมก็หยิบกระดาษออกมาแล้วปาให้เคียวยะ เจ้าหมอนั่นรีบคว้ากระดาษนั่นแล้วใช้ปากกาที่พกไว้จดด้วยความเร็วสูง ก่อนจะยื่นไปให้โซเฟีย
“..”
“…คอร์สเรียนกินถั่วงอกจาก เดสทรอยเยอร์ โดยตรง มีฉายาภายในหนึ่งเด——”
ผมวิ่งไปล็อกตัวเคียวยะไว้ก่อน เหมือนว่าจะสื่อสารผิดพลาดกันเล็กน้อย—-
“ทำบ้าอะไรของแกน่ะหะ!” เคียวยะทำทีจะต่อยผมก็ไม่ปาน
“อย่าขายคอร์สปลอมๆให้เพื่อนสิวะ!!”
ในโลกของเราเห็นได้บ่อยๆเลยละ ไอ้พวกคอร์สขายฝันเนี่ย ให้ยกตัวอย่างก็เช่น ‘วิธีได้วันละหมื่นโดยไม่ต้องทำอะไร โดย ooooo เซียนนักหุ้น’ ไอ้คอร์สราวๆนี้มันมักจะเป็นแนวค่าเรียนหลักแสนประโยชน์หลักหน่วย เพราะรู้อย่างนั้นผมเลยต้องรีบห้ามโซเฟียไม่ให้ซื้อ แล้วก็ห้ามเพื่อนอย่างเคียวยะในการขายมันด้วย
อย่าได้ถลำลึกไปกว่านี้เลยทั้งสอง
“ไม่ใช่ว่าทรงแกมาแบบนี้อยู่แล้วรึไง!? ไม่ใช่ว่าช่วงนี้หิวเงินอยู่หรือไงหะ!”
จะ ใจคอมันจะหลอกแดกตังค์เพื่อนจริงเรอะ! แล้วสอนกินถั่วงอกเนี่ยพวกเราเอาหนิงไปสร้างเงินได้ด้วยอีกต่อ ไอ้หมอนี่อัจฉริยะชะมัด! แต่ว่าก็ว่าเหอะ โคตรเลว!
“เอาเป็นว่าหยุดก่อน”
“แม่งเอ้ย สู้แรงไม่ได้เลย อ๊ากกก!!” เคียวยะพยายามดิ้นสุดตัว แต่ไม่เป็นผลจึงยอมไป “….เออ เข้าใจแล้ว”
ผมปาดเหงื่อตัวเองแล้วปล่อยเคียวยะไป ก่อนจะหันขวับไปหาโซเฟีย
“นี่แหละตัวอย่างนักเลงที่ดี” พูดพลางชี้ไปทางเคียวยะ
“…ไม่เข้าใจเลย” โซเฟียทำหน้าฉงน
จังหวะนั้นเบลลามีก็เข้ามาทักพอดี
“แต่งตัวมาดีมาก เหมาะมากเลย”
“เดี่ยวดิ ฉันใส่ชุดนักเรียนนะ”
ที่สำคัญเล่นซ้ำกับเรย์นะเออ
“นั้นเหรอ?”
“อ่า ..ยูจิมาช้าจังนะ”
“น่าจะตื่นสาย”
คงนั้น
ตอนที่เตรียมใจจะนั่งรอยูจิสักพัก เจ้าตัวก็โผล่มาพอดี
ยูจิในชุดนักเรียน(อีกแล้ว)โผล่มาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เหงื่อไหลพรากเลย ไปเจอเรื่องแปลกมาหรือไงนะ
“อะ อรุณสวัสครับทุกคน” ยูจิผงกหัวหน่อยนึง
ทุกคนทักทายยูจิกลับหมด โดยเฉพาหนิงที่เดินตามติดอย่างกับ แoตนo์
“ถ้านั้นก็”
ตัวเบลลามีที่เป็นคนต้นเรื่องการจับกลุ่มมาซื้อของโพ่งขึ้น ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ้างอิง ..
“หนังสือนี้บอกว่าถ้าไปเที่ยวกับเพื่อนที่เยอะไป ลำดับแรกให้จับคู่แยกกันเพื่อไปซื้อของกับเดินเล่นก่อน”
หยาบหน่อยแต่ก็ดีมั้ง
“เอาตามนั้นละกัน แล้วจะตัดสินยังไงละ”
“นี่ไง”
เบลลามีหยิบถ้วยที่ใช้ตอนเล่นเกมพระราชาขึ้น ..แบบนี้นี่เอง ใครจับได้สีเหมือนกันก็ไปด้วยกันนี้นี่เอง แต่พวกเรามี 7 คนนา
คงให้กลุ่มหนึ่งมีสามคนแหละ
“จะมีหนึ่งคนไม่ได้ไปด้วย”
“พร้วกกก!!!!” เรย์ถึงกับน้ำลายพุ่งใส่หน้าผม
“เดี่ยวก่อนๆ”
ผมไม่รีรอรีบเข้าไปเจรจา เพื่อหาวิธีที่สันติกว่านี้ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าการไปซื้อของกับเพื่อน มันจะเป็นเกมที่โหดร้ายขนาดนี้ ไม่สิ ที่โหดร้ายไม่น่าใช่ตัวเกมหรอก มันเป็นตัวผู้เล่นต่างหาก …
“บะ แบบนั้นคนที่โดดเดี่ยวก็น่าสงสารแย่สิ”
“…กฎก็คือกฎนะ”
เผด็จการชะมัด!
เบลลามีเอียงคอฉงน ทำราวกับว่าผมพูดเรื่องพิลึก
“ไม่ดีเหรอ ตื่นเต้นดีนะ เขาบอกมา”
“ไอ้ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่มันไปในเชิงกลัวโดนทิ้งน่ะสิ …แล้วก็ไม่เห็นรู้เลยว่าเพื่อนกันเองมาซื้อของต้องแยกกันด้วยวิธีจับแยกขาวดำงี้น่ะ” ผมหยักไหล่ “เอาวิธีที่นุ่มนวมกว่านี้ดีมั้ย? แบบเพิ่มให้กลุ่มหนึ่งมีสามคน”
เบลลามีกระพริบตาสองสามที
“แบบนั้นดีกว่าสินะ”
“เออสิ เอาอย่างนี้ดีกว่า”
“เข้าใจแล้ว”
เบลลามีหยิบอันที่มีสีเดี่ยวๆคนเดียวมาเปลี่ยนสี—-นี่ถ้าไม่มีใครทักก็จะเอาอย่างงี้จริงๆใช่มะ?
เมื่อเปลี่ยนสีเรียบร้อยก็เริ่มการจับแบบที่ควรจะเป็น——–ไม่รู้ทำไม แต่จู่ๆบรรยากาศโดยรอบก็กดดันขึ้น รู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาถึงลำคอเลย …ทุกคน———โดยเฉพาะหนิงปล่อยออร่าความดุร้ายมาเต็มที่
แบบนี้นี่เอง เป้าหมายคือยูจิสินะ คงจะใช้ดวงตาของมังกรนั่นเพื่อให้คู่กับยูจิสินะ รุกหนักจริงนะหล่อน
“ให้ยูจิก่อนนะ ในฐานมาสาย” หนิงเปิดเกมทันที แน่วแน่มาก—
“ตูขอก่อนสิ”
เคียวยะ…จะขัดเขาจริงดิเป็นผู้ครองดวงตามหาปราชญ์ก็จริง แต่ในระยะเผาขนแบบนี้โดนคุณเธอจับหักคอเป็นอันจบเลยนะ
“เอาไง เคียวยะ…” หนิงจ้องเขม็ง
“…เป้ายิ้งฉุบละกัน” เคียวยะเสนอ
หนิงพยักหน้าโดยว่าง่ายพลันแสยะยิ้มประหนึ่งผู้ชนะ—–เขาว่ากันว่า ดวงตาของฟัฟนิร์สามารถเห็นทุกอย่างสโลว์ได้เท่าที่ต้องการ บ้างก็ว่ามองเห็นอดีตได้ด้วยซ้ำ ของแบบนี้ต่อให้เป็นดวงตามหาปราชญ์ก็ตาม แต่กับเกมชิงไหวพริบเนี่ยไม่เสียเปรียบไปหน่อยเรอะ
“ “ เป่ายิ่งฉุบ “ “
“ค้อน!”
“กระดาษ!”
..หนิงออกค้อน ส่วนเคียวยะออกกระดาษ ผลเป็นเอกฉันท์ ..ที่ต้องถามว่าแน่ใจเรอะ คือฝั่งหนิงต่างหาก กับเคียวยะที่ทำได้ยันอ่านใจหรืออ่านอนาคตหลายแขนง มันเกมตบไก่ชัดๆ สำหรับเคียวยะที่รู้เขารู้เราย่อมรบร้อยครั้งชนะร้อยยครั้ง
สุดยอดชะมัดดวงตามหาปราชญ์ แต่มาใช้กับอะไรแบบนี้เนี่ยคิดดีแล้วเรอะ
“เป็นชัยชนะที่ฟินมาก ขอบใจ” เคียวยะยิ้มมุมปากเยาะเย้ย
“หน๊อยยยย!!!”
อ่อ คุ้มแหละ รสนิยมพีเค้าเป็นแบบนี้นี่นะ อะไรจะไม่คุ้มละ
หลังจากนั้นการจับคู่ก็เป็นไปอย่างขาวสะอาด
ผลสรุปจากการต่อสู้ที่ดุเดือด ทำให้แบ่งกลุ่มได้ดังต่อไปนี้
1.เบลลามี เรเซอร์
2.เคียวยะ เรย์
3. ยูจิ หนิง โซเฟีย
โอเคร ไม่มีใครโดนทิ้งก็ดีละ
หนิงดูดีใจเอามากๆ ถึงจะโดนเคียวยะแกงแต่ยังได้คู่ยูจิอยู่ดี โซเฟียก็ไม่น่าอะไรกับสองคนนี้ด้วย
ส่วนเคียวยะกับเรย์นี่ …ไม่ต่อยกันนะ? นิสัยนี่คนละขั้วกันเลย
ของผมหายห่วง มีนางฟ้าแบบเบลลามีจัดว่าเยี่ยม
จากนั้นก็แยกย้ายกันตามที่คุยไว้ โดยที่กลุ่มแรก ‘ยูจิ หนิง และโซเฟีย’ พวกเขาจับกลุ่มเสร็จก็รีบออกเดินกันเลย ต่อมาเป็น ‘เรย์กับเคียวยะ’ เสียวว่าคู่นี้จะซัดหน้ากันกลางห้างหน่อยๆแต่ไม่น่าหรอกมั้ง เห็นบอกว่า ‘จะไปโซนเกม’ อยู่หรอก แต่มันชวนหวั่นชอบกล
และกลุ่มสุดท้ายคือ ‘ผมกับเบลลามี’ ..ช่วงนี้ตัวติดกันบ่อยดีแฮะ
“มีที่ที่อยากไปมั้ย?”
“…เรเซอร์ละ?”
หมายถึงที่ที่อยากไป–ใจหนึ่งอยากตอบว่า ‘ที่ที่มีเธอ’ แต่ไม่เอาดีกว่า อย่างเสี่ยวเลย
ผมถูคางตัวเองพลางนึกถึงเรื่องที่เบลลามีน่าจะชอบ …เข้าใจละ
“ไปดูหนังสือนิยายออกใหม่ดีมั้ย?”
พลันใดนั้นตาของเบลลามีก็ดูมีสีสันต์
“ดีมั้ย?”
“ไปกันเถอะ”
เป็นอันตกลง
****
ผมกับเบลลามียืนจ้องหนังสือกันตาเป็นวาว ถ้าเป็นหนังสือนิยายเพื่อความบันเทิงโดยแท้ ผมค่อนข้างจะสนใจน่ะนะ แต่ถ้าให้อ่านอะไรที่มันดูฉลาดๆก็ขอลาละ ไม่ไหว
เบลลามีหยิบหนังสือที่ปกดูง่อยๆขึ้นมา ก่อนขมวดคิ้ว
“นักเขียน ‘2374’ ออกหนังสือใหม่แล้ว” เบลลามีพลิกปกหนังสือเพื่ออ่านคำโปรย ก่อนจะทำท่าแหยงใส่อย่างออกรส “เขาเขียนเป็นแค่เรื่องแนวหาเรื่องคนอ่านหรือไงนะ คราวก่อนก็โดนฟ้องจนหมดตัวมาแล้วแท้ๆ”
พูดได้โหดร้ายชะมัด
ได้ยินอย่างนั้นผมจึงหยิบมาอ่านคำโปรยบ้าง—–
‘เพราะพวกนักอ่านงี่เง่าเอาแต่ด่าผมว่ากระจอก ซ้ำร้ายยังแจ้งความจนบ้านผมโดนยึด ผมเลยแปลงกายเป็นตัวละครในนิยายเพื่อเข้าฝันพวกมันไปทำเรื่องชั่วร้ายซะเลย วะฮ่าๆ
เรื่องราวการแก้แค้นของนักเขียนสุดเพี้ยนจึงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ พวกแกเองก็ระวังไว้ซะ!’
ผมวางกับที่เดิมแทบจะทันที
“แค่อ่านคำโปรยก็สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรต่อนักอ่านแล้วละ เรื่องแนวๆนี้คงมีแค่นักเขียนด้วยกันที่ชอบมั้ง”
สัมผัสได้พึงความขี้แพ้ตั้งแต่คำโปรยเลยละ
“เอาไปให้เคียวยะดีมั้ย?”
“อย่าเลย รายนั้นนักเขียนมือทองนี่ เกิดเห็นหนังสือแบบนี้คงคิดแต่ว่าอีกฝ่ายมันโคตรจะขี้แพ้แหงๆ”
แต่ว่าก็ว่าเถอะ น่าสงสัยชะมัดว่าทำอีท่าไหนเขาถึงอนุญาติให้วางหนังสือในร้านได้ ..ไม่ใช่ว่าแอบมาวางหรอกนะ แบบนั้นยิ่งเสี่ยงโดนฟ้องขึ้นไปอีก ที่เอาหนังสือแบบนี้มาวางไว้ในร้ายเนี่ย
“อือ …” เบลลามีหันไปมองที่ท็อปสิบหนังสือขายดี “มีของเคียวยะด้วย”
หล่อนชี้ขึ้นไปยันโซนหนังสือขายดี ซึ่งมีหนังสือของเคียวยะอยู่ด้วย
ชื่อเรื่อง ‘โศกนาฏกรรมของกาลเวลาที่ไหลกลับ’ ตัวเล่มเองก็สวย พวกฟอนด์ที่ใช้ก็ดูเข้ากับหน้าปก…รวมๆแล้วน่าอ่านดีแฮะ น่าอ่านตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว สัมผัสได้ถึงแนวทางของเรื่องตั้งแต่เชื่อเรื่องเลย กลับกัน พอเปรียบเทียบกับ …ผมหยิบหนังสือของไอ้คนที่ชื่อ ‘2374’ ขึ้นมาอ่านชื่อเรื่อง—– ‘ผมนี่แหละนักปราบพวกนักอ่านสายเลว!’ ….อย่าคิดมากเลยตัวผม สไตล์ใครสไตล์มัน ในฐานะนักอ่านการดูถูกสไตล์คนเขียนนับว่าเป็นเรื่องที่หยาบคายมาก
“พอคิดไปคิดมา หนังสือของคนชื่อ 2374 ก็น่าสนดีนะ”
“..ก่อนจะซื้อเรเซอร์สัญญาอย่างหนึ่งก่อน”
จู่ๆเบลลามีก็โพ่งขึ้นด้วยท่าทางจริงจังยากจะหาได้ พลอยทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายดัง ‘อึก’
“อะ อะไรรึ?”
“ถ้าซื้อไปอ่านแล้ว …จะไม่แจ้งความเขานะ ถ้าคนระดับเรเซอร์มีโดนยึดสิทธิ์การเขียนแน่นอน”
…ไอ้ผมไม่น่าทำเรื่องชั่วๆอย่างนั้นได้ลงคอหรอก แต่ไอ้2374 มีของถึงระดับทำให้เบลลามีหวาดหวั่นเลยรึนี่ ไม่ธรรมดาแฮะ ในด้านของความกวนส้นเท้านักอ่านละนะ..ผมจะไม่ฟ้องเขาแน่นะ?
“พอพูดแบบนั้นมันก็ยิ่งเย้ายวลให้อ่านอะนะ ซื้อละ”
“ประตูนรกเปิดออกแล้ว”
“น่าๆ อย่าคิดมากเลย ถึงมันจะห่วยบรมยังไงแต่ฉันไม่คิดฟ้องหรอก ฉันไม่ใช่นักเขียนหรอกนะ แต่แค่ดูก็รู้แล้ว ..คนเขียนน่ะใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในผลงานไม่ผิดแน่ จะดูถูกความเป็นตัวเองไม่ได้” ผมยิ้มเบาหวิว “เราในฐานะนักอ่าน เลือกจะอ่านเรื่องที่ชอบ เพราะความเป็นตัวเองในหนังสือเล่มนั้นมันถูกใจเราไม่ใช่หรือไง? ถ้าไม่ถูกใจแค่วางมันลง แค่นั้นก็พอแล้ว”
เบลลามีได้ยินก็หยิบหนังสือของ2374ไว้ในอ้อมอกด้วย
“เราขออ่านด้วย”
“ได้เลย ไว้อ่านจบแล้วมาเขียนวิจารย์กันสักยี่สิบบรรทัดดีกว่า”
“เดี่ยวเราเตรียม A4 ให้สักหนึ่งกอง”
ขะ ขนาดนั้นเลยเรอะ
“เราเคยอ่านของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน ..หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเปิดมันอีกเลย ..ตอนนี้น่าจะพัฒนาขึ้นแล้ว คิดว่า”
“อะ ฮะๆ น่าสงสารชะมัด” ผมเดินไปต่อ “ถ้านั้นไปดูของท่านเทพเคียวยะของเราดีกว่า”
ผมหัวเราะร่าพลางหยิบหนังสือของนักเขียนสุดห่วยไปด้วย
พอสังเกตุดีๆก็พบว่ามีหนังสือของเคียวยะเรียงกันหลายเล่มเลย ถึงขนาดมีชั้นหนังสือใหญ่เป็นของตัวเอง …เทพเกินไปแล้วเจ้าหมอนี่
“สุดยอดเลยแฮะ”
“เคียวยะถนัดเขียนแนวซึ้งกินใจ แล้วนักอ่านส่วนใหญ่ก็ชอบแนวนั้นกัน” เบลลามีคว้าหนึ่งในหนังสือของเคียวยะ “..เรื่องนี้เองก็เกี่ยวกับโรคมานาบริสุทธิ์ เป็นเรื่องของสองพี่น้องฝาแฝดที่ทุกอย่างหารครึ่งกัน คนที่ใช้ชีวิตปกติได้สติจะเลืองลาง พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ รับรู้ถึงอะไรไม่ได้ อีกคนก็จะเป็นผู้ป่วยติดเตียง พูดคุยได้ปกติ แต่ไม่สามารถขยับร่างได้ ..นอกจากนั้นทั้งสองอยู่ได้แค่ 20ปีก็ตาย”
เบลลามีหรี่ตามองอย่างเศร้าใจ
“ในตอนจบของเรื่องราว พี่สาวเลือกจะยอมตายเพื่อให้น้องสาวมีอายุไขเท่าคนปกติ และมีสติกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ..ทั้งๆที่ในโลกที่ไม่มีพี่สาวน่ะ น้องสาวคนนี้ไม่อยากอยู่หรอก …น่าเศร้า เรื่องมันก็จบไปทั้งอย่างนั้น จบไปโดยที่ไม่มีใครมีความสุข”
เบลลามีเก็บหนังสือกลับเข้าชั้น และหลับตาลงลำลึกถึงเรื่องราวมากมายที่ในหนังสือมอบให้เธอ
“อย่างที่เรเซอร์รู้เราไม่ถูกกับพวกโรคมานาบริสุทธิ์”
“นั่นสินะ เป็นโรคเดียวในโลกที่รักษาไม่ได้ด้วย”
“และเพราะอย่างนั้นเราถึงตัดสินใจสอบชิงทุน เพื่อมแสวงหาความรู้” เบลลามีเงยหน้ามองตาผมอย่างจริงจัง “เราจะหาวิธีรักษาโรคมานาบริสุทธิ์ให้ได้”
…นั่นแหละความฝันของเบลลามี ผมรู้ตั้งแต่ในนิยายแล้ว รู้มาตลอดเลย ..แต่คนที่เธอควรพูดด้วยคนแรกคือ ‘ยูจิ’ ไม่ใช่ผม
พับผ่าสิ ทำตัวเหมือนพวกฉวยโอกาสชะมัด ตัวผมเนี่ย ยังไงก็ช่างเถอะ ..
“จะคอยเชียร์นะ เบลลามี”
…พลันใดนั้นหน้าของเบลลามีก็ร้อนผ่าว ใบหน้าแดงแจ๋ แต่ยังคงซึ่งความเรียบเฉยไว้ เหมือนกับตุ๊กตาที่ลุกไหม้
“…เอ่อ”
“ขอบใจ ..จะพยายาม”
พูดจบเบลลามีจึงหยิบหนังสือออกใหม่ของเคียวยะไว้ในอ้อมอก
*****
วัยรุ่นสุขภาพดีสองคนกำลังยืนประจัญหน้ากัน ทั้งสองแผ่จิตสังหารออกมาอย่างไม่ผิดบัง และเริ่มลงมือ—-ปาลูกดอก
“กล้ามากที่มาท้าดวลเทพปาลูกดอกคนนี้!!” เรย์โพ่งขึ้นและปาลูกดอกอย่างเชี่ยวชาญ “หุ๊บ! โอ้ย! ยั้บ!!”
เข้าเป้าทุกดอก เพียงแต่—–ผิดกฎ!!
“คะ คุณลูกค้า ต้องปาลูกดอกในระยะห่าง 1 เมตรนะคะ อยู่ติดขนาดนั้น เด็ก 4 ขวบยังไม่ได้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นเลยนะคะ”
คุณเจ้าของร้านถึงกับต้องวิ่งมาห้ามเรย์ไว้ มิเช่นนั้นร้านได้เจ๊งจากการเล่นโกงของเรย์เป็นแน่แท้
“อะไรกัน อุตส่าห์ปาเข้าทุกดอก”
“ถ้าขนาดนั้นแล้วยังปาไม่เข้านี่สุดหาคำจะพูดแล้วละ” เคียวพึมพำในท่ากอดอก ท่าทางเก็กเข้มขรึมนั่นแสนมีเอกลักษณ์ “..ในเมื่อโดนปรับแพ้แล้วก็ช่วยไม่ได้ ถ้าได้คะแนนเท่ากันถือว่าฉันชนะบายละกัน”
“หะ เฮ้ย! ไม่แฟร์นี่หว่าไอ้บ้านี่”
“ให้ในระยะ 5 เมตรเลย”
“เชิญเลยคร้าบ!!”
ว่าแล้วเรย์ก็วิ่งวนเคียวยะซึ่งห่างจากระยะปาเป้าถึง 5 เมตร ..ระหว่างนั้นเรย์ก็เต้นท่ารำแสนจะเริงร่า เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีพลังเยอะสุดๆเลย
“กินเรียบ! ตามที่ตกลงกันไว้นาเคียวยะ ใครแพ้ต้องบอกเรื่องที่อยากรู้อะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”
“เออ ..อย่างแกไม่พ้นเรื่องชู้สาวอยู่แล้ว”
“ระ รู้ได้ไงกัน”
(เพราะคิดว่าจะชนะบาย เลยเผลอคิดเรื่องที่อยากขอไว้ก่อนแล้วไงละ ..) เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่
ถึงเคียวยะจะอ่านใจได้ แต่พลังของเขามันเป็นแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะอ่านใจได้เฉพาะเรื่องที่เจ้าตัวคิดในเวลานั้นเท่านั้น
“เอาละนะ” เคียวยะแสยะยิ้มและปาไป—–สมบูรณ์แบบ ทุกดอกเข้าไปเป๊ะๆหมด
ทุกคนที่เดินผ่านแถวนั้นถึงยืนอึ้งกัน
“บะ บ้าอะไรฟร้ะเนี่ย นี่เอ็งใช้เวทย์เสริมพลังกายใช้ป้ะ!”
“ถ้าใช้มันต้องมีออร่าพวยพุ่งมาสิ ทั้งหมดฝีมือล้วนๆ” เคียวยะเคาะสมองตัวเองเบาหวิว
‘ดวงตามหาปราชญ์’ คำนวณทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ เคียวยะแค่ออกแรงนิดเดียวทุกอย่างก็เข้าเป้าแล้ว
เรย์ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้ และไหล่ตกไป
“บ้าจริง ยอมแล้วๆ”
“ถ้านั้นขอถามละนะ”
“อ่า ว่ามาเลย จะถามอะไรก็ได้ยกเว้น ‘รักฉันมั้ย’ นะ ไอ้ฉันไม่ได้มีรสนิยมทางนั้น”
(น่ารำคาญจริงไอ้หมอนี่ ช่วยยืนเงียบๆให้ตูถามไม่ได้หรือไง)
เคียวยะจ้องหน้าเรย์ และโพ่งเรื่องที่สงสัยออกมาจากใจจริง—
“แกคิดจะคิดบัญชีกับเรเซอร์ตอนไหนกัน?”
….
…หา?
เป็นคราวแรกที่เรย์ชักสีหน้าออกมา เด็กหนุ่มผู้แสนเริงร่า ผู้ใช้ชีวิตได้สนุกที่สุดในโลก ผู้ไร้ความกังวลใดๆ เด็กหนุ่มผู้นี้กลับแสดงสีหน้า
“..ที่ถามนี่หมายถึงอะไรกัน?”
“อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ แกคิดจะเคลียร์ปัญหาระหว่างเรเซอร์ตอนไหน” เคียวยะแสยะยิ้ม “คงไม่ใช่ว่าจะเล่นคนเขาทีเผลอหรอกนะ”
“….”
“…เอ้า ว่าไง …ถ้าพูดไม่ได้ จะขอดูอย่างไม่เกรงใจละนะ”
ขณะที่เคียวยะกำลังจะเปิดใช้งานดวงตามหาปราชญ์นั้นเอง …
“…โทษทีนะ เคียวยะ”
เรย์เผยยิ้มแสนจะเสแสร้ง
“ช่วยเงียบปากทีได้มั้ย?”
รอยยิ้มนั่นไม่ได้ยิ้มตามแววตาไปด้วย ..
MANGA DISCUSSION