เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 43: สักขีพยานชีวิต
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 43: สักขีพยานชีวิต
< < 35 > >
เกริ่นนำกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ดันมีมหามังกรวายุผู้ยิ่งใหญ่นาม ‘แซร์อิซ’ กับผู้ติดตามของเขา ‘อลิซ’ ทั้งสองมาขออาศัยอยู่ด้วยหนึ่งคืนเนื่องจากไม่มีเงินเช่าโรงแรมแล้ว
แรกๆก็ไม่คิดจะให้ทั้งสองพักเพราะเป็นตัวอันตรายต่อความปลอดภัยของผม แต่ก็ได้อลิซใช้นิสัยพ่อค้าคุยไว้ทำให้ผมยอมให้อยู่ได้ ภายใต้ข้อตกลงที่ว่า—-
‘—จะไม่บอกอะไรใครทั้งนั้นเรื่องของเรเซอร์ แล้วก็จะให้ความช่วยเหลือในทุกกรณี’
พอเจอข้อเสนอที่ได้เปรียบสุดๆไปผมเลยตกลงรับ ทั้งปากเปล่า เพราะมังกรธาตุเป็นตัวตนที่จะไม่โกหกเป็นอันขาด ..เดี่ยวนะ
ผมเผอิญนึกหน้าฟัฟนิร์ขึ้นมาได้ เป็นยัยมังกรที่โกหกเพื่อเอาตัวรอดจากยูนา
หรือว่าผมจะคิดผิดอยู่กัน?
คิดได้ก็สายไปแล้ว เพราะ ณ ห้องนอนของผมได้มีแซร์อิซนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงของเจ้าของห้องแบบไม่อายใคร กับอลิซที่เอาผ้าหุ่มบางๆมานอนตรงพื้นโดยไม่มีทั้งผ่าห่มและหมอน
ภาพตรงหน้าแสดงถึงความเท่าเทียมทางเพศสุดๆ …ขอชื่นชมเจ้าจากใจจริงแซร์อิซ แมนมาก
“-อ อลิซเธอนอนบนเตียงก็ได้นะ เดี่ยวฉันนอนพื้นเอง”
อลิซนอนในท่าครกตัวด้วย เธอเล่ห์มองผมและส่งยิ้มให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้ว ปกติก็นอนอย่างนี้ประจำ”
“..แซร์อิซ”
แซร์อิซยังคงนอนแบบไม่อายสื่ออยู่
“นี่แซร์อิซ”
“อย่าเข้าใจผิดเชียวละเรเซอร์ ตัวข้ามิได้ทำเช่นนี้ประจำสักหน่อย ปกติข้ากับอลิซจะนอนพื้นด้วยกันอย่างอบอุ่นต่างหาก หากมีเตียงก็จะนอนด้วยกันเช่นกัน หากแต่ครั้งนี้อลิซเลือกจะนอนพื้นก็ต้องให้นอนพื้นไปดั่งใจต้องการ” แซร์อิซส่งสายตาจริงจังข่มผม “การตัดสินใจนั่นอย่าได้ดูถูกเชียว”
“ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเนี่ย ..เอาเถอะ”
ผมปล่อยวางเรื่องทั้งหมดและขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆกับแซร์อิซ
..เหงื่อเหม็นชะมัด
ผมพยายามหันหน้าหนีให้ไกลจากแซร์อิซมากที่สุด ความเหม็นของกลิ่นเหงื่อไม่ใช่เรื่องตลก อลิซต้องเจอแบบนี้ทุกคืนเลยเรอะนี่
“จะหลับละ อย่าส่งเสียงรบกวนละแซร์อิซ”
“เข้าใจแล้วเรเซอร์ ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงคนสนิทของน้องสาวข้าจะไม่รบกวนเจ้าให้ก็ได้”
ทำไมพวกมังกรธาตุถึงชอบพูดเรื่องเล็กๆให้ดูใหญ่ และวกวนไปมาตลอดเลยนา ไม่เข้าใจเลย ตั้งแต่คราวของฟัฟนิร์..ละ
ผมเกิดวูบไปทั้งอย่างนั้น สงสัยว่าความเหนื่อยล้าจะสะสมกันจัดๆ ..ก็นะ วันนี้เรียนก็หนัก เจอเรื่องปวดหัวมาอีกนี่นา—-
********
(ย้อนอดีต)
เมื่อ 3000 ปีก่อน ยุคสมัยแห่งมังกรธาตุ
“พวกเราคือใคร?”
มังกรร่างเขียวเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย พร้อมกันนั้นเสียงของมังกรสีแดงก็ตามมา
“ที่นี่ที่ไหน?”
มังกรแดงกล่าวขึ้น ตามกันมามังกรน้ำตาลก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าและมองไปที่ทิวทัศน์รอบโลก
โดยสุดท้ายนั้นมีมังกรฟ้าที่นอนอยู่เฉยๆมองไปที่พี่น้องมังกรทั้งหมด
“พวกเจ้าคือใคร?” มังกรฟ้าทักขึ้นมา———– “บิดาของข้าคือใคร?”
มังกรเขียวผู้ได้ยินคำพูดของมังกรฟ้าก็ได้จ้องไปที่เขา และยิ้มให้
—-หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มังกรเหล่านั้นก็ได้รับชื่อ
มังกรแดงถูกเรียกว่า ‘ฟัฟนิร์’
มังกรเขียวถูกเรียกว่า ‘แซร์อิซ’
มังกรน้ำตาลถูกเรียกว่า ‘เกรล’
และสุดท้ายมังกรฟ้าถูกเรียกขานว่า ‘เนลยอน’
ไม่นานทั้งสี่ก็ได้ชื่ออีกว่า ‘มหามังกรธาตุ’ มังกรผู้เป็นเจ้าของธาตุในโลกใบนี้
ตัวตนเหล่านั้นออกอาละวาดไปทั่วโลก และนำความมืดมาสู่โลกใบนี้ พวกมันทำเรื่องอย่างนั้นขึ้นโดยที่น้อยคนนักจะทราบสาเหตุ …สาเหตุที่มังกรธาตุได้คิดจะทำลายโลก ผู้ที่รู้มีเพียงมังกรธาตุด้วยกันเท่านั้น
****
แซร์อิซลืมตาตื่นขึ้นจากความมืดในยามค่ำคืน แม้จะนอนบนเตียงที่สวยหรูแต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขานอนหลับได้สนิท
มหามังกรวายุนึกถึงเรื่องของเนลยอนขึ้นมา ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“..เนลยอน..สิ่งใดที่ทำให้เจ้าโหยหาบิดานักนะ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” แซร์อิซกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดไหลออกมา “ทั้งๆที่สำหรับข้า พวกเจ้าสำคัญที่สุด เช่นนั้นแล้วเจ้าจะโหยหาความรักไปอีกทำไม”
แซร์อิซลำลึกไปถึงเรื่องเมื่อ 3000กว่าปีก่อน ในยุคสมัยที่พวกเขาพึ่งได้กำเนิด
แซร์อิซกล่าวออกมาโดยหารู้ไม่เลยว่ามีคนที่ไม่ควรให้ได้ยินที่สุดได้ฟังเข้าแล้ว
‘ไม่คิดว่าการโหยหาความรักที่ไม่มีมันแปลกหรอกนะค่ะ’
เสียงของยูนาเข้าหูของแซร์อิซเต็มๆ ..
“..ยังไม่หลับอีกรึ?”
‘วิญญาณหลับได้ที่ไหนกัน”
“ลำบากแย่เลยนะคุณยูนา เช่นนั้นน่ะ ฮะๆ!”
‘อย่าหัวเราะเสียงดังสิเดี่ยวมาสเตอร์กับผู้ติดตามของแกจะตื่นเอา’
แซร์อิซได้ยินคำสั่งของยูนาจึงเงียบกริบในทันที ในอดีตเขาได้รับรู้ว่าถ้าเชื่อฟังยูนาฟัฟนิร์หรือเกรลก็จะไม่ถูกหักคอเล่น เป็นวิธีเล่นสกปรกที่จนถึงปัจจุบันยูนาก็อดอับอายไม่ได้
‘สภาพของแกก็ไม่ได้ต่างจากฉันหรอกคะ’
“…” แซร์อิซเข้าใจดีว่ายูนาพูดถึงอะไร
‘ยังคงสลัดเรื่องเมื่อ 3000 ปีก่อนออกไม่ได้สินะคะ? ทั้งอย่างนั้นกลับไม่ใช่เรื่องของคนที่ตนฆ่าไปแต่เป็นเรื่องของตัวเอง’
“ขอโทษด้วยละกัน ยูนา”
แซร์อิซตัดคำว่า ‘คุณ’ ออกไปแล้วพร้อมกับบรรยากาศซึ่งแปรเปลี่ยน
“สิ่งที่ข้าควรจะให้ความสำคัญกว่าคือพี่น้อง มิใช่คนที่ข้าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ”
‘นั้นรึค่ะ แม้ว่าคนพวกนั้นก็ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวเหมือนกันแท้ๆ เป็นมังกรที่โหดร้ายเสียจริง’
ยูนาถอนหายใจทั้งๆที่เป็นวิญญาณ
‘ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเป็นปัญหาครอบครัว แต่ถ้าช่วยไม่ให้ความเสียหายกระจายไปทั่วโลกได้จะขอบคุณมากเลยค่ะ’ ยูนาเงียบไปช่วงหนึ่ง ‘ถ้าทำอย่างนั้นได้คนสำคัญของฉัน ก็คงจะไม่ตายด้วย เหตุผลที่ฉันจะสู้กับพวกแกก็ไม่มี’
แซร์อิซลุกขึ้นจากเตียงและยืนอยู่ตรงพื้น
“..ข้าจะไม่เสียสิ่งสำคัญไปเหมือนเจ้าหรอก ยูนา”
‘ยังคิดจะปกป้องเนลยอนอยู่สินะคะ? ทั้งๆที่น้องชายที่รักคิดจะฆ่าตัวเองแท้ๆ’
แซร์อิซถึงกับสะอึกไปที่ยูนาสวนกลับ
‘เนลยอนคือตัวอันตรายคะ จำเป็นต้องถูกกำจัด แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ เจ้ามังกรที่โหยหาในจุดสิ้นสุดของโลกน่ะ’
‘เนลยอน’ มหามังกรวารี น้องคนเล็กของตระกูลมังกรธาตุ ตัวตนผู้นี้ปารถนาในจุดสิ้นสุดของโลก เพราะฉะนั้นสงครามเมื่อ 3000 ปีก่อนจึงได้เกิดขึ้นมา
เป้าหมายของเนลยอนคือการคืนชีพบิดาของตนเอง ‘เทพมังกรเทียแมท’ ขึ้น โดยการเอาแกนแท้ของมังกรธาตุทั้งหมดมาทำลายเพื่อให้โลกล่มสลาย จากนั้นเทพทั้งหมดก็จะคืนชีพกลับมา ในวาระสุดท้ายเนลยอนก็จะได้พบกับบิดาที่ตนโหยหามาตลอด นั่นคือเส้นชัยที่เนลยอนตั้งเอาไว้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังจะทำต่ออีก โดยไม่สนว่าได้พบกับใครบ้าง ได้เจอกับอะไรบ้าง ..จนสุดท้ายเนลยอนก็ยังยึดติดกับความปารถนาที่ผิดเพี้ยนนั้นโดยไม่นึกย้อนกลับมาที่คนสำคัญที่อยู่ข้างๆตัวเอง
ชนวนของสงครามคราวนั้นมีหลายกรณี อย่างแรกคือการที่เนลยอนอาละวาดไปทั่วทำให้โดนคนจะฆ่า อย่างสองคือพวกมังกรธาตุตนอื่นที่มาปกป้องเนลยอน และอย่างสามคือการที่มังกรธาตุสู้กันเอง
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาครอบครัวทั้งสิ้น
ยูนารู้ถึงเรื่องนี้ในช่วงสุดท้ายของสงคราม และคิดจะฆ่าเนลยอนให้ได้กับมือเพื่อจบทุกอย่าง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากมังกรธาตุตนอื่น ทำให้เธอเลือกจะแยกส่วนพลังของมังกรธาตุแทนในการฆ่าทิ้ง ..จนปัจจุบันนี้มังกรธาตุจึงยังอยู่รอด โดยเฉพาะเนลยอนที่ซุ่มทำอะไรสักอย่างอยู่จนถึงปัจจุบัน
และเป็นการกำเนิดถึง สายเลือดเก้าส่วนของมังกรธาตุที่เปลี่ยนไปเป็นอาวุธสงครามอีก ..หนึ่งในผู้ที่ครอบครองพลังของมังกรธาตุคือตัวของ ‘หนิง’ ด้วย
แซร์อิซกอดอกตัวเองและยิ้มออกมา
“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเป็นศัตรูกับข้าละนะ ข้าจะปกป้องเนลยอนเอง”
‘โง่เขลาจริงๆ ทั้งที่เจ้านั่นคิดจะฆ่าแกน่ะรึ?’
“ใช่แล้ว เพราะพี่น้องของข้าสามคนไม่มีใครสำคัญเปรียบได้ไงละ ข้าจึงจะช่วย ต่อให้โลกใบนี้จะพังพินาศไปก็ตามที”
ยูนาแอบกุมขมับกับการตัดสินใจของแซร์อิซ สุดท้ายเธอกับมังกรธาตุก็ต้องสู้กันต่ออย่างไม่มีตอนจบสินะ
“ถ้านั้นมาเริ่มเลยมั้ยละ? ศึกคราวที่สองของพวกเรา ครั้งก่อนเจ้าเล่นมี ‘เซเนีย(ที่ ณ ปัจจุบัน เป็นมหาภูติ)’ ติดตัวด้วย จึงไม่นับว่าแพ้ ครั้งนี้มาดวลกันด้วยพลังของตัวเองดีกว่า ข้าเองก็ได้ดาบพลัง 9 ส่วนของตัวเองมาแล้ว ไม่คิดจะแพ้หรอก”
‘..ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่คิดจะฆ่าแกในตอนนี้หรอก วางใจได้’
ยูนาพูดจากใจจริง เธอไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้
‘มังกรธาตุ หากไม่รวมพลัง 10 ส่วนให้ครบ ไม่มีทางชนะมาสเตอร์ของฉันได้หรอกค่ะ’
อย่างที่ยูนาว่า เรเซอร์กับมังกรธาตุที่มีพลังแค่ 1/10 +อุปกรณ์ที่มีพลังของตัวเองแต่ใช้ได้ไม่เต็มที่ ไม่ใช่คู่มือที่สูสีเลย
แซร์อิซเข้าใจถึงจุดนั้นได้เพราะเขาเองก็ผ่านโลกมาเยอะ และดูออกในปราดเดียวถึงระดับความสามารถ
ขืนสู้กันตอนนี้ได้ตายไปหนึ่งปีเต็มแน่ ..แซร์อิซค่อยๆคลี่ยิ้ม และปล่อยเนื้อปล่อยตัวนอนลงบนเตียวอีกครั้ง
“ก็ได้ ไว้ครั้งหน้าละกัน”
‘แน่นอนค่ะ พวกเรามีโอกาสได้สู้กันแน่ ถ้าเกิดครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ใจกลางเมืองคงเปิดศึกกับแกไปแล้วละ’
แซร์อิซเงียบไป ..
“จะว่าไปยูนา เจ้ารู้รึยังว่าจอมมารดิลุคจะกลับมาเมื่อไหร่?”
แซร์อิซถามราวกับเป็นเรื่องปกติ ไม่สิ มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้วต่างหาก
‘…ไม่ทราบค่ะ’
ยูนารู้มาจากเรเซอร์เรื่องของตัวตนของจอมมารดิลุค และเวลาในการถือกำเนิดใหม่ เพื่อการนั้นจึงจะวางแผนหยุดยั้งกัน แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่บอกคนอื่นได้ตามใจชอบ
“นั้นรึ จริงๆแล้วข้าก็มีเป้าหมายอีกอย่างละนะ” แซร์อิซยกมือขึ้นฟ้าและขยี้อากาศเล่น “ร่างสถิตของจอมมารดิลุค ข้าจะตัดไฟมันตั้งแต่ต้นลม”
…..ยูนาแอบยิ้มในใจ
‘ว่าแล้วเชียว พวกเราอาจจะได้สู้กันเร็วกว่าที่คิดก็ได้นะค่ะ แซร์อิซ’
แซร์อิซแอบตะหงิดใจกับที่ยูนาพูดเล็กน้อย แต่ก็ชั่งมันประไร
******
เวลาตี 5 ของทุกวัน เป็นเวลาตื่นนอนของผม
ผมดึงร่างขึ้นจากเตียงอันแสนนุ่มนิ่ม และลุกไปยืนส่องกระจกเพื่อดูสภาพหน้าตัวเอง
“อืม สีหน้าท่าทางดูดีแหะ นอนประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันก็ไม่เลว” ผมบิดขี้เกียจตัวเอง และเดินไปหยิบเสื้อโค้ทซึ่งแขวนไว้กับตู้เสื้อผ้ามาใส่ “..เอาเถอะ”
พึมพำกับตัวเองเสร็จก็จะออกไปวิ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่จังหวะนั้นผมก็ดันเห็นอลิซนั่งอยู่บนผ้าที่ใช้นอนพื้น
เธอจดจ่ออยู่กับจี่สร้อยคอบนมือของตัวเอง
เป็นจี่สีทองที่ดูมีราคามาก ..
“อลิซ”
ด้วยความดลใจอะไรสักอย่างผมเลยทักอลิซ เธอสะดุ้งเล็กน้อยและมองมาทางผม ด้วยแววตาที่เปลื้อนคราบน้ำตา
“..เอ่อ” ผมทำอะไรไม่ถูกไม่ชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ “โทษทีนา”
อลิซส่ายหัวให้ผมโดยเร็ว
“ไม่หรอกค่ะๆ ขอโทษด้วยนะค่ะดันทำเรื่องเสียมารยาทซะได้”
เธอเช็ดน้ำตาออกด้วยแขนที่แสนจะบอบบาง และคลี่ยิ้มกลับ
“คือ..แค่คิดถึงเรื่องในอดีตนิดหน่อยคะ”
“โดนเจ้าวิตถารนั่นลักพาตัวมาเหรอ?”
ผมชี้นิ้วไปทางแซร์อิซที่หลับแบบกินพื้นเตียงสุดๆ
ไอ้บ้านั่นทำอะไรกับเด็กอายุแค่นี้เนี่ย รู้สึกโกรธขึ้นมาจับใจเลย
“ไม่เกี่ยวกับแซร์อิซหรอกคะ กลับกันเลย เขาเป็นคนที่ช่วยฉันด้วยซ้ำ”
“ช่วยเหรอ?”
“ค่ะ
แปลกใจเลยแหะ
“ถ้าไม่รังเกียจ ฉันขอเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าคะ? เผื่อจะเป็นประโยชน์ในอนาคต”
“จะดีรึ ดูเป็นเรื่องที่ลำบากใจชอบกล”
“ไม่หรอกค่ะ พวกเรากับคุณเรเซอร์ยังไงก็เป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว”
..นั่นสินะ กับฟัฟนิร์เรียกว่าพันธมิตรก็ได้ แล้วแซร์อิซกับฟัฟนิร์ก็เข้าข้างกันยิ่งกว่าพันธมิตรอีก จะตีความเช่นนั้นก็ไม่แปลกเลย
เรื่องตงๆตีๆกัน คงไม่มีหรอก
“เข้าใจแล้ว”
“..เช่นนั้นก็—”
อลิซเล่าเรื่องเมื่อไม่กี่เดือนก่อนให้ฟังจนหมด เรื่องก่อนที่เธอจะต้องหนีเอาตัวรอดพร้อมๆแซร์อิซ
เหมือนว่าเธอจะถูกตามล่าโดยใครสักคน ทำให้ตระกูลพ่อค้าของเธอโดนลูกหลงไปด้วยจนล้มละลาย และพ่อซึ่งเป็นคนสำคัญคนเดียวก็ถูกจับไปขังคุกอีก โชคดีที่แซร์อิซมาช่วยไว้และพาเธอออกเดินทางด้วย ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องเอาตัวรอดพร้อมกับหนีไปด้วย ด้วยตัวคนเดียว ..
…อะไรละนั่น?
ผมตั้งคำถามนั้นขึ้นมาหลังจากได้ฟังจนจบ
“คนเรามันซวยได้ขนาดนั้นเลย”
“..ฮะๆ ค่ะ บางทีฉันก็เผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นมนุษย์จากอาณาจักรซวย” อลิซพูดเรื่องซวยเหลือหลายเหมือนเป็นเรื่องปกติ และขบขันในชีวิตตัวเอง “อย่างตอนเด็กๆ ที่ฉันไปสุ่มเครื่องกาชาเล่นๆแต่ก็โดดดูดตังค์จนหมดเพราะเครื่องมีปัญหา พอไปแจ้งก็ดันโดนความหลอกและโดนเอาคืนจนเงินหมดเยอะกว่าเดิม ..เคยโดนเรียกค่าไถ่ด้วยนะคะ จู่ๆก็โดนใส่ร้าย”
อลิซทำมือนับนิ้วเป็น 1–2–3–4–…
“หรือเร็วๆนี้ก็ได้คะ ฉันกลายเป็นที่รังเกียจของคนในคลาสเรียน จนแทบไม่มีที่ยืน ..แต่นั่นก็มีเรื่องดีๆแทรกมาบ้าง”
อลิซยิ้มออกมาอย่างสดใส
“ฉันได้พบกับแซร์อิซคะ ..ตัวฉันที่หลงใหลในตำนานของมังกรธาตุเหนือสิ่งอื่นใด ได้พบกับเขา นั่นคือความปลาบปลื้มหาที่สุดได้ ..แต่พอมาคิดอีกทีก็ซวยมากเลยคะ ที่มังกรธาตุซึ่งเคราพรักดันกลายเป็นไอ้ชอบโชว์มาโซคิสต์เนี่ย”
ซวยจริงๆแหะเด็กคนนี้
“..แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ ว่าใจจริงของฉันรู้สึกดีจริงๆที่ได้พบกับแซร์อิซ แม้เขาจะนำพาความซวยหลายต่อหลายอย่างมาให้ก็ตาม แต่—กับผู้มีพระคุณของชีวิตฉัน เรื่องพวกนั้นจะทำเมินหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
คิดบ้างนั้นจริงดีแน่เหรอ? แซร์อิซผมไม่คิดว่ามันเป็นชายที่ดีนักหรอก ที่ช่วยอลิซอาจจะแค่บังเอิญตรงกับเป้าหมายตัวเองก็ได้ ..ผมไม่คิดว่าแซร์อิซจะดูแลใครได้ด้วย
แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเป็นเพียงคนที่พึ่งรู้จักแซร์อิซ และรู้แต่ด้านเสียๆหายๆ ด้านดีของเขาไม่ได้รู้อะไรเลย ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินหรอก
“..เอาเถอะ เธอคิดดีแล้วสินะว่าจะเป็นผู้ติดตามของเจ้ามังกรนี่น่ะ”
ผมถามย้ำออกไป และอลิซก็ตอบทันควัน
“ค่ะ ฉันจะตามแซร์อิซไปด้วย จนกว่าความปารถนาของพวกเราสองคนจะเป็นจริง”
..งั้นเหรอ
“เข้าใจแล้วละ ในฐานะพันธมิตรถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาได้เลย แน่นอนว่าถ้าฉันเกิดโดนจอมมารไล่ฆ่า หรือจะเอ๋เจอสุดแกร่งของโลกมาไล่หวด พวกหล่อนก็มาช่วยด้วยนา”
ผมชูกำปั้นไปให้อลิซ
“ค่ะ”
เธอเอากำปั้นชนกลับ เป็นสัญญาปากเปล่าสุดเท่ของผมเอง
สนทนากันเสร็จแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไป
“พวกเธอ จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ไปคุยกันเองละ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“อ่า”
ผมปิดประตูห้อง และออกไปทำกิจวัตรประจำวัน
*****
(มุมมองของอลิซ)
คุณเรเซอร์ออกไปแล้ว ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับวางก้อนหินในอกลง
“เป็นครั้งแรกเลยที่คุยกับคนแปลกหน้าได้ลื่นขนาดนี้ ..อีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายด้วย เห้อ ลำบากใจจัง”
ตั้งแต่เด็กยันโต กับคนแปลกหน้าฉันคุยด้วยไม่ได้เลย หรือกับคนรู้จักก็คุยด้วยได้นิดเดียวแบบถามมาตอบไป กับผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่
กล่าวได้ว่าทักษะการสนทนาของฉันเข้าขั้นห่วยแตก ..แม้แต่ตอนเจอกับแซร์อิซครั้งแรกก็เป็นเหมือนกัน แค่พวกเราคุยกันได้เพราะความเกลียดชัง ..ใช่ ครั้งแรกที่เจอกันเต็มไปด้วยความเกลียดชังของฉันที่มีต่อแซร์อิซ
ฉันคิดว่าแซร์อิซคือผู้แอบอ้างเป็นมหามังกรธาตุ นั่นทำให้ทะเลาะกัน และปากเสียใส่กันหลายครั้ง ย้อนกลับไปก็แค่ไม่กี่เดือนเอง แต่รู้สึกเหมือนมันสำคัญเอามากๆ เหมือนกับความทรงจำอันล้ำค่าในวัยเด็ก
ว่าก็ว่าเถอะ การได้พบกับแซร์อิซมันเหมือนโชคชะตาที่น่ายินดี
“..ฮิๆ”
ฉันเผลอหัวเราะพึมพำออกมา
“ให้ตายสิ เจ้าเนี่ยนา” เสียงของคนที่คุ้นเคยดังขึ้นทันใด
แซร์อิซนั่นเอง
เขานอนอยู่บนเตียงในท่านอนเอาแขนหนุน จ้องลงมาที่ฉันซึ่งอยู่บนพื้น
ดวงตาสีเหลืองออกเขียวมองมาที่ฉันราวกับทะลุถึงภายในจิตใจ
“ไปเล่าให้เจ้ามนุษย์เรเซอร์ฟังทำไมกัน เรื่องพวกนั้นน่ะ”
“..ก็เป็นพันธมิตรนี่?”
แซร์อิซส่ายหัวให้ด้วยท่าทางน่าโมโห เป็นการออกท่าทางที่ฉันเจอมาตั้งมากมายแต่ก็ยังไม่ชิน เพราะมันโคตรจะน่าหมันไส้
“หัวอ่อนไปแล้วเจ้าน่ะ ขืนโดนหลอกขึ้นมาทำไง?”
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่หรอกน่า คุณเรเซอร์เขาเป็นผู้ชายที่ดีจะตาย”
ว่ากันตามตรง คุณเรเซอร์คือผู้ชายในอุดมคติเลยละ ทั้งใจดีและดูแบดบอยนิดๆ หน้าตาดีมากๆด้วย เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่อีก ..
“ดีกว่านายร้อยเท่าเลย”
พูดจริงนะเรื่องนี้น่ะ
“ฮะๆๆๆ! พูดอะไรได้น่าตลกชะมัด เช่นนั้นไม่ไปอยู่กินกับเจ้านั่นเลยละ?”
“..เอ่อ”
โกรธแล้วรึเปล่านะ?
“โทษที..นะ”
“จะขอโทษทำไมละอลิซ” แซร์อิซทำเป็นหันหน้าหนี จนทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ … “วะฮ่าๆๆๆๆๆ ตัวเจ้าที่ซึมเพราะรู้สึกผิดมันคล้ายกับน้องสาวข้าดีจริงๆ”
อ๊ะ! ไอหมอนี่มันตั้งใจแกล้งกันนี่หว่า
“แซร์อิซ นี่นาย!”
“เอาละ! ออกเดินทางต่อดีกว่า”
แซร์อิซลุกขึ้นจากเตียงและโพ่งพ่างเดินออกไปโดยไม่สนใจฉันเลย ..หมอนั่นเป็นแบบนี้ตลอด ทำอะไรไม่เคยคิดถึงคนอื่น ขนาดฉันที่อยู่ด้วยกันตั้งหลายเรื่องยังไม่แคร์กันเลย…ช่วยใส่ใจฉันหน่อยไม่ได้รึไงนะ
ประตูห้องที่ถูกแซร์อิซเปิดออก มีหัวของท่านมหามังกรโผล่มาราวกับจั้มสแก
“กรี๊ด!”
“ตกใจอะไรเล่า อย่ามัวแต่ให้ข้ารอได้มั้ย?”
..รอฉันอยู่เหรอ…เอ๋
“..-ท โทษทีละกัน”
ฉันลุกขึ้นและสะพายกระเป๋าหนัง ก่อนจะออกวิ่งไป ด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋
และชอบเป็นอย่างนี้ตลอด เวลาที่คิดว่าเขาทำแต่เรื่องแย่ๆ ก็ชอบมาทำเรื่องดีๆตลบหลัง เลวร้ายที่สุดเลย
“..จอรอได้ก็รอได้นี่นา …” ฉันเงยหน้าที่มองพื้นเพราะความอายขึ้นมา และ “—-หายไปอีกแล้ว!!!!”
แซร์อิซหายวับไปกับสายลมโดยไม่รอฉันอีกแล้ว—-
“—-บ้าที่สุด!! อย่ามาล้อเล่นกับหัวใจสาวน้อยนะ ไอ้มังกรวิตถาร!!”
ฉันออกวิ่งตามไปด้วยน้ำตา
***
แซร์อิซนั่งรออยู่ที่โขกหิน ซึ่งมีสายลมพัดผ่านไปมา นอกตัวเมืองที่มองเห็นเมืองได้จากที่ไกล นั่นคือที่ๆแซร์อิซนั่งรออลิซอยู่
เขามองไปที่ทิวทัศน์โดยรอบ เพื่อรอเด็กสาวผู้เป็นคู่หูกับมหามังกร
ไม่นานนักเด็กสาวก็มาด้วยใบหน้าที่ราวกับจะฆ่าใครสักคนเร็วๆนี้
“แกนะแก!!! แซร์อิซ!!!”
อลิซร้องโวยวายโดยที่ยังวิ่งไม่หยุด เธอวิ่งแจ่งมาหาแซร์อิซอย่างไม่คิดชีวิต
แซร์อิซเห็นดังนั้นก็แอบหัวเราะเบาๆต่างจากทุกที
“ไปกันเถอะอลิซ เวลาไม่รอใคร”
“นายนั่นแหละ รอฉันหน่อยสิ!” อลิซมาหยุดอยู่ที่หน้าของแซร์อิซ พร้อมกับหายใจหอบแฮก “..ไม่เคยรอกันเลย นายนี่มัน..”
แซร์อิซเกาหัวตัวเองพลางหันหน้าหนี
“อย่าที่ว่าไว้ เวลาไม่เคยรอใคร”
“อย่าพูดเอาแต่ได้อย่างนั้นสิ!”
“…โทษทีละกัน เจ้ามนุษย์”
“..นี่ เรียกฉันว่า ‘อลิซ’ สิ พูดเช่นนั้นมันห่างเหินแปลกๆนะ คิดว่า”
“เข้าใจแล้ว อลิซ”
“..มันยังดูห่างเหินแปลกๆอะ”
แซร์อิซเผลอยิ้มแบบจริงใจโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้อลิซแก้มแดงนิดๆด้วย
“เป็นเจ้ามนุษย์พิลึกชะมัด เจ้าเนี่ย”
“ที่พิลึกมันนายต่างหาก”
“ไม่หรอก เจ้าต่างหากที่พิลึก …ถ้าหากมันเป็นโชคชะตาก็ไม่เลวแหะ ข้ากับเจ้าช่างเหมือนกันจนคิดว่าการได้พบกันคือชะตากรรมเลยละ”
อลิซทำหน้างงๆกับสิ่งที่แซร์อิซพูดเล็กน้อย
“ไม่ได้ยินนั้นรึ เสียงของมานาน่ะ”
“..ได้ยินก็บ้าแล้ว”
อลิซคิดว่า ‘แซร์อิซพูดแต่เรื่องเข้าใจยาก’
“คงจะอย่างนั้น แต่ข้าได้ยินชัดเจนเลย …ข้าเองก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละอลิซ”
ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่หันหลังและก้าวเท้าเดิน ก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่าง
“การได้พบเจอกับเจ้า นับว่าเป็นโชคของข้าเลยละอลิซ ..เป็นโชคชะตาที่ดีเทียบเท่ากับเมื่อ 3000 ปีก่อนเลย”
แซร์อิซพึมพำเบาหวิว เขาไม่ตั้งใจให้อลิซได้ยินจึงพูดเช่นนั้น
“อลิซ ข้าขอถามซ้ำอีกครั้ง ความปารถนาของเจ้าคืออะไร?”
“..ช่วยพ่อ และมีชีวิตที่ดี”
“งั้นรึ เช่นนั้นก็ดี—-จุดจบของข้า คือจุดเริ่มต้นความสุขของเจ้า ก็ไม่เลว”
“—-เอ๋”
…
… อลิซได้แต่กุมหน้าอกตัวเองแน่นและเดินตามแซร์อิซไป
“มังกรธาตุเป็นอมตะไม่ใช่หรือไง”
เธอรู้สึกสับสนในใจหลังจากที่ได้ยิน
“ไม่รู้สิ… แต่ ‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ อะไรสักอย่างมันบอกข้า ว่าให้ทำบางสิ่งให้สำเร็จก่อนจะต้องดับสูญ ..สักวันต้องมาถึงแน่ ไม่สิ มันควรมาถึงตั้งนานแล้ว—–ก็เวลาตั้ง 3000 ปี มันนานเกินไปสำหรับข้าละนะ”
แซร์อิซจับใบไม้ที่ลอยมาติดหน้าตัวเองออก และโยนไป
“แต่ก่อนหน้านั้น ..ข้าต้องเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้ได้ก่อน ทั้งการเป็นสักขีพยานให้กับจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ หรือเรื่องของเนลยอน หรือกระทั่งเรื่องของจอมมาร และเรื่องของตัวข้าเองด้วย”
‘และสุดท้ายคือการเป็นสักขีพยานให้กับชีวิตใหม่ของอลิซด้วย’ แซร์อิซคิดเช่นนั้น
*****
(มุมมองเรเซอร์)
ผมเดินกลับเข้าห้องในหอ ด้วยร่างที่มีเหงื่อท่วมตัว เมื่อเข้ามาแล้วก็พบว่าไฟถูกปิด และห้องก็เงียบกริบ ..ออกไปหาอะไรกินกันสินะ ไม่สิ
“คงจะออกเดินทางต่อแล้วกระมัง”
อุตส่าห์คิดว่าจะคุยกับอลิซให้เยอะกว่านี้แท้ๆ
“เอาเถอะ” ผมเดินไปนั่งบนเตียง และ ..”จดหมาย”
พบกับจดหมายของใครสักคนที่วางไว้บนเตียง ผมจึงหยิบมันขึ้นมาและเปิดออก
‘—-ชิน สหายของเจ้ายังไม่ตาย’
…มหามังกรวายุ ‘แซร์อิซ’
….
“….เอ๊ะ”
ในหัวโล่งสนิทโดยทันที