< < 197 > >
“…เดี่ยวสิ ต่อจากอัลกาดก็มาเจล”
“อัลกาดยังพอเข้าใจได้ แต่มาเจลคนนั้น—เจ้ายูจิอะไรนั่นพิชิตทะเลสีรุ้งได้นั้นหรือเนี่ย”
“ดาวดาราเด่นที่แข็งแกร่งที่สุดรึเปล่าเนี่ย?”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ..”
อลิซาเบธชำเลืองมองผู้ชมที่พากันคุยกันให้ว่อน และยิ้มออกมา
“เสียงตอบรับผู้ชมไม่เลวเลยนะคะ”
“….”
“เป็นอะไรไปคะ?”
“..แค่ไม่อยากจะเชื่อสายตาน่ะครับ ..ยูจิเป็นใครกันแน่ อลิซาเบธเองก็ด้วย ทั้งสองคนเป็นใครกันแน่!? ชนะมาเจลคนนั้นก็เข้าใจได้อยู่ แต่วิธีที่ชนะนี่มันอะไรกัน คือผมชักจะขำไม่ออกแล้วสิ ฮะๆๆๆๆ”
กระนั้นก็ยังฝืนหัวเราะออกมา
“ก่อนหน้านี้ฉันกับคุณยูจิมีสถานะเป็นศัตรูกันค่ะ ส่วนตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้แค่ว่าฉันไม่มีอะไรทำเลยเดินตามคุณยูจิแค่นั้นค่ะ” อลิซาเบธยิ้มออกมา “โดยรวมคิดว่าเป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เลว”
“..แปลกกันจริงๆนะครับเนี่ย”
“รายละเอียดที่สงสัยอย่างอื่นไว้ไปถามคุณยูจิเอานะคะ ตอนนี้พวกเราไปรับคุณยูจิก่อนดีกว่า”
“..นั่นสินะ”
กล่าวจบ ทั้งอลิซาเบธ และแจ็คสันก็เดินไปที่ทางออก
****
ผมเป็นผู้ชนะ อาจจะลำบากหน่อยในช่วงที่ไม่รู้ความสามารถของคุณมาเจล แต่พอทำความเข้าใจในระดับที่ชี้เป็นชี้ตายได้แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี ผมเดินไปตามทางเดินของผู้เข้าแข่งขัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลำดับขั้นที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า ผู้คนที่เดินสวนกับผมต่างหยุดเดิน และรอให้ผมไปก่อน
บอกตามตรงว่าผมไม่ชินกับอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ครับ
“เดี่ยวก่อน!”
เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปดู และพบกับคุณมาเจลที่เดินมาในสภาพไม่สู้ดีนัก เขาเดินเซไปมา ทั้งยังใช้มือกุมบริเวณแผลฟันของผมเอาไว้แน่น
“มีอะไรเหรอครับ?”
“…อย่ามาดูถูกกันนะ”
ดูถูก? ผมไปดูถูกคุณมาเจลตอนไหนกัน พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่ออก เอาเป็นว่าขอโทษไว้ก่อ–
“ไอ้คำพูดที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถคว้าปาฏิหาริย์ไว้ได้น่ะ อย่ามาพล่ามต่อหน้าฉันคนนี้เป็นอันขาด!”
“เรื่องนั้นเองหรือครับ ที่พูดผมไม่ได้ดูถูกคุณมาเจลนะครับ มันก็แค่เรื่องปกติ”
“สำหรับฉันการบอกว่าไม่อาจคว้าปาฏิหาริย์ไว้ได้มันคือการดูถูก ..อย่างกับว่าโดนขีดเส้นขีดจำกัดของตัวเองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น การพูดอย่างนั้นมันชวนให้ยัวะจนถึงที่สุดเลยวะ”
…..
คนเพ้อฝันที่คิดจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นอาจจะหมายถึงการคว้าปาฏิหาริย์ก็เป็นได้ แต่ว่าโลกใบนี้ไม่มีปาฏิหาริย์ มีแต่เพียงความเป็นไปได้ตามหลักความเป็นจริง
ถ้าเกิดเป็นผมในช่วงล้านความทรงจำก่อนหน้านั้น อาจจะคิดว่าการคว้าปาฏิหาริย์เอาไว้คือสิ่งที่ตัวเองต้องทำเพื่อกอบกู้โลกก็เป็นได้ แต่ว่า ..เสียมันไปแล้วละ ความเชื่ออย่างนั้น เพราะอย่างนั้นนี่แหละถึงได้ต้องวนกลับมาที่จุดๆเดิมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย นอกจากซากศพของคนสำคัญที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“คุณควรมองโลกความเป็นจริงบ้างนะครับ”
“บอกให้ฟังหน่อยสิว่าโลกความเป็นจริงของแกมันเป็นยังไง”
“เป็นยังไงนี่?”
“เออ มีรูปร่างแบบไหน เป็นสถานที่ยังไง ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ยังไงในโลกความเป็นจริงที่แกบอก”
“….”
“ยอมรับก็ได้ว่า ‘ตอนนี้’ แกแข็งแกร่งกว่าฉัน แต่ว่าฉันไม่ยอมรับแกในฐานะผู้ชนะหรอก แม้แต่คำตำหนิที่แกพล่ามออกมามันยังมีแค่เปลือกในความคิดของแกเอง คำพูดของแกมันไม่แม้แต่จะสะเทือนใจของฉันได้”
ปลอมเปลือก นั่นอาจจะเป็นคำนิยามที่เหมาะกับตัวผมดี ตามที่คนๆนี้พูดออกมาเลย
เป้าหมายสูงสุดอย่างการกอบกู้โลกอะไรนั่น สุดท้ายก็อาจจะเป็นเพียงภาระที่ถูกโยนมาให้ด้วยสถานการณ์ที่รัดกุม ไม่ว่าจะมีชีวิตเพื่อนคนสำคัญเป็นเดิมพันเอย หรือมีโลกเป็นเดิมพันเลย ทั้งหมดล้วนทำให้ไม่มีทางเลือก ทำให้มีแต่ต้องสู้ ทำให้มีแต่ต้องเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากนอนจมอยู่กับความทุกข์นี้ ไปจนกว่าจะชนะ
แต่แรกเดิมที ผมก็ไม่ใช่คนที่กล่าวตักเตือนใครได้อยู่แล้ว ..เพราะจุดยืนที่แท้จริงของตัวเองยังไม่มีด้วยซ้ำ
เป็นแค่ผู้พิเศษที่มีแต่เปลือก ต่างกับคนๆนี้ ..ต่างกับ ‘คุณเรเซอร์’ ต่างกับ ‘คุณหนิง’ ต่างกับทุกๆคนบนโลกใบนี้
สุดท้ายแล้ว ….
“ขอตัวก่อนนะครับ”
“เชิญ”
ผมหันหลังให้คุณมาเจล และก้าวเดินไปต่อโดยไม่เงยหน้ามองใครทั้งนั้น
สุดท้ายแล้ว ….ผมมันตัวอะไรกันแน่
“…”
“สีหน้าไม่ดีเลยนะคะ”
“เป็นอะไรไปเหรอ พึ่งชนะแท้ๆ”
ผมเงยหน้าขึ้นมาพบกับทั้งสองคน
คุณอลิซาเบธ และคุณแจ็คสันนั่นเอง
เพราะไปเผลอคิดอะไรไม่เข้าเรื่องเข้า จึงไม่สังเกตุเลยว่าสองคนนี้กำลังรอผมที่หน้าทางออก
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่”
“ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
….
“นั้นเหร—”
เอ๊ะ
สติมัน
เหมือนจะใช้แรงเยอะเกินไปหน่อย กับสภาพร่างกายตอนนี้ การโจมตีทั่วๆไปของผมในยามปกตินั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว
ขีดจำกัดเยอะเกินไปแล้ว
จากนั้นภาพก็ตัดไป โดยที่ตัวผมได้ตัดขาดกับโลกใบนี้ไปชั่วขณะหนึ่ง …
****
ภายในห้องสีขาวโล่ง ที่แห่งนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากเก้าอี้สีน้ำตาล เพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ ผมก็พอเดาอะไรหลายๆอย่างได้เลยลงไปนั่งที่เก้าอี้นั้น พลันใดนั้น ตัวผมอีกคนที่แตกต่างกันก็ได้ปรากฏ
“คัลเซเรมมีแต่เรื่องน่าสนุกจริงๆนะ ยูจิ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ออร่า”
ตัวผมตรงหน้า มีชื่อว่า ‘ออร่า’ เป็นเทพแห่งวัฐจักร หนึ่งในสิบเทพผู้รังสรรค์โลกใบนี้ ทั้งยังเป็นแก่นแท้วิญญาณของผมอีกด้วย ให้พูดคือไม่ใช่แค่หน้าเหมือนกับผม แต่เป็นคนๆเดียวกันในแง่ของจิตวิญญาณนั่นแหละครับ
การจะทักทายว่า สวัสดี ตัวผม ก็คงไม่ได้แปลกอะไร
“อย่าไปใส่ใจที่มาเจลพูดซะละ”
“..ไม่ได้ใส่ใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ไม่มีปัญหาอะไรต้องเป็นห่วงครับ ออร่า เพื่อเป้าหมายแล้วผมจะไม่ไขว้เขวหรอกครับ”
ใช่ จะไม่มีวัน
“ได้ยินอย่างนั้นก็ชื่นใจเลยละ”
“ครับ เช่นนั้นธุระคืออะไรครับ”
ไม่มีทางที่คุณออร่าจะเรียกผมมาในโลกนี้โดยไม่มีธุระ อย่างน้อยๆมันก็ต้องเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ก็ ข่าวสารที่ว่าเรนได้พลาด และตายไปแล้วประมาณนั้น
“อยากจะให้ไว้ใจอลิซาเบธน่ะ”
“..มือขวาของเรนน่ะเหรอครับ”
“ใช่ มีอะไรน่าแปลกรึ? ไม่ใช่ว่ายูจิเองก็สนิทกับเธอคนนั้นแล้วรึ?”
ผมส่ายหัวตอบ พลางหรี่ตามอง
“แค่สถานการณ์บังคับครับ ถ้าปล่อยเธอไปมันจะไม่ปลอดภัยเอา”
“ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตเธอที่ยูจิยังมองว่าเป็นศัตรูสินะ”
…..
“ยูจิ เธอควรจะไว้ใจคนอื่นบ้างนะ”
“…หมายความว่ายังไงครับ?”
คุณออร่ายิ้มตอบกลับอย่างใจเย็น
“ไม่จำเป็นต้องพยายามคนเดียวสักหน่อย พึ่งคนอื่นบ้างก็ไม่ได้แย่อะไรนักนะ อย่างอลิซาเบธ เธอก็แข็งแกร่งไม่ใช่น้อย เป็นถึงแวมไพร์ที่มีคุณสมบัติพอจะครอบครอง ‘บาคุนาว่า’ (เทพแห่งการสูญสิ้น) เชียวนะ คิดว่าถ้าร่วมมือกันต้องก่อกำเนิดทีมที่น่าสนใจแน่ๆ ยิ่งกว่าที่ยูจิร่วมมือกับเทียนหลงอีก”
“แต่ว่าคนๆนั้น–”
“เอาเป็นว่า”
คุณออร่าลุกขึ้นยืน และเดินไปทางอื่นราวกับเมินคำตอบจากผม
“ให้ยูจิเป็นคนตัดสินใจเองละกัน”
“…ครับ”
“ยูจิปัญหาในคราวนี้ก็ไม่ได้ผ่านมันไปได้ด้วยพลังของตัวเองคนเดียว ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังมีขีดจำกัดมากมาย อย่างข้อมูลก็มีสู้แจ็คสันคนนั้นไม่ได้ ต่อให้แข็งแกร่งที่สุดก็ใช่ว่าจะทำตามใจตัวเองได้ไปซะหมด เลยต้องมีพวกพ้องที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังไงละ”
“ผมต้องพยายามคนเดียว เพื่อไม่ให้คนสำคัญของตัวเองต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้าย คุณเป็นคนสอนผมเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอครับ!?”
“บังเอิญว่าคนที่เจ้ากำลังร่วมมือตอนนี้ ไม่น่าจะใช่คนสำคัญถึงขนาดนั้นน่ะนะ”
……
“ไม่ต้องเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ เพื่อความสบายใจของตัวเองแล้ว แต่หัดใช้คนอื่นซะบ้าง ยูจิ”
….เรื่องนั้นน่ะ
…ไม่ไหวหรอก
ราวกับโดนปิดประตูอัดหน้า แล้วสั่งให้ไปคิดเอาเองว่าจะทำยังไง โลกสีขาวได้พลันหายไปพร้อมกับร่างของออร่าที่ค่อยๆจางลง ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ และกลับคืนสู่โลกความเป็นจริง
****
ผมลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งภายในห้องขัง เมื่อได้สติผมก็เห็นว่าทางซ้ายของผมมีคนนอนอยู่
“..คุณแจ็คสัน”
เขากำลังนอนหลับอยู่ด้วยใบหน้าที่ดูมีความสุขเหลือล้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
ทางขวามือของผมก็มีคนนั่งอยู่ คุณอลิซาเบธนั่นเอง เธอนั่งกอดเข่าพิงกำแพงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนปกติ
“หลับไปนานพอสมควรเลยนะคะ”
นาน?
“ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ที่บอกว่านานแค่หกชั่วโมงเอง”
“ค่อยโล่งอกหน่อยครับ ถ้าหลับนานเกินไปผมอาจจะตามอะไรไม่ค่อยทันเอาได้”
“เป็นคนที่ค่อนข้างทันสมัยสินะคะ คุณยูจิน่ะ”
เหมือนโดนพูดประชดใส่ยังไงก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าผมไม่ได้ถือสาอะไร ผมเขยิบตัวมานั่งพิงกำแพงไม่ใกล้ไม่ไกลจากคุณอลิซาเบธ จากนั้นก็สอบถามเรื่องหลายๆเรื่องจากเธอ
“หลังจากผมหลับไป เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอครับ”
“มีคนมาขอสมัครเป็นลูกน้องเพียบเลยค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทว่า”
“ทว่า?”
“ตอนนั้นควีนก็โผล่มาประกาศว่าจะล่าหัวคุณยูจิในวันพรุ่งนี้ ทำให้คนที่อยากมาสมัครเป็นลูกน้องพากันแตกฝูง ฉันกับคุณแจ็คสันก็ช่วยกันแบกคุณยูจิกลับมาที่ห้องขัง จากนั้นด้วยความเพลียร์ คุณแจ็คสันก็หลับข้างๆคุณยูจิ ส่วนฉันก็คอยเฝ้าเผื่อเจออะไรที่ไม่น่าไว้วางใจเข้าน่ะค่ะ”
แม้แต่ตอนที่ผมหลับไป คัลเซเรมแห่งนี้ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความวุ่นวายจากควีน หมายความว่าต่อให้ผมพ้นจากสถานะนักโทษธรรมดาแล้วก็ยังตัดขาดกับควีนไม่ได้ คนๆนั้นคิดอยากจะโค่นผมแล้วจับมาเป็นทาสขนาดนั้นเลยหรือไงกัน
ผมไม่เข้าใจเลย แต่ก่อนอื่น
“ขอบคุณนะครับ คุณอลิซาเบธ”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่ได้มากมายอะไรเลย”
เธอตอบกลับผมทั้งรอยยิ้มที่ดูจริงใจ จนน่าสงสัย
คุณออร่าบอกให้ผมร่วมมือกับเธอ แนะนำให้ผมใช้งานคุณอลิซาเบธ คนที่เคยเป็นมือขวาของภัยพิบัติแห่งโลก สุดท้ายแล้วมันก็ยากเกินไปสำหรับผมที่จะลืมเรื่องทั้งหมดของเธอ แล้วเชื้อชวนให้มาช่วยเหลือผม
ไม่ใช่ เพราะเธอคือคนสำคัญอย่างที่คนหลายคนเป็น ผมแค่ไม่อยากจะเชื่อใจเธอเท่านั้น แต่คำแนะนำของออร่าก็สำคัญอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร เขาก็พูดถูกเสมอ
“ขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”
“เรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ทำไมคุณอลิซาเบธถึงต้องทำเรื่องไม่ดีหลายๆอย่างด้วยกันครับ ..ไม่อยากเล่นก็ไม่เป็นอะไรนะครับ”
ผมเชื่อว่าคนเรามีเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้อยู่มาก อย่างผมเองก็มีเหมือนกัน ..เลยไม่คิดจะบังคับอะไรทั้งนั้น
“มีแต่ต้องเล่าไม่ใช่หรือคะ?”
“ผมไม่ได้บังคับนะครับ”
“เรื่องแบบนี้คุณไม่ควรจะถามกลับนะคะ”
บ่อยครั้งที่ผมไม่เข้าใจความคิดของคนอื่นเท่าไหร่ ถ้าเป็นคุณเรเซอร์อาจจะมองทะลุถึงสิ่งที่เธอคนนี้พูด และกำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหาอยู่แล้วก็เป็นได้ ..แต่ผมไม่ใช่คนๆนั้น เลยทำไม่ได้
“เรื่องของฉันมันยาว และน่าเบื่อหน่อยนะคะ คิดว่าต่อให้เล่าให้ฟังในทุกๆมุมจนจบ การกระทำของฉันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับการให้อภัยอยู่ดีด้วย”
คุณอลิซาเบธหลับตาลง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
จุดเริ่มต้นของเธอในฐานะแวมไพร์คนสุดท้าย
“แวมไพร์ก็ไม่ใช่ มนุษย์ก็ไม่ใช่ ไอ้พันธุ์ทาง”
นั่นคือคำพูดแรกที่ได้ยินจากคุณปู่แท้ๆของตัวเอง ทำให้รู้ว่าตัวฉันไม่ใช่แวมไพร์แท้ๆเหมือนกับแม่ ทั้งยังทำให้ทราบด้วยว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่ต้องการของที่แห่งนี้ แต่เพราะแม่เป็นลูกสาวแท้ๆของราชาในอาณาจักรแวมไพร์ ทำให้ฉันพอจะได้รับส่วนบุญอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มากพอจะทำให้ฉันไม่โดนโทษประหารเข้า
แต่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ของฉันได้ตายจากไป สมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่ก็คือลูกครึ่งอย่างฉันที่น่ารังเกียจ อภิสิทธิ์ขั้นต่ำที่จะได้ใช้ชีวิตต่อไปจึงถูกริบกลับคืน และวันคืนแห่งความทรมานก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ฉันถูกขังที่ก้นลึกของดันเจี้ยน ถูกตรึงไว้ด้วยวิชาของแวมไพร์ที่ต่อให้จะขาดสารรอาหารเป็นร้อยหรือพันปี ฉันก็จะไม่ตาย ..จะต้องอยู่ที่แห่งนี้ไปตลอดกาล ภายในดันเจี้ยนที่ดำมืด และโซ่ที่คล้องร่างนี้เอาไว้
แต่แล้ว วันหนึ่งคนๆนั้นก็ได้เดินเข้ามาภายในดันเจี้ยน
ชายหนุ่ม หรือว่าคนแก่กันก็ยากจะสรุปได้ รู้เพียงแค่ว่าคนๆนั้นอายุมากกว่าฉัน และเป็นผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ซึ่งหาตัวจับได้ยาก เขาบุกเข้ามาในดันเจี้ยน เอาชนะมอนสเตอร์มากมาย และโค่นอสูรกายผู้คุมดันเจี้ยนลงได้ พันธนาการค่อยๆถูกปลดทีละนิด ในทุกๆก้าวที่เขาเคลื่อนที่นั้นทำให้จิตวิญญาณของฉันค่อยๆหลุดออกจากความมืดมิด
ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูยักษ์ เขาดันเข้ามา และพบกับฉัน
“เธอคือสมบัติของที่นี่เหรอ?”
“…”
สมบัติ? อย่างฉันมีค่าพอให้เรียกอย่างนั้นด้วยเหรอ?
ชั่ววินาทีที่เกิดนึกสงสัย คนๆนั้นได้ปลดฉันออกจากพันธนาการ
“ฉันไม่น่าใช่สมบัติหรอกนะคะ”
“ถ้าไม่ใช่ก็รีบๆเดินกลับขึ้นไปข้างบนได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่โลกของเธอหรอกนะครับ ที่ผมมีธุระคือสมบัติภายในดันเจี้ยนแห่งนี้ต่างหาก”
กล่าวจบคนๆนั้นก็เดินไปต่ออย่างหมดความสนใจ
“….ทำไมต้องช่วย ..คนอย่างฉัน?”
“เพราะตัวผมคือผู้ที่จะมากอบกู้โลกใบนี้”
“…กอบกู้โลก?”
“ใช่ครับ ผมอยากจะช่วยทุกคนจากโชคชะตาที่แสนโหดร้าย”
……จากนั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลายอย่าง ทำให้ทราบว่าสมบัติที่คนๆนี้หรือว่า ‘เรน’ ต้องการคืออำนาจของทวยเทพ ‘บาคุนาว่า(เทพแห่งการสูญสิ้น)’ ซึ่งหลับใหลอยู่ที่ท้องพระคลังของอาณาจักรแวมไพร์ แต่ถูกเข้าใจผิดว่าสิ่งนั้นโดนเอามาเก็บไว้ในดันเจี้ยนที่ฉันอาศัยอยู่
อาจจะเป็นเพราะฉันโดนสายตาที่เต็มไปด้วยประกายนั่นของคนๆนี้ดึงดูด จึงได้บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟัง แม้ว่านั่นจะเป็นการขายเผ่าพันธุ์ของตัวเอง แต่ว่ากับคนๆนี้ที่คิดอยากจะสร้างโลกใบใหม่ที่แม้แต่คนอย่างฉันก็อาศัยอยู่ได้ละก็ ..ฉันก็อยากจะเชื่อมั่น
“ให้ฉันได้ช่วยคุณด้วยเถอะค่ะ”
รู้ตัวอีกที อาณาจักรแวมไพร์ก็ล่มสลายด้วยน้ำมือของเรน
รู้ตัวอีกที ฉันก็ติดตามคนๆนี้มานับร้อยปี เปลี่ยนวิธีเรียกของคนๆนี้จาก ‘เรน’ ไปเป็น ‘ท่านเรน’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รู้ตัวอีกที บนเส้นทางของคนๆนี้ก็มีฉันเดินอยู่เคียงข้าง
รู้ตัวอีกที ก็มีชีวิตนับล้านที่ต้องสูญสิ้นไปเพื่อโลกในฝัน
รู้ตัวอีกที ..ทุกอย่างที่ฉันทำก็ไม่ใช่เพื่อโลกที่คนๆนั้นฝัน หากแต่เป็นการทำเพื่อคนๆนั้นที่ยื่นมือมาให้ฉันก็เป็นได้ ในวันที่ไม่มีอะไรเลย ช่วงเวลาที่ว่างเปล่าได้ถูกลบหายไปทันทีที่เขาเดินเข้ามา
สุดท้ายแล้ว โลกที่ทุกคนปารถนาจะมีความสุขมันก็แค่คำหลอกลวงที่ฉันใช้กับตัวเอง เพื่อเป็นเหตุผลให้ตัวของฉันติดตามท่านเรนต่อไป ..และใช่ รู้ตัวอีกที ท่านเรนก็เปลี่ยนกลายเป็นโลกทั้งใบของฉันไปเสียแล้ว
****
ก็แค่คนหนึ่งคนที่ทำเพื่อคนหนึ่งคน
เรื่องราวของคุณอลิซาเบธมันก็แค่นั้น
“โลกใบนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฉัน ..สิ่งเดียวที่ฉันปารถนาก็คือการได้อยู่เคียงข้างกับท่านเรนจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต เอาเข้าจริงๆ โลกใบนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเลยค่ะ เพราะฉันได้ทุกอย่างที่ต้องการมาหมดแล้ว ความสุขได้มามากพอแล้ว”
“….”
“โลกในฝันของฉันคือโลกที่มีท่านเรนอยู่ ..และเพื่อโลกใบนั้น ฉันถึงได้ทำทุกอย่างเพื่อเขาค่ะ” อลิซาเบธยิ้มด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ไม่ว่าจะการหักหลังเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อสิ่งสำคัญไม่กี่อย่าง ไม่เว้นแม้แต่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเอลฟ์ หรือเผ่าครึ่งมนุษย์ก็ล้วนให้ความร่วมมือเต็มที่เพื่อคนๆนั้น”
หากมองดูดีๆแล้ว คนที่เลวที่สุดอาจไม่ใช่เรน ความปารถนาของเขาคือโลกที่ทุกคนสามารถมีความสุขได้โดยปราศจากโชคชะตาที่แสนโหดร้าย แค่วิธีการมันออกจะสุดโต่ง และสร้างความเดือดร้อนให้ใครหลายต่อหลายคน แต่มองที่จุดประสงค์แล้ว ผมคิดว่าเขาอาจจะปารถนาในโลกแบบเดียวกับผมอยู่ …ทว่าคุณอลิซาเบธ ทำทุกอย่างเพื่อคนๆหนึ่ง ไม่ได้มีโลกที่สวยงามเป็นเป้าหมาย สำหรับเธอการทำเรื่องพวกนั้นร่วมกับเรน คือโลกที่เธอปารถนา
“ได้ฟังแล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
คุณอลิซาเบธหันมาถามผม ..ผมเองก็คิดอะไรหลายๆอย่าง เรื่องทั้งหมดผมไม่สามารถบอกว่ามันผ่านมาแล้ว และจบกันได้
“นอกจากการกระทำของเรนที่ผมไม่อาจให้อภัยได้แล้ว ก็คงเป็นใจจริงของคุณอลิซาเบธที่ผมไม่อยากจะให้อภัยครับ”
ความรักที่แสนบริสุทธิ์นั่นมันแสนน่ากลัว แต่ว่า …
“ผมเข้าใจคุณอยู่ครับ”
“..นั่นไม่จริงหรอกค่ะ”
“ผมพูดจริงครับ”
ให้อภัยไม่ได้ก็จริง แต่ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกนั้น ..การรักใครสักคน ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน มันน่ากลัว
ผมเองก็กลัวเหมือนกันว่าตัวเองจะทำเรื่องไม่ดีลงไป ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองรักใครหลายต่อหลายคน
“..คุณยูจิเป็นคนที่อ่อนโยน และจริงใจต่างกับฉันค่ะ ในส่วนนี้คิดว่าพวกเราต่างกันมาก”
“คุณอลิซาเบธเองก็จริงใจจนน่ากลัวครับ”
“นั่น ..มองว่าเป็นคำชมไม่น่าได้เลยนะคะ”
“ไม่ได้คิดจะชมอยู่แล้วครับ”
“อย่างนั้นก็ดีค่ะ”
จากนั้นพวกเราก็นั่งข้างกันเงียบๆโดยไม่พูดคุยอะไรกัน ..ความรักเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ผมแบมือดูฝ่ามือของตัวเอง ก่อนจะเคลื่อนมาจับที่หัวใจของตัวเอง
ทางออกที่ดีที่สุดในการแหกคุกมีอยู่ มันง่ายแสนง่ายเลยละ ผมแค่—ตายสักรอบก็พอแล้ว พอตายแล้วอุปกรณ์เวทมนตร์ทุกอย่างก็จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะผมตายไปแล้ว แค่วันเดียว ผมก็คงจะแหกคุกได้ง่ายๆเลย ในฐานะคนที่เคลื่อนไหวเพื่อโลกใบนี้นั่นคือทางเลือกแรกของผม
ทว่า พอนึกถึงใบหน้าของคนเหล่านั้นที่ตอนนี้อาจกลายเป็นศัตรูของผมแล้ว ..ผมก็อยากจะรักษาชีวิตตัวเองที่คนเหล่านั้นมองว่าสำคัญเอาไว้ ไม่อยากจะใช้เป็นทางออกของปัญหา ผมจึงตัดสินใจออกจากที่แห่งนี้ด้วยวิธีอื่น
จริงๆแล้ว ผมก็รู้ดีเหมือนกันว่าผมควรจะใช้งานคุณอลิซาเบธ และคุณแจ็คสัน การใช้งานใครมันคนละอย่างกับการพึ่งพาใครสักคน ผมก็แค่ใช้งานคนๆนั้นเพื่อตัวเอง แค่คิดอย่างนั้นแล้วใช้งานไปก็พอ
แต่ว่านะ ผมมักจะกลัวในสิ่งที่เรียกว่า ‘รัก’ ตลอด ..ถ้าเกิดผมรักคนๆนั้นขึ้นมาละก็–คนสำคัญที่อาจจะตาย เพราะความผิดพลาดของผมก็จะมีจำนวนมากยิ่งขึ้น
เอาจริงๆแล้ว ผมแค่กลัวเท่านั้นว่าผมอาจจะเผลอไปรักคุณอลิซาเบธ หรือคุณแจ็คสันเข้า ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไร ผมก็หวาดกลัวเหมือนๆกันหมด
“…..”
เพราะอย่างนี้นี่แหละ คนอย่างผมจึงควรจะอยู่คนเดียวดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพราะมันดีกับคนอื่นมากกว่าเท่านั้น มันยังดีกับตัวผมมากกว่าด้วย
ผมได้แต่คิดตลอดค่ำคืนนี้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ผมหวาดกลัวในสิ่งที่งดงามของโลกใบนี้เข้า ..
MANGA DISCUSSION