เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 368
< < 226 > >
พายุคลั่งที่พัดทุกชีวิตไปสู่ความตาย ความร้อนคลั่งที่แผดเผาชีวิตจนดับได้ การต่อสู้ที่เพียงแค่ลูกหลงก็คร่าชีวิตได้นับไม่ถ้วน ทั้งหมดคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบแห่งนี้ อย่างกับว่าเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพในเรื่องเล่าตำนานปรนัม
‘ผู้กล้า’ ‘แอสทอเรียส’ วิ่งผ่านสนามรบอย่างไม่คิดชีวิต แม้ว่าร่างกายแทบจะไม่ตอบสนอง แต่เขาก็ไม่หยุดที่จะฝืนออกวิ่ง ในมือกำดาบเอาไว้แน่น ขาที่เคลื่อนที่สั่นไม่หยุด เช่นเดียวกับดวงตาที่ปิดๆเปิดๆ ร่างกายกล่าวได้ว่ามาถึงขีดสุดแล้ว กระนั้น
แอสทอเรียสวิ่งผ่านสนามรบไปอย่างน่าเวทนา ..ตัวเขาพึ่งถูก เรเซอร์ ดราแคล์ จัดการจนหมดรูป และอาศัยช่องว่างการต่อสู้ระหว่างเขา และวีรสตรียูนาหลบหนีออกจากการต่อสู้ การกระทำเช่นนี้ถูกกล่าวหาว่าขี้ขลาดก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างไร ทว่า
“แฮก ..แฮก ..ท่านอาเบล ..อาเบล ผม ..จะตายไม่ได้เด็ดขาด”
เขาจะตายไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ในฐานะผู้กล้า แต่เป็นในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เชื่อว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็น ‘พ่อคน’
****
จอมมารดิลุคมองภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากบนฟ้า เธอมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่
“ในอีกไม่นาน วิญญาณระดับเทพตนอื่นๆจะมารวมตัวกันที่นี่ ..และนั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของจอมมารอย่างพวกแก” มิคาเอลหัวเราะพึมพำในลำคอ “ตอนนี้ฝ่ายที่โดนไล่ต้อนคือใครกันแน่นะ?”
“มีพลังที่สุดยอดขนาดนี้อยู่กับตัว แต่ทำไมจึงไม่รีบใช้กันล่ะ?”
แม้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ดิลุค เธอยังใจเย็นอยู่ พร้อมวิเคราะห์ทุกอย่างตามหลักเหตุผล
“สันนิฐานได้ว่าตั้งใจจะเก็บสิ่งนี้ไว้ในโอกาสอื่นที่สำคัญกว่านี้ และหมายความว่าการที่ใช้มันในครั้งนี้ไม่ใช่เป้าหมายดั้งเดิม แต่ถูกบีบบังคับให้ทำ เพราะจวนจะพ่ายแพ้ ..พูดในอีกมุม สถานการณ์ตอนนี้คือ–เธอไม่มีไผ่อะไรเหลืออยู่ในมือแล้วต่างหากละ มิคาเอล”
“….”
“ให้คาดเดา เธอคงตั้งใจจะใช้อำนาจของรูล่าในการแย่งชิงพลังของ ‘เทพมังกร’ มากกว่าการคืนชีพวิญญาณระดับเทพทั้งหมดมาเป็นบริวาร ..สมบัติสวรรค์ ‘กุญแจสวรรค์(จอมมารดิลุค และเบลลามี)’ ‘บันไดสวรรค์(ต้นไม้โลก)’ และ ‘โซ่สวรรค์(จุดศูนย์กลางโลก’ นั้นอยู่กับพวกเรา กลับกัน พวกเธอมีแค่ ‘ประตูสวรรค์(เอเธอร์)’ และการันตี ‘ขอบเขตุสวรรค์(เทพมังกร)’ ในกรณีที่อำนาจของรูล่ายังไม่ได้ถูกใช้งาน” ดิลุคหัวเราะพึมพำ “แต่ดันใช้ไปซะแล้ว หมายความว่าตอนนี้พวกเธอเหลือแค่หนึ่งอย่างในกำมือ โดยแลกกับความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะพวกเราทุกคนเพื่อชิงสมบัติสวรรค์อีกสามชิ้นไป”
มิคาเอลกัดฟันกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
“ทุ่มขนาดนี้แล้วแต่ความแน่นอนในชัยชนะยังไม่มี แถมไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้ก็เลี่ยงสู้กับ ‘เทพมังกร’ ตรงๆไม่ได้อีก อีแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าแผนการณ์ของพวกเธอมันล้มเหลวหมดทุกอย่าง จนต้องไปตายเอาดาบหน้ามากกว่ารึ?”
อาจจะดูเหมือนว่าทางฝั่งเรเซอร์โดนไล่ต้อน แต่จริงๆแล้วเป็นครึ่งต่อครึ่งต่างหาก พวกเรเซอร์โดนไล่ต้อน เพราะวิญญาณระดับเทพที่กลับมามีชีวิตก็จริง แต่ตรงกันข้าม ฝั่งของมิคาเอลเองก็โดนไล่ต้อนให้ชนะอย่างเดียวเท่านั้น แถมอีกไม่นานก็ต้องไปเผชิญหน้ากับเทพมังกรตรงๆโดยไม่มีอำนาจใดช่วยเหลืออีก
ให้เทียบกันจริงๆก็อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่กันทั้งสองฝ่าย …การต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถตัดสินทุกอย่างได้ ผู้ชนะก็ต้องไปท้าทายเทพมังกร ซึ่งเป็นเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ต่อให้แข็งแกร่ง และมากมายด้วยกำลังพลแค่ไหน เทพมังกรก็แข็งแกร่งเกินไปอยู่ดี
ให้พูด คนที่ดูจะใกล้เคียงกับชัยชนะที่สุดน่าจะเป็น– ‘เทพมังกร’ ที่ ณ ตอนนี้ผู้ถือครองอำนาจคือ ‘เรน’ ซึ่งกำลังจะถือกำเนิดเสียมากกว่า
ทั้งจอมมาร และทูตสวรรค์ก็ต่างต่อสู้กันเองจนเหนื่อยล้าแล้วด้วย ..
“หากประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้ การถอยทัพจะดีที่สุดนะ ทั้งกับเรา และมิคาเอล ไหนๆก็ซวยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากกันทั้งคู่ ยากดีด้วยกันสักนิดก็ไม่มีปัญหา”
มิคาเอลคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้ใจเย็น และตอบกลับ
“..จะเอาตามนั้น”
“ดีเลย”
พูดคุยกันจบ มิคาเอลก็ให้ราฟาเอลช่วยบินหนีไปทางอื่น ดิลุคปล่อยให้ทั้งสองบินผ่านไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ..แต่พอพ้นระยะสายตาแล้ว เธอก็กัดริมฝีปากจนมีเลือดไหลออกมา ทั้งกำหมัดด้วยความเจ็บปวด
“…เลวร้ายที่สุด”
สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายที่สุด—
****
(มุมมอง เรเซอร์)
ไม่อยากจะสู้กับยูนาเลยสักนิด
เธอตัดมิติทำลายเวทมนตร์ของผมในอึดใจเดียว เวทมนตร์ถูกวิชาดาบที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งการตัดมิติทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมถูกไล่ต้อนนับครั้งไม่ถ้วน บางทีอาจจะแพ้ไปแล้วเป็นสิบครั้งได้ ถ้าเกิดผมไม่มีวิหคอมตะ และเบลลามีคอยสนับสนุนละก็–ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะ ผมไม่กล้าที่จะเล่นงานยูนาแบบเอาตาย ผิดกับเธอที่โดนควบคุม และเล่นงานผมโดยกะเอาตายในทุกๆจังหวะดาบ
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ยูนาพุ่งด้วยความเร็วที่ยากจะคาดเดา แรงถีบของเธอผสมด้วยการตัดมิติที่ย่นระยะตัวเอง เปลี่ยนทิศทางได้ตามใจชอบ พอต้องมาสู้กับการตัดมิติด้วยตัวเองก็ทำให้ผมนึกสงสารศัตรูของผมเมื่อสมัยก่อนขึ้นมาเลย เพราะมันคือพลังที่ยากจะรับมือ
ยากจะคาดเดา ยากจะรับมือ ถ้าตั้งรับการโจมตีตรงๆก็อาจไม่พ้นโดนทะลุการป้องกันทั้งหมดด้วยการตัดมิติทะลุทุกสรรพสิ่ง
สมกับที่ถูกขนานนามว่า ‘วิญญาณระดับเทพที่แข็งแกร่งที่สุด’ เหมือนกันกับ อลัน และจอมมาร
ผมเอียงตัวหลบวิถีดาบ เร่งสปีดตัวเองด้วยวิหคอมตะ พร้อมรักษาร่างกายไปในตัว ในบางจังหวะก็ได้เบลลามีที่ยืนอยู่ข้างหลังใช้เพลิงสีดำสนับสนุนต์การป้องกันทุกรูปแบบ
กระนั้นก็ยังยากอยู่ดี
“ถ้ายังไม่เอาจริงสักที จะตายเอานะคะ มาสเตอร์”
“รู้แล้วน่า!”
เปลวเพลิงหลอมรวมเข้ากับการตัดมิติ คล้ายว่าเป็นงานแสดงโชว์ศิลปะอย่างไรอย่างนั้น ทุกการปะทะจะจบด้วยภาพที่เสมือนดอกไม้ไฟ
ผมจำเป็นต้องจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของยูนา และระเบิดทิ้งให้ตาย—ถ้าเป็นคู่ต่อสู้ปกติ ผมจะดำเนินการณ์ตามนี้ แต่อีกฝ่ายคือยูนา
ให้ตายยังไงผมก็ทำไม่ลง
ยูนาคาดเดาความคิดในหัวของผมได้ ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเธอจึงผุดขึ้น ผมรู้สึกกลัวยิ่งกว่าตอนที่ต้องสู้กับเอเธอร์เป็นไหนๆ
“จำไม่ได้ว่าเคยสอนให้เป็นคนอ่อนหัดแบบนี้นะคะ!”
“ไม่ใช่แม่ ไม่ต้องมาสอนเว้ย!!”
“ชอบพูดประชดว่ามีแม่ก็เหมือนไม่มีแท้ๆ ทำมาเป็นพูดนะคะ”
ผมเข้าใจดีว่าตัวเองงี่เง่าแค่ไหน ขี้ขลาดสุดๆเลยด้วย ถึงขนาดไม่กล้าจะเล่นงานศัตรูของตัวเองในตอนนี้ เพียงเพราะศัตรูคนนั้นเป็น–คนที่สำคัญที่สุดของผมคนหนึ่ง
พอโดนต่อว่าก็ได้แต่เถียงแบบงูๆปลาๆเหมือนเด็กน้อย ผมนี่มันโง่ชะมัด
แต่ว่า–ใบหน้าของคนๆนั้นบนโลกใบเก่าลอยเข้ามาอีกครั้ง บางทีตัวตนของยูนาอาจจะสำคัญไม่ได้น้อยไปกว่าเขาผู้เปลี่ยนชีวิตของผมเลยก็เป็นไปได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่กล้าจะทำอะไรทั้งนั้น กลัวที่จะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีก
แผนการณ์ในหัวที่ตั้งใจว่าจะหาให้พบมันไม่มีเลย ผมไม่มีข้อมูลอะไรเลย จะเอาให้เสมอก็ไม่ไหว ยูนาแข็งแกร่งเกินไป ผลลัพธ์อย่างการที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสลบแล้วจบกันมันไม่มีทางเกิดขึ้น การตัดมิติจะทำให้เธอสู้ไปจนถึงวาระสุดท้ายได้
“ฉันน่ะ–”
สุดท้ายก็ต้องฆ่ายูนาจริงๆเหรอ?
“มาสเตอร์!!”
ยูนาตะโกนขึ้นก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะปาดคอผม
“เรเซอร์ ถอยไป”
เบลลามีดึงผมมาอยู่ข้างหลัง เธอวิ่งเข้าใส่ยูนา พร้อมกับเพลิงสีดำ— ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ทั้งสองกระจัดกระจายไปคนละฝั่ง ยูนากลิ้งไปตามพื้น แต่ไม่นานกระจกก็แตก เธอก็กลับมายืนได้โดยไม่มีแม้แต่ฝุ่น ส่วนเบลลามีก็โอบร่างของตัวเองด้วยเพลิงสีดำไม่ให้ปลิวไปไหน เธอกระเด้งตัวออกอย่างกับนั่งบนโซฟา และยืนเผชิญหน้ากับยูนาแทนผม
“..เบลลามี?”
“พักผ่อนก่อนดีกว่านะ เรเซอร์ใช้งานร่างกายหนักเกินไปแล้ว”
“อีกฝ่ายคือยูนาเชียวนะ เธอจะไหวเหรอ?”
“เรามีเพลิงสีดำที่ได้มาจากดิลุค มีอำนาจของบิลเซบับ แล้วก็ ..มีสติที่มากกว่า เรเซอร์ด้วย” เบลลามียิ้มให้ “พักผ่อนก่อนเถอะนะ ที่เหลือให้เราจัดการเอง”
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่แผ่นหลังของเบลลามีดูพึ่งพาได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่ยังเล็กขนาดที่ผมสวมกอดได้สบายๆอยู่เลย
เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันนะ คนที่ควรจะเป็นฝ่ายปกป้อง ดันโดนปกป้องเสียเองอย่างนี้–น่าสมเพซชะมัดตัวผม
เจ็บใจสุดๆ ผมเลยส่ายหัวตอบ ไม่อยากจะน้อยหน้าเบลลามี
“ฉันจะช่วยด้วยเหมือนกัน ไม่ยอมให้เธอสู้คนเดียวหรอก ..เบลลามี เธอฉลาดกว่าฉัน ในบางครั้งก็สุขุมกว่าด้วย ตั้งแต่สมัยเป็นจอมมารก็มากล้นด้วยพลังอำนาจอีก เพราะอย่างนั้นการออมแรงน่าจะเป็นงานถนัดของเธอมากกว่าของฉัน”
“อือ ใช่เลยละ”
“เพราะอย่างนั้นฉันจะใส่เต็มแรง ส่วนเธอก็-ช่วยปกป้องชีวิตของยูนาที ในตอนที่ฉันเบรคตัวเองไม่ได้”
“เข้าใจแล้ว”
ประกายแสงสีม่วงผุดขึ้นรอบๆ ยูนาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้ผมตอบรับโดยการกระแทกเรลันดาฟเข้าที่พื้น และโพล่งสุดเสียง
“ [อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง] ”
เปลวเพลิงปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ และจะนำพาพวกเราทุกคนไปสู่โลกแห่งเปลวเพลิง—ทว่า
“ออกมาซะ [ดาบสะบั้นมิติ] ” ยูนาคว้าบางสิ่งออกมาจากช่องว่างของมิติ
อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงไม่เกิดขึ้น ถูกยกเลิกการทำงานโดยอัตโนมัติ ทั่วทั้งสงครามเกิดรอยกระจกแตกขึ้นรอบๆ โดยมีจุดศูนย์กลางคือดาบสีม่วงเล่มหนึ่งบนมือของยูนา เธอคว้ามันเอาไว้ และชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า เพียงแค่นั้น ทวีปก็ได้สั่นสะเทือน รอยกระจกแตกแผร่ขยายไปเรื่อยๆเรื่อยๆ ท้องฟ้าบิดเบี้ยวด้วยสภาพอากาศ หิมะตก ฝนตก แดดร้อนจัด ใบไม้ที่ผลิบาน หลากหลายสภาพอากาศที่บนโลกใบนี้เป็นได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ท้องทะเลปั่นป่วน สดใส มากมายด้วยเอกลักษณ์ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกมิติบนโลกถูกมารวมอยู่ ณ ที่แห่งเดียวกัน
จุดศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่งก็คือยูนา
“..หา?”
“เกินคาดเหมือนกันนะคะ ที่ฉันสามารถใช้มันได้อยู่เช่นนี้ ..ทั้งๆที่ไม่ได้มีพันธสัญญาอะไรกับมาสเตอร์แล้วแท้ๆ”
……
ดาบเล่มนั้นสามารถฆ่าผมให้ตายได้ ราวกับลบตัวตน ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกดีใจที่ได้เห็นมันอีกครั้ง
“พันธสัญญาของพวกเรายังไม่ได้หมดไปสินะ”
“มองโลกในแง่ดีเกินไปรึเปล่าคะ?”
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่ตอนนี้ยูนาสามารถเรียก [ดาบสะบั้นมิติ] ออกมาได้โดยไม่ต้องมีผมก็ได้ หรือหากมองในแง่เดียวกับที่ผมคิดก็คือ-พันธสัญญาของพวกเรามันไม่เคยหมดไปต่างหาก
“ขี้โกงเป็นบ้าเลยนะ บอกให้เอาจริง แต่พอคนเอาจริงก็ดันเรียกของขี้โกงออกมาอย่างนี้”
“ช่วยไม่ได้ ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนๆกัน ..แต่ว่า มาสเตอร์ ไม่ต้องห่วงไปนะคะ”
ยูนายกดาบขึ้นสูงกว่าเดิม ราวกับการตั้งท่าดาบรูปแบบหนึ่ง เธอยิ้มให้ผม
“พันธสัญญาของพวกเราน่าจะยังไม่หมดไปจริงๆด้วย เพราะวินาทีที่ฉันได้จับดาบเล่มนี้ที่ร่วมมือกันสร้างมากับมาสเตอร์นั้น–ให้ความรู้สึกที่เหมือนเดิมทุกอย่าง”
กล่าวจบ เธอก็ลงดาบ—เข้าใส่ตัวเอง
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
………
………….
หา?
รอยกระจกแตก และแสงสีม่วงทั้งหมดค่อยๆเลือนหายไปในไม่ช้า
ไม่นานยูนาก็เดินมา เธอไม่ได้หายไปไหน ทั้งท่าทางตั้งดาบ หรือจะเข้ามากระหน่ำฟันผมเหมือนก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอใช้มันช่วยให้ตัวเองพ้นจากการควบคุมน่ะ–ผมดีใจได้แค่ครู่เดียว ก่อนจะสังเกตุเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ..พันธสัญญาไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ ที่ยูนากล่าวน่าจะหมายถึง [ดาบสะบั้นมิติ] ที่พวกเรายังเป็นเจ้าของร่วมกัน ….แต่ว่า ..หมายความว่า
“ครั้งที่สาม ..ใช้ได้ทั้งหมดสี่ครั้ง”
[ดาบสะบั้นมิติ] คือการแหกกฏของโลกที่จะนำพายูนาไปสู่นรก ..ใช้ได้ทั้งหมดสี่ครั้ง และนี่ก็คือครั้งที่สามแล้ว
รู้ตัวอีก ผมก็เข่าอ่อนขึ้นมา ร่างทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น หน้าผมชาไปหมด ..
“เหลือเวลาเท่าไหร่”
“ในทีแรกคาดเดากันไว้ว่าครั้งสุดท้าย จะทำให้ฉันมีเวลาเกือบๆสิบปี แต่ว่า ..นั่นสินะคะ เอาตามความรู้สึกตอนนี้—”
….
“ ‘เจ็ดวัน’ กระมังคะ?”
……..
………….
จากนี้ไปอีกเจ็ดวัน ยูนาจะหายไปจากโลกใบนี้