เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 380
< < 235 > >
เหตุผลที่มิคาเอลแพ้เป็น เพราะเชื่อว่าทะเลสีรุ้งได้หมดสิ้นพลังไปแล้ว หลังจากที่โอลิเว่อร์มานาหมด แต่หารู้ไม่ว่าวินาทีเดียวกับที่โอลิเว่อร์มานาหมดออกจากร่าง ราวกับว่าทะเลสีรุ้งหลุดออกจากร่างโอลิเว่อร์ชั่วคราว มาเจลอาศัยจังหวะนั้นพิชิตทะเลสีรุ้งแล้วเอามาเป็นของตัวเอง จากนั้นก็ใช้ทะเลสีรุ้งในการเอาชนะมิคาเอล
ให้พูด มันคือแผนการณ์สุดบ้าบิ่น ที่มีเพียงราชาผู้พิชิตตัวตนเพียงหนึ่งเดียวที่พิชิตทะเลสีรุ้งได้เท่านั้นที่จะทำได้
ด้วยเหตุนี้เอง บนโลกใบนี้จึงมีเพียงแค่ โอลิเว่อร์ และมาเจลเท่านั้น ที่สามารถพิชิตทะเลสีรุ้งได้ เพราะอย่างนั้นมาเจลแม้จะบีองๆ แต่ก็มีค่าพอจะได้รับคำกล่าวชม
“ราชาของข้า หมายถึงมาเจลนั้นเป็นคนที่วิเศษ”
“ก็แค่คนโง่ที่โชคดีมีแกอยู่ข้างๆ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าหึง?”
“หึงผู้ชายกระล่อนอย่างแกไปก็ไม่มีควาหมายอะไรหรอก ..”
ผู้ชายกระล่อนนั้นสินะ พอโอลิเว่อร์มานึกๆดูตัวเองก็ทำเรื่องไม่ดีในฐานะสามีใส่มิคาเอลในฐานะภรรยาไว้มากมายมหาศาลเลย ไม่ว่าจะแอบนอกใจไปหาสาวเมืองละสองสามคนเป็นอย่างต่ำ หรือถ้ามีจังหวะก็จะแวะไปตีหม้อตลอด แม้ว่าบ่อยครั้งมิคาเอลมักจะโผล่มาตามแล้วจับตัวเองกระทืบมันซะคาที่ตรงนั้นให้อับอายขายขี้หน้าคนอื่นแล้วก็ตาม แต่มันก็บอกว่าเจ๊าๆกันไม่น่าจะได้
แม้แต่ปัจจุบันนี้ตัวของโอลิเว่อร์ก็หลอกใช้ผู้ทำพันธสัญญาของตัวเอง ให้ไปวิ่งไล่จีบสาวเล่นๆเป็นประจำอยู่เลย ด้วยเหตุนั้นทำให้โอลิเว่อร์ขึ้นชื่อว่าทำพันธสัญญาด้วยง่ายที่สุด เพียงแต่ต้องยอมไล่จีบสาวจนตัวตายเพื่อเขาก็ตาม ..การจีบสาวให้กลิ่นอายคล้ายกับการพิชิต โอลิเว่อร์ที่หลงใหลในการพิชิตไม่ว่าจะทำซ้ำเดิมบ่อยมากแค่ไหน ตัวเขาก็ไม่เคยเบื่อเลย แม้ว่าจะมีภรรยาอย่างมิคาเอลอยู่แล้ว
จะบอกว่าเป็นหนึ่งในผู้ชายเลวบัดซบคนหนึ่งก็ถูกแบบร้อยทั้งร้อย ข้อแก้ตัวดีๆไม่มีหรอก
แต่แรกเดิมที ภรรยาอย่างมิคาเอลก็ได้มาจากการพิชิตเจ้าหล่อน จากที่โดนมิคาเอลดักปล้นอาวุธบางชิ้นไปสู่การดวลหนึ่งต่อหนึ่ง โดยมีผลเป็นเสมอ ไปๆมาๆมิคาเอลก็เข้าร่วมกับกองทัพของโอลิเว่อร์ และยอมตกลงแต่งงานกับเขา กับเผ่ามนุษย์ที่เจ้าหล่อนเกลียดสุดขั้วของหัวใจ
“ให้ข้าพูดก็ดูยังไงๆอยู่นะ แต่กับมิคาเอลคือกรณีพิเศษ ต่อให้ฉันจะไปไล่ตามก้นผู้หญิงมันซะทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เธอก็แค่กระทืบฉันด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะเห็นว่ามนุษย์คนอื่นเป็นแค่หนอนแมลงเลยไม่คิดอะไรมากไปกว่าฉันเอาตัวไปคลุกกับหนอนแมลง”
ทำให้ไม่โดนทิ้งสักที อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้น ขอเพียงแค่ยอมโดนกระทืบ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียมิคาเอลไป ทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนที่สุดขั้วนี้ดำเนินไปต่อได้
“ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่”
“..ข้ารักมิคาเอล และอยากจะยืนยันความรู้สึกว่ามิคาเอลชอบข้าจริงๆรึไม่?”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ แกก็แค่เครื่องมือ เราตั้งใจจะขโมยอาวุธวิเศษทั้งหมดหลังจากตายจากไปตามอายุขัยแล้ว”
“อันนั้นสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ละกัน อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือล่ะ”
…..
“ดวงตาของเจ้ามันวิเศษ”
“..ชอบที่ดวงตานี่เอง น่าเสียดายแฮะ แสดงว่าข้ายังไม่ได้พิชิตมิคาเอลจริงๆด้วย” โอลิเว่อร์ชี้ดวงตาสีดาวของตัวเองที่แสงสีค่อยๆหายไปทีละนิด “ดวงตานี่ได้มาหลังจากข้าพิชิตทะเลสีรุ้งได้น่ะ พอทะเลสีรุ้งโดนอีกคนเอาไปมันก็จะหายกลับไปเป็นดวงตาสีดำตามเดิม เพียงเท่านี้ตัวข้าก็จะไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไปแล้ว”
มาเจลพูดเรื่องชวนหดหู่ทั้งรอยยิ้ม
“อย่างที่นายของข้าบอก ตัวข้าไม่ใช่ราชาผู้พิชิตอีกต่อไปแล้ว อาวุธวิเศษที่มิคาเอลปารถนาจะได้ก็ไม่มีอีกแล้ว เหตุผลที่ทำให้ข้าพิชิตสตรีผู้วิเศษเช่นมิคาเอลได้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ..”
เป็นครั้งแรกจริงๆที่มิคาเอลได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นของโอลิเว่อร์ ชายผู้ยิ้มแย้มอยู่เสมอโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว นั่นแหละคือโอลิเว่อร์ที่มิคาเอลรู้จัก ไม่ใช่ชายที่มีสีหน้าเศร้ากับการสูญเสียในตำแหน่งของตนเอง ..กับผู้ชายที่ไร้ยศ ไร้สมบัติใดๆแล้ว มิคาเอลไม่ควรจะไปอะไรด้วยอีก ทว่า มันดันไม่ใช่อย่างนั้น
เธอหรี่ตามองชายผู้เป็นสามีของตัวเอง ด้วยแววตาซึ่งผิดกับที่มองมนุษย์คนอื่น เป็นแววตาที่มอบให้ได้แค่คนๆเดียวบนโลกใบนี้
ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ในยามที่โอลิเว่อร์กระล่อนไปทั่ว เป็นแค่มนุษย์ชั้นต่ำมันจะทำอะไรกับมนุษย์ชั้นต่ำก็เรื่องของมัน ทั้งอย่างนั้น-
“..ดวงตาสีดำของเจ้าก็ไม่เลว”
“ไม่เลว?”
ไม่อยากจะเชื่อว่ามิคาเอลก็พูดคำปลอบใจเป็นด้วย โอลิเว่อร์หันหน้ากลับไปมอง และพบกับมิคาเอลที่มองเขาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มในความรัก
“โอลิเว่อร์ ความจริงคือเจ้าได้พิชิตเราไปเสียตั้งนานแล้ว”
ดวงตาสีฟ้าสะท้อนให้เห็นถึงมนุษย์เพียงผู้เดียวที่พิชิตเธอได้สำเร็จ
“ภูมิใจเสีย ต่อให้จะต้องสูญเสียทุกอย่างไป กระทั่งชื่อของราชาผู้พิชิต แต่เจ้าก็ได้พิชิตสตรีผู้วิเศษเช่นข้าได้สำเร็จ ด้วยรูปลักษณ์ของชายที่ไม่มีอะไรดีเลย เจ้าก็ยังคง ..พิชิตข้าได้อยู่ตลอด”
“..ผู้ชายที่หน้าตาบ้านๆ มีดีแต่ใช้อุปกรณ์และเล่ห์เหลี่ยมเข้าสู้แบบข้าน่ะเหรอ?”
“ไม่มีความจำเป็นต้องพูดไปมากกว่านี้”
คงจะอย่างนั้น มิคาเอลปล่อยให้โอลิเว่อร์ดีใจเก้อ จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“เท่านี้จะไปไล่ตามผู้หญิงคนไหนก็ตามสบายแล้วสิ ได้ทั้งกายเนื้อ ทั้งสถานะโสดกลับคืนมาแล้ว ไม่มีตัวเรามาค่อยไล่เตะตูดเหมือนแต่ก่อนด้วยอีก ชีวิตของเจ้าตอนนี้คงมีแต่ความสุขรออยู่สินะ ในฐานะเดนมนุษย์ชื่อโอลิเว่อร์น่ะ เฮ้อ ไม่ไหว ไม่ไหว”
โอลิเว่อร์ส่ายหัวตอบ และกล่าวอย่างหนักแน่น
“ฉันจะไม่นอกใจเธออีกเป็นครั้งที่เก้าร้อยเก้าสิบเจ็ด”
จำนวนการนอกใจกับสีหน้าเช่นนั้นช่างสวนทางกัน
“..นับไว้ด้วยสินะ”
“แน่นอนสิ เผื่อโดนถามว่าทำไปกี่ครั้งจะได้บอกได้ถูก”
ยังจะกล้าพูดอีกนะไอหมอนี่ ..มิคาเอลถึงกับคิ้วกระตุก
“เขียนใบหย่าไปแล้วไม่ใช่รึไง”
“อันนั้นเป็นแบบที่ต้องให้อีกฝ่ายยินยอมก่อนน่ะนะ”
ช่างเป็นผู้ชายที่กระล่อนอะไรขนาดนี้ มิคาเอลคิดอย่างนั้นแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา
“เหรอ ..ถ้านั้นก็ขอยินยอม”
การตัดสินใจง่ายๆของมิคาเอลทำเอาโอลิเว่อร์หน้าซีดเป็นไข่ต้ม
“หา!? เมื่อกี้พึ่งพูดคล้ายๆกับว่ายังรักข้าอยู่เลยแท้ๆ!”
“อย่าอวดดีไป”
มิคาเอลยิ้ม ร่างค่อยๆสลายไปทีละนิดจากเท้า จนตอนนี้ก็ไล่มาถึงลำตัวแล้ว
“อย่าลืมรีบตายแล้วแพ้ในศึกนี้ด้วยละ จะรอเอาคืนในที่แห่งไหนสักแห่ง”
“ไม่เกินร้อยปีจะกลับไปหาแน่นอน”
……
………
มิคาเอลหายไปแล้ว พูดโดยเป็นรูปธรรมเธอตายแล้วนั่นเอง ..อาวุธทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าเวทมนตร์ของเธอจะกระจัดกระจายไปทั่วทั้งโลก ตามธรรมชาติที่จะเป็นหลังผู้ถือครองตายจากไป ยกเว้นเพียงแค่ ‘มหาสุริยะ’ ซึ่งยังปักไว้อยู่ตรงพื้น โอลิเว่อร์ตั้งใจจะลุกไปหยิบมันเก็บเข้าตัวเอง ทว่าสัญชาตญาณบอกให้ตัวเองนั่งอยู่เฉยๆ
ไม่นาน ผู้ถือครองที่คู่ควรก็เดินมา มาเจลพร้อมกับอีสเตอร์ในร่างมนุษย์นั่นเอง
“คุยกันเรียบร้อยแล้วเรอะ?”
“ขอบคุณที่ให้เวลาช่วงสามีภรรยาปรับใจกันนะ นายท่าน” โอลิเว่อร์เบิกตาโพลงกว้างเหมือนพึ่งนึกได้ “โอ๊ะ ไม่สิ หย่ากันเรียบร้อยแล้วนี่หว่า เพียงเท่านี้ก็ไปไล่จีบสาวๆต่อได้แบบไม่มีปัญหาแล้ว ชัยโย รอพี่ก่อนนะ ฟัฟนิร์จ๋า”
ท่าทางดีใจให้คนโง่แบบมาเจลดูก็รู้ว่าแสร้งทำ การหย่าครั้งนี้สร้างความเสียหายในจิตใจให้โอลิเว่อร์ได้ดีทีเดียว อย่างน้อยถ้าเป็นคนปกติได้นอนร้องไห้คุมสติไม่อยู่ไปแล้ว
“หึ..ยินดีด้วยละกัน”
มาเจลทำเมินไม่พูดต่อ จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้ามหาสุริยะ เจ้าตัวคว้ามหาสุริยะขึ้นมา และโยนเข้ากระเป๋าเวทมนตร์ของตัวเอง โอลิเว่อร์มองตาค้างทำให้มาเจลตั้งคำถามที่ไม่จำเป็น
“ไม่มีปัญหาใช่มั้ยถ้าฉันคนนี้จะรับช่วงต่อมหาสุริยะแทน”
ก็ว่า ทำไมสัญชาตญาณถึงบอกให้โอลิเว่อร์ห้ามแตะต้องมัน ก็ว่า ก็ว่าเอาไว้แล้ว ..คนที่คู่ควรกับมหาสุริยะ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของโอลิเว่อร์ มีเพียงแค่ ‘ราชาผู้พิชิต’ คนปัจจุบันคนเดียวเท่านั้น
“แน่นอนสิ นายแห่งข้า”
มาเจลแสยะยิ้ม หันกลับไปหาทหารมากมายที่เฝ้ารอบางอย่างจากมาเจล ไม่รีรอราชาผู้พิชิต–มาเจลโพล่งขึ้นสุดเสียง
“พวกเราเด็ดหัวแม่ทัพศัตรูได้แล้ว!!”
เสียงกู่ร้องของมาเจล ทำให้ทหารรอบๆพากันส่งเสียงกู่ร้อง เผ่าพันธ์จากสวรรค์มากมายพากันบินหนีจากการไล่ล่าของศัตรู ชัยชนะที่นำมาโดยมาเจลทำให้สถานการณ์การรบเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายที่ได้เปรียบตอนนี้ก็คือ–มนุษยชาติ
****
(มุมมอง เรเซอร์)
หลายคนมองดูชัยชนะที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็รับมือกับศัตรูรอบทิศไปด้วย ตั้งแต่ที่ชนะไอน์และวาราลี่ไปได้ หลังจากนั้นเรเซอร์ก็ต้องรับมือกับพวกวิญญาณระดับเทพผู้หวนคืน ซึ่งโผล่มาอีกราวคนถึงสองคน แม้จะเอาชนะมาได้ แต่ก็สร้างความลำบากให้เรเซอร์และยูนามหาศาลทีเดียว
เรเซอร์หายใจหอบ แม้ว่าวิหคอมตะจะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้พร้อมเสมอได้ พลางมองดูชัยชนะที่ไกลออกไป
มิคาเอลตายแล้ว–ด้วยฝีมือของพวกมาเจล ไม่รู้ว่าด้วยวิธีอะไร แต่
“ไม่เลว”
ณ จุดศูนย์กลางของการสู้รบที่บ้าบอที่สุด
แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งทูตสวรรค์ อำนาจของวิญญารระดับเทพ แล้วก็ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของมนุษย์เข้าต่อสู้กัน กระนั้นหลังจากที่มิคาเอลได้ตายจากไป ความเงียบก็ได้ปกคลุมที่ในใจกลางสนามรบชั่วขณะหนึ่ง
“..มิคาเอลเนี่ยนะ?” ราฟาเอลพึมพำเบาหวิว
แพ้คู่ต่อสู้ระดับนั้นเนี่ยนะ? ไม่ใช่ทั้งจอมมารและเอเธอร์ หรือว่ายูจิกับเรเซอร์ที่อันตรายที่สุดแต่อย่างไร—อะไรบางอย่างพุ่งเข้าหาราฟาเอล เธอได้สติกลับคืน และบินหมุนตัวหลบ นั่นคือกระสุนวารีที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง วินาทีที่ราฟาเอลสติหลุดก็ถูกเบ็นจิโร่ซุ่มยิงจนได้
ท่าจะไม่ดีแล้ว มิคาเอลกำลังรบสำคัญได้พ่ายแพ้ วิญญาณระดับเทพรอบๆหลายตนก็เริ่มโดน เรเซอร์ ดราแคล์ พร้อมด้วยยูนา ขับไล่เรียงคน และบีบวงพวกเผ่าพันธ์สวรรค์รอบนอกเข้ามาข้างในเรื่อยๆ นอกจากนั้น อลันซึ่งเป็นกำลังรบสูงสุดไม่ต่างกับมิคาเอลเองก็โดนยูจิจัดการไปแล้วด้วย คนสุดท้ายที่พึ่งได้แบบเอเธอร์ก็มีธุระกับจอมมารจนไม่สนใจอะไรเลย
อีกไม่นาน การสู้รบครั้งนี้คงจะรู้ผล
อย่าบอกนะ–จะไม่ไหวจริงๆ?
“–”
มองกลับไปที่พื้นดิน นอกจาก เท็งงุ เบ็นจิโร่ ที่แม้แต่วิญญาณระดับเทพยังรับมือไม่ไหวแล้วก็มี เคียวยะในชุดเกราะ KY HOPE ซึ่งสร้างความแตกต่างในสนามรบได้อย่างมหาศาล สองตัวหลักในการบุกทะลวงก็ได้รับการสนับสนุนจากราชาอัศวิน และมหามังกรเทียมเมอันอีกทีหนึ่งอีก
เป็นปัญหาใหญ่อย่างชัดเจน
“อบุซามะห์ ซิลเวอร์ เทียนกง รีบๆจัดการให้จบได้แล้ว”
อบุซามะห์รับหมัดตรงของเคียวยะเอาไว้ แต่ก็เอาไม่อยู่ เจ้าตัวปลิวไปกับแรงหมัด กลิ้งไปตามพื้นพร้อมกับเลือดที่ท่วมไปทั่วทั้งร่าง
“ช่วยอย่าพูดให้มันง่ายจะได้รึเปล่านะ อย่างที่เห็นเจ้าพวกนี้แข็งแกร่ง แถมมีกันเยอะขนาดนี้อีก ดูยังไงก็เกินมือรึเปล่านะนั่น ..เวรจริงๆแท้ ให้ข้าคนนี้มาทำงานอะไรก็ไม่รู้” อบุซามะห์ชี้หน้าเคียวยะในชุดเกระาสีดำทมิฬ “เห้ยเจ้าตรงนั้น!! มีฝีมือที่ไม่เลวเลย มาเป็นผู้ฝึกตนเองกับข้าซะสิ ถ้าเป็นพวกเราจะต้องไปได้ไกลกว่าที่ข้าเคยทำได้แน่ๆ!”
“ขอปฏิเสธ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ก็ว่าแล้วละ มันต้องอย่างนั้นแหละนะ เข้ามาเลย!!”
การต่อสู้ของเคียวยะกับอบุซามะห์ดำเนินต่อไปอย่างสูสี ขณะเดียวกัน ซิลเวอร์กับเทียนกงจำเป็นต้องผสานแรงกันเพื่อสู้กับเบ็นจิโร่ให้ได้อย่างสูสี
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่สนามรบแห่งนี้ เท็งงุ เบ็นจิโร่ ได้กลายเป็นตัวนอกกฏอย่างชัดเจน ตอนนี้เธอเองก็อยู่ในร่างชุดเกราะภูตสวรรค์เวลเดีย ทำให้กำลังรบของเธอตอนนี้มากพอจะยันสองวิญญาณระดับเทพได้พร้อมๆกัน จะบอกว่าสถานการณ์การรบเริ่มมีความแตกต่างก็ตอนที่เบ็นจิโร่งัดเอาเวลเดียมาใช้งานนั่นแหละ
ราฟาเอล กับกาเบรียล สนับสนุนสามวิญญารระดับเทพสุดความสามารถ พลางรับมือกับอานิม่า ลูกสาวราชามังกรมิร่า กับคาลอสไปพร้อมๆกัน ถ้าเกิด เรเซอร์ ดราแคล์ หรือยูจิโผล่มาช่วยละก็–พวกเธอจะเป็นฝ่ายแพ้ เพราะรู้อย่างนั้นเลยคิดจะเร่งมือกันสุดความสามารถ
“ชิ!!”
แต่อะไรๆมันก็ไม่ง่าย
ตัดไปอีกฝั่งหนึ่ง ยูจินั่งอยู่กับพื้นบนเศษซากของอลัน
“แฮก ..แฮก”
หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาได้พักหนึ่ง ยูจิก็ยังคงต้องแบกรับความเหนื่อยล้าที่สะสมเอาไว้หลังจากระเบิดขีดจำกัดของตัวเอง สภาพตอนนี้แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังไม่ไหว ..ขณะที่นึกกังวลใจอยู่นั้นเอง หนิงก็เดินเข้ามาในสภาพที่เปื้อนด้วยเลือด
“ยูจิ?”
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีว่า ..อลันแข็งแกร่งกว่าที่คิด ตอนนี้ผมลุกไม่ไหวเลย ฮะๆๆ”
ได้ยินอย่างนั้นหนิงก็หัวเราะพึมพำในลำคอ ก่อนจะเดินมาใช้แขนประคองยูจิขึ้นมา
“ไปไหนต่อดีเหรอ”
“..ไปหาคุณเรย์ครับ”
บางทีเรย์น่าจะกำลังสู้อยู่กับเทพดาบ คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง หนิงเองก็น่าจะคิดอย่างเดียวกันเลยรีบออกวิ่งด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“ระ เรย์คงยังไม่ตายหรอกนะ”
“….”
ไม่แน่ใจเหมือนกัน คิดว่าเป็นลางไม่ดี ยูจิเลยเลี่ยงไม่พูดตอบ
“ถะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาทำยังไงดีเนี่ย จะรักษาทันรึเปล่า แบกไปส่งให้เรเซอร์ทันมั้ยเนี่ย!?”
“ใจเย็นๆก่อนดีกว่าครับ
“แบบว่าอย่างเรย์ไม่น่ารอดอะ!”
ได้ยินอย่างนั้นยูจิก็หลุดขำออกมา
“ไม่ตลกเลยนะ!”
“คุณหนิงเป็นห่วงคุณเรย์ด้วยสินะครับ”
“ถึงจะเป็นพวกผู้ชายโรคจิตแต่มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วรึเปล่าน่ะ อย่าบอกว่ายูจิไม่เป็นห่วงเรย์เลยเหรอ”
ยูจิส่ายหัวตอบอย่างใจเย็น
“เป็นห่วงสิครับ แต่ ..ผมหวังว่าเขาจะชนะครับ”
“..ได้อย่างนั้นก็ดี”
เพียงไม่นาน หนิงก็แบกยูจิวิ่งมาถึงจุดต่อสู้ สเก็ดเหล็กปะทะกันผุดขึ้นระยิบระยับ การแลกดาบกันไปมาของเรย์และแกนน่อนนั้นดำเนินต่อไปอย่างสง่างาม ผิดกับที่คาดเอาไว้ ใกล้เคียงกับที่หวัง เรย์กำลังร่ายรำดาบยามค่ำคืนไปกับเทพดาบ