เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 390
< < 244 Sec2 > >
นี่คือเวทีของยูนา
การสะบั้นมิติพร้อมกับสร้างมิติได้ทำให้โลกใบนี้ของเรนย้อมด้วยสีเขียวและม่วง รอยกระจกแตก รอยกระจกอันเป็นเอกลักษณ์ของยูนาและเซเนีย ทำให้โลกใบนี้นั้นยากจะทราบได้ว่าก้าวถัดไปตัวเองจะไปโผล่ที่ไหน ทุกๆจุดการก้าวเดินบนโลกใบนี้นั้นมั่วซั่วไปหมดแบบผิดธรรมชาติ
นอกจากนั้นบนพื้นสีเทาที่ว่างเปล่าก็ค่อยๆถูกย้อมด้วยผืนหญ้า รากไม้ และต้นไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา
“นึกถึงตอนเด็กๆเลยนะคะ เรน”
“นั่นสินะครับ”
อย่างกับว่านี่คือโลกแห่งความฝันที่กำลังถูกสร้างสรรค์โดยคนสองคน—ยูนาออกวิ่งบนโลกใบนี้ เช่นเดียวกันกับเรน ทุกการเคลื่อนไหวของสองคนนี้ทำให้โลกใบนี้มุ่งสู่การวิวัฒนาการณ์ซึ่งไร้สุดสิ้นสุด
ประกายดาบสีเขียวปนม่วงปะทะกับแสงสีขาวของเทพมังกรที่ไร้รูปลักษณ์อันแน่ชัด บ้างก็เป็นดาบ บ้างก็เป็นหอก บ้างก็เป็นโล่ อย่างไรก็แล้วแต่ ทุกจังหวะการปะทะนั้นสง่างาม ด้วยท่วงท่าการขยับที่บรรลุในศาสตร์ของตัวเอง และประกายแสงมากมายที่งดงาม
ยากจะเข้าใจ แต่ตัวผมที่วิ่งไล่ตามจากข้างหลังพอเข้าใจได้ ..ยูนากับเรนกำลังเล่นสนุกกันอยู่
“ไม่ได้เล่นกับเรนมานานแล้วนะคะ น่าคิดถึงจริงๆค่ะ”
“ใช่ครับ ถึงจะแพ้พี่ยูนาตลอด แต่ก็สนุกจริงๆนั่นแหละนะ”
การต่อสู้ของสองคนนี้มันเหมือนกับการละเล่น ไม่ได้หมายความว่ายูนาหรือเรนไม่เอาจริง ทั้งสองคนใส่สุดทุกอย่างที่มี เอาจริงกับการต่อสู้ มีเป้าหมายคือการเอาชนะอีกฝ่ายโดยการฆ่าให้ได้เป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ว่าทั้งอย่างนั้น มันกลับแฝงไปด้วยความสุขเสมือนการละเล่น
“แน่นอนอยู่แล้วสิค่ะ ก็ตอนนั้นเรนเอาแต่ไล่ตามฉัน”
“จะบอกว่าไม่มีทางตามทันนั้นสินะ หึๆ แต่ว่านะ ตอนนี้ผมตามพี่ยูนาทันแล้วละ ก็–เลิกไล่ตามบนเส้นทางเดียวกันไปตั้งนานแล้วนี่นา แปลว่าตอนนี้ผมเหนือกว่าแล้วใช่รึเปล่านะ!?”
“เรื่องนั้นต้องไปพิสูจน์กันอีกทีค่ะ!”
บรรยากาศที่เรียกว่าโลกส่วนตัวนั้นแยกยูนากับเรนออกจากผมกับชิน
เวลาของพี่น้องรึไงกัน บัดซบเอ้ย–ผมได้แต่สนับสนุนการเคลื่อไหวเล็กๆน้อยๆ พลางใช้วิหคอมตะเรียกมานาของยูนาให้เต็มถังตลอด เพื่อให้เธอสามารถสู้กับเรนได้แบบสูสีดังที่เห็น
การสะบั้นมิติ และสร้างมิติ สามารถยกระดับยูนาได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างก็เมื่อสมัยอดีตที่ยูนาสามารถสู้กับมหามังกรพร้อมกันได้สามถึงสี่ตน หรือเอาชนะมหามังกรสองตัวพร้อมกันได้ง่ายๆ แต่นั่นทำได้เพราะยูนาทุ่มมานาทั้งหมดที่มี ตามสถานการณ์ปกติจะมีข้อจำกัดเรื่องมานาที่หากทุ่มสุดตัวก็จะคงสภาพได้ไม่นาน แต่เพราะมีวิหคอมตะของผมอยู่ ทำให้ยูนาจะอยู่ในช่วงที่ทุ่มสุดตัวตลอดเวลา
หรือก็คือจุดพีคที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้ยูนาพอรับมือกับเรนที่เป็นถึงเทพมังกรได้
ทว่า–ก็ใช่ว่าอะไรๆมันจะง่ายไปหมด
ถึงจะเร่งขีดจำกัดตัวเองให้พอตอบโต้กับเทพมังกรได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ว่าไม่นาน เรนก็สามารถชิงความได้เปรียบได้จากความสามารถที่หลากหลายกว่า
พลังของเทพมังกร แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่–พลังกายที่มหาศาล แต่กลับสามารถยกระดับได้อย่างปริศนาในบางครั้ง แสงสีขาวที่สามารถลบล้างและทุลุผ่านการใช้มานาทั่วๆไปได้ ทั้งยังสามารถหักล้างกับมานารูปแบบพิเศษได้ ความสามารถดั้งเดิมของเรนที่ยกระดับขึ้นหลายเท่าตัว นอกจากนั้นก็–หยุดเวลาที่เคยใช้เมื่อตอนสงครามกลางเมืองอาณาจักรเนลยอน
ดูจะเป็นพลังที่ไร้รูปลักษณ์ชัดเจน ยากจะจับต้นชนปลายให้ถูกได้ เรียกว่ามานารูปแบบพิเศษยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมันไร้รูปลักษณ์
อย่างกับ ..
“ ‘มานาบริสุทธิ์’ ”
จุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง มานาที่ใช้รังสรรค์โลกใบนี้และกฏทั้งหมด ไม่มีรูปลักษณ์ แต่สามารถบันดาลสิ่งใดก็ได้ นั่นละคือมานาบริสุทธิ์ หากให้พูดถึงสิ่งที่ใกล้เคียงกับมานาบริสุทธิ์ที่สุดก็มีแค่ ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ที่ตัดผ่านได้ทุกอย่าง แต่ว่านั่นก็ยังมีขีดจำกัดในตัวของตัวเองอยู่
ผมเองก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเหมือนกัน เพราะไม่ใช่พระเจ้าผู้ถือครองมานาบริสุทธิ์ แต่ว่า เทพมังกรอย่างเทียแมธ คือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด ว่ากันว่าเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รวมถึงเป็นเทพตนแรกของโลกด้วย ด้วยเหตุนั้นพลังของเทียแมธเลยอาจจะมีความใกล้เคียงกับมานาบริสุทธิ์ แต่ว่า ใช่ ยังไงซะมันก็ไม่มีทางเป็นมานาบริสุทธิ์ไปได้
ไม่ใช่ มานารูปแบบพิเศษ แต่ก็ไม่ถึงกับ มานาบริสุทธิ์
แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ ผมก็ยังไม่ทราบ แต่วิธีจัดการกับมันผมพอจะรู้แล้วละ
“..โธ่เว้ย”
แต่ว่า
ผมมองดูภาพที่ยูนารับมือกับเรนไม่ไหว จนต้องถอยออกมา และให้ชินคอยช่วยป้องกันหลายต่อหลายครั้ง
“ด้วยพละกำลังเพรียวๆของพวกเราตอนนี้มันยังไม่มากพอนั้นสินะ”
ต่อให้รู้หนทางชนะแต่แล้วมันยังไงละ ลำพังแค่ยูนากับชินที่พลังรับมือกับเรนได้ มันไม่ช่วยให้พวกเราชนะได้หรอก
ตัวผมตอนนี้–ไร้ประโยชน์
“….”
‘ถ้านั้นก็ทำตัวให้มีประโยชน์ซะสิ ..เป็นถึงคนรักของคุณดิลุคไม่ใช่รึไง?’
เสียงหนึ่งจู่ๆก็ดังขึ้นมาจากข้างที่ไหนสักแห่งข้างในชุดของผม ทำให้ผมหยุดวิ่งกระทันหัน และปล่อยให้สองคนนั้นรับมือกับเรนกันตามลำพัง ผมหยิบบางอย่างออกมา ซึ่งมันก็คือ ‘หัวใจ’ ของแมมม่อนที่ถูกแช่แข็งเอาไว้
ทันทีที่ดึงออกมาจากกระเป๋า ข้างๆตัวผม–แมมม่อนยืนอยู่ตรงนั้น
“..พูดเหมือนง่ายนะไอเบือก”
‘ถ้าเป็นคุณดิลุค ทุกอย่างมันจะดูเหมือนง่ายไปหมด ตัวแกที่ทำไม่ได้ไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนเคียงข้างเขาหรอกนะครับ จะบอกให้’
พล่ามอะไรของมันวะ
“ทำเป็นปากดี เป็นแค่ไอขี้แพ้ที่มีเวลาเป็นล้านๆปีก็จีบเขาไม่ติดแท้ๆ ไหนๆก็ตายแล้วช่วยเงียบปากหน่อยก็ดีนะ”
‘ชิ แกนี่มันน่าหมันไส้จริงๆ แต่ก็เอาเถอะ อยากจะยืนเถียงด้วยอีกสักหน่อยก็จริงแต่มันไม่ใช่เวลา มีธุระสำคัญสุดๆจะคุยด้วย’ แมมม่อนยืนเท้าสะเอว ทำเก๊กยืดคอมองผม ‘ตัวแกที่เป็นแค่มนุษย์ไล่ตามเทพมังกรไม่ทันหรอก’
เพราะอย่างนั้น
แมมม่อนชี้หัวใจของตัวเองบนมือ
‘ใช้มันซะสิ’
****
เทพมังกรกำลังถูกไล่ต้อนโดยยูจิและเคียวยะ—การกระหน่ำลูกศรโจมตีของ เท็งงุ เบ็นจิโร่ พร้อมด้วยทะเลสีรุ้งของมาเจล ทำให้เทียแมธไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ ระหว่างการรับมือกับสองคนตรงหน้าพร้อมๆกันยังต้องรับมือกับกำลังที่คอยบินไล่ตามสนับสนุนอย่าง เมอัน หนิง ลิเวียธาน และอังเฟกอร์
นอกจากนั้นก็มีคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย อาทิเช่น โอลิเว่อร์ที่ยืนกอดอกพยักหน้ารัวๆ แอสโมเดียสที่ระดับต่ำเกินกว่าจะเข้าร่วมได้ แล้วก็ฟัฟนิร์ที่เอาแต่ตั่วสั่นทำอะไรไม่ถูก
โดยรวมเป็นการต่อสู้หกต่อหนึ่ง ที่เทียแมธเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนก็จริง กระนั้นก็ไม่ได้สร้างบาดแผลหรือความเสียหายอะไรได้มากมายนัก
แค่ทางเทคนิคแล้ว เทียแมธไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆได้อีกต่อไประหว่างการต่อสู้
“…”
เทียแมธวิเคราะห์รูปแบบทั้งหมด โดยการเก็บข้อมูลจากการต่อสู้ในวิต่อวิ ก่อนที่จะได้ข้อสรุปมาว่า–เหตุผลที่ตนเองถูกไล่ต้อนเป็นเพราะ ‘สองเสาหลัก’ ของอีกฝ่าย ตัวการสำคัญที่ทำให้การต่อสู้นั้นไหลลื่น และกดดันเทียแมธได้สำเร็จ หรือว่าจุดศูนย์กลางของกลุ่มนั่นเอง
เท็งงุ เบ็นจิโร่ ที่ทำให้เทียแมธเคลื่อนไหวตามใจชอบไม่ได้ และ ยูจิ ที่ทำให้เทียแมธวางมือไม่ได้ ผลลัพธ์ที่สองคนนี้สร้างขึ้นทำให้อีกสี่คนที่เหลือสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปารถนา และก่อให้เกิดผลลัพธ์การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้
และหากว่ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เทียแมธจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน–คิดได้ดังนั้น เทียแมธก็ถีบตัวเองออกมาให้ไกลที่สุด แม้ว่าจะโดนไล่ตาม แต่ก็ต้องไปให้ไกลที่สุด—-เมื่อเว้นระยะได้ ถึงในอีกไม่ถึงสามวิต่อมาจะโดนไล่ตามมาจนทัน แต่นี่ก็คือช่องว่างใหญ่โตในการต่อสู้
“ตามไปอย่าให้ทำอะไรได้!” เบ็นจิโร่ออกคำสั่ง
“ตั้งใจอย่างนั้นอยู่หรอกนะครับ แต่”
อากาศเกิดการสั่นสะเทือน ปฏิกิริยาทางมานาถูกสร้างขึ้นโดยเทียแมธ ยูจิเร่งรีบไล่ตามมา แต่ก็ไม่ทัน
เมื่อรวบรวมทุกอย่างจนครบในสองวิแล้ว เทียแมธก็ระเบิดมานาที่รวมกันมานี้ทิ้ง
“ ..หยุดลง”
แสงสีขาววูบขึ้นหนึ่งจังหวะ— ‘การหยุดเวลา’ เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้
ทว่า
พร้อมกับที่แสงสีขาววูบขึ้น เพลิงสีขาวก็เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งจุดที่เกิดการหยุดเวลา เทียแมธหันไปข้างหลัง
“มาหาแล้วนะ เทียแมธ!!!!”
“จะ …ใจเย็น ..วิ่ง ..วิ่งตามไม่..ไม่ไหวแล้ว”
จอมมารสีขาววิ่งมาด้วยท่าทางร่าเริง ผิดกับจอมมารสีดำที่วิ่งๆหยุดๆหอบๆสลับกันไปมา
“มีกันสองคนนั้นรึ ดูท่าจะเกิดหลายๆอย่างขึ้นเลยนะ ..โซโลม่อน ไม่ได้พบกันนาน เห็นว่ายังสบายดีก็รู้สึกยินดีด้วย”
คำทักทายเป็นมิตรจนน่าแปลกใจ ทำเอาเรื่องที่สองฝ่ายนี้เคยฆ่ากันมาก่อนเป็นเรื่องโกหกไปเลย
ดิลุคหยุดวิ่งลง และเท้าสะเอวเชิดหน้ามองเทียแมธ เบลลามีเห็นว่าหยุดวิ่งแล้วก็ทิ้งตัวลงไปนอนหายใจหอบกับพื้น
“กับแอสทอเรียสตัดสินแล้วนั้นรึ”
“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
เทียแมธมองเข้าไปในห้วงลึกของดวงตาคู่นั้น
“สัมผัสไม่ได้ว่าแอสทอเรียสตายไปแล้วเลยนะ”
“..เรื่องนั้น”
เบลลามีพูดทั้งๆที่ยังหายใจหอบอยู่
“จะไม่สู้กับเอเธอร์อีกแล้ว ..ตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินทุกอย่างเรียบร้อย ..แล้ว”
ดิลุคเห็นเบลลามีเปิดปากพูดแทนตัวเองก็แอบอมยิ้ม ก่อนหันไปหัวเราะโชว์เทียแมธไปทีหนึ่ง
“ครั้งนี้แตกต่างกับทุกที เราไม่คิดจะทำลายอะไรอีกแล้วละ พอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้พูดที่อยากจะทำตอนนี้ก็มีแค่ทวงคืนสิ่งที่สูญเสียไปทั้งหมดมาให้ได้ก็พอแล้ว เรื่องของโลกต่อจากนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเรา..แต่เป็นหน้าที่ของชีวิตอื่นในยุคสมัยนี้ เราไม่ใช่ตัวหลักบนเวทีนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างมากก็แค่เครื่องมือชิ้นโต สำหรับเรื่องนั้น ท่านเองก็คงจะเหมือนกันนะ เทียแมธ”
“คงจะใช่ สถานะของข้าตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกัทาสรับใช้เลยละนะ”
“ของเรานั้นเป็นคนรักที่แสนวิเศษให้กับว่าที่ท่านสามี เขาจะสั่งอะไรก็เลยต้องทำตาม”
เทียแมธชินกับการพูดหยอกล้ออะไรที่ดูแรงๆตามปกติของดิลุคอยู่แล้ว แต่เรื่องคนรักนี่ทำใจชินยาก แม้จะแค่ครู่เดียว แต่เทียแมธก็แอบตกใจ
“เป็นเรื่องที่น่ายินดี หากเธอผู้นั้นได้ยินจะต้องยินดีด้วยเป็นแน่”
“ใช่แล้วละ”
กล่าวจบ ดิลุคก็ดีดนิ้ว เพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมา เบลลามีจับจ้องทุกการเคลื่อไหวเพื่อเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด ระหว่างนั้น ปีศาจมหาบาปทั้งสาม แอสโมเดียส อังเฟกอร์ แล้วก็ลิเวียธานก็วิ่งกูเข้ามาหานายเหนือหัวของตัวเองกัน
“ซาตานกับลูซิเฟอร์ล่ะครับ” คนแรกที่ถามคือแอสโมเดียส
“เซฟได้สวยมากเลยค่า ท่านหญิง” อังเฟกอร์ยกนิ้วโป้งลอยมา
“มาช้าจริงๆ!” ลิเวียธานวิ่งมาบ่นถึงที่
ดิลุคกับเบลลามีทำหน้าเอือมๆที่ต้องมาไล่ตอบคำถามทุกคนอย่างีนี้ แต่ว่าอย่างน้อยๆก็โชคดีที่มีกันสองคนเลยไล่ตอบได้ในเวลาไม่นาน
“ไม่ต้องห่วงสองคนนั้น ปลอดภัยกันดี ตอนนี้ให้พักไปก่อน อีกไม่นานจะมาสมทบเอง”
“ขอบคุณนะ ตัวเราดิลุครอจังหวะสวยๆอยู่พอดี เลยออกมาดี ทำให้เป็นเซฟได้สวย ทั้งๆที่จะรีบมาก็ได้ อือ เป็นผลของการทำงานหนักน่ะนะ แล้วก็ขอโทษนะที่มาช้า แต่ดิลุคบอกว่ารอก่อนน่ะเราเลยทำอะไรมากไม่ได้”
“โยนขี้ให้เยอะไปแล้วนะ ตัวเราเบลลามีเอ๋ย”
“ว่าแล้วเชียว คนอย่างหล่อนี่มัน!!”
ตามคาด จากนั้นกลุ่มของจอมมารก็พูดคุยเรื่องไร้สาระปนสาระกันไปตามปกติ โดยมีลิเวียธานบ่นแว๊กๆเป็นศูนย์กลาง
คนอื่นๆรวมถึงเทียแมธมองดูการสนทนานี้ด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่นานยูจิก็หัวเราะร่าออกมา
“พวกจอมมารว่าแปลกแล้ว นายที่หัวเราะในสถานการณ์แบบนี้ได้ยิ่งแปลก ขนลุกเลยแฮะ” มาเจลพูดพลางกอดไหล่ตัวเอง
“ฮะๆๆๆ ก็แบวว่าสมกับเป็นพวกคุณเบลลามีดีน่ะครับ ..ท่าทางแบบนั้นมันชวนให้คิดนะครับว่าไม่ว่ายังไง พวกเราก็จะชนะ เหมือนกับที่คุณเรเซอร์เป็น ในจุดๆนี้ทั้งสองคนเหมือนกันมากเลยละครับ”
“นั่นแหละเอกลักษณ์ของคู่รักบ้าๆนั่น” เคียวยะเสริม
“สองคนนั้นแปลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละนะ จะมองว่าเป็นข้อดีแทนข้อเสียก็ยังได้มั้งนะ” หนิงก็ช่วยเสริม
มาเจลยืนกอดอกฟังทุกคนบรรยายเกี่ยวกับเรเซอร์และเบลลามีแล้วก็หัวเราะแห้งๆ
“เป็นที่รักของปวงชนน่าดูนะ เจ้าเรเซอร์”
พอพูดแบบนั้นเคียวยะกับหนิงก็หน้าแดงขึ้นมา
“ไม่ได้อวยเจ้าบ้านั่นสักหน่อยนะ จะบอกให้ ต่อให้ชมก็เถอะ แต่ไม่ได้อยากอวยอะไรนะ แค่พูดไปตามเนื้อผ้าแค่นั้นแหละนะ!”
“เอกลักษณ์ไม่ได้หมายถึงในความหมายดีๆเสมอไปหรอก จำเอาไว้ซะ”
มาเจลทำเมิน เช่นเดียวกันกับยูจิ สองคนนี้จ้องไปที่เทียแมธ
“อะไรที่ทำให้มั่นใจว่าจะชนะกัน”
“..แค่ไม่อยากจะแพ้เลยคิดอย่างนั้นไว้ก่อนเฉยๆครับ”
“บ้าบอกันหมดเลยสินะ พวกแก”