เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 27: รั้วโรงเรียนกับไอ้ตัวร้าย (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 27: รั้วโรงเรียนกับไอ้ตัวร้าย (1)
< < 25 > >
ชีวิตในรั้วโรงเรียนได้เริ่มขึ้นแล้ว—เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรมากเท่าไหร่นัก ไอ้ชีวิตโรงเรียนบอกตามตรงมันค่อนข้างยุ่งยาก จะว่าไม่สนุกเลยก็ไม่เชิง ให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับการกินไข่เจียวที่ดีนั่นแหละ ต้องหวานและเข็มไปในตัว
กล่าวได้ว่าเป็นช่วงชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติมากมาย เพราะอย่างนั้นจะว่าสนุกล้วนๆ เลยก็ไม่ใช่ ซ้ำร้าย หลายต่อหลายคนก็พลาดทำให้ชีวิตโรงเรียนของตัวเองไหม้ไปราวกับไข่เจียวไหม้ ความรู้สึกของไข่เจียวไหม้สมัยอยู่โลกเก่าผมไม่เข้าใจนักหรอก เพราะตัวผมอยู่ขั้นชีวิตโรงเรียนธรรมดาเสียมากกว่า …แน่นอนว่าสำหรับธรรมดาอย่างผม เรื่องติด ร. ติด 0 ก็ไม่แปลก!
คิดว่านา
ผมพยักหน้าพึมพำ พลางติดกระดุมเสื้อคลุมไหล่สีน้ำเงินไปด้วย แม้ที่คิดอยู่จะชวนให้อารมณ์บ่จอยเล็กน้อย แต่ผมยังยิ้มอยู่
กล่าวโดยนัยคือน่าสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย
ชีวิตในรั้วโรงเรียนมันน่าแปลก แม้หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตของเด็กนักเรียนแล้วจะชวนหดหู่ไปบ้าง เพียงแต่วันแรกของการมาเรียนมักสนุกเสมอ
ผมมั่นใจได้เลย อย่างน้อยกว่าครึ่ง ไม่ว่าใครต่างก็ตื่นตาตื่นใจ
แน่นอนกว่าครึ่งที่ด้วยรวมผมไปด้วย
มองออกไปตรงกระจกขนาดยาว 2 เมตร เผยให้เห็นใบหน้าของหนุ่มหล่อวัยละอ่อน อายุเพียง 17 ปี ถึงร่างกายจะดูล่ำกว่าเด็กวัยเดียวกันและดูเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อยก็ตาม—-เส้นผมสีเหลืองเข้ม กับดวงตาสีแดงน่ากลัวนั่นก็ดูเสริมเอกลักษณ์ด้านความดูเป็นผู้ใหญ่
—-ผมเอง เจ้าหน้าหล่อที่อยู่หน้ากระจกน่ะ
ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียน เสื้อนอกสีน้ำเงินคลุมไหล่ยาวถึงเอว เสื้อข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตปกติ กางเกงขายาวรัดเข็มขัด บริเวณข้างหลังมีสายสองสายสีทองซึ่งต่อกับเสื้อคลุมด้วยนั่นเป็นที่ช่วยไว้เก็บอุปกรณ์เวทมนตร์นานาชนิด ทั้งดาบหรือคทาเวทย์ น่าเสียดายที่พื้นที่สำหรับสวมอุปกรณ์เวทย์ผมยังโล่งโจ้ง
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นชุดตามกฎระเบียบของโรงเรียน ยกเว้นเสื้อเชิ้ตที่ปลดราว 2กระดุม—ช่างมันปะไร มันไม่ได้ผิดกฎร้ายแรงมากนัก กลับกันผมคิดว่าผมเลือกถูกแล้วละ เน้นสะดวกตัวดีกว่าเยอะ เลือกได้อยากใส่เป็นเสื้อยืดแทนด้วยซ้ำ
แล้วก็สิ่งที่แต่งเติมจากเดิมยังมีอีก ที่เด่นๆ ก็คือสายคาดกระเป๋าทำจากหนังดูเก่าและโทรม เป็นของคู่ใจผม—ภายในกระเป๋านั้นประกอบไปด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ดูเก่าแต่ไม่ได้ดูสกปรก เป็นของสำคัญ นอกจากนั้นก็มีของไม่สำคัญมากอย่างเชือกขนาดไม่ยาวมากนัก มีดสั้นที่พับเก็บได้ และขวดมานาหนึ่งขวด
‘ขวดมานา’ ในโลกนี้มีวิทยาการอย่างขวดมานาอยู่ มันช่วยเติมมานาได้แต่ไม่นิยมใช้กัน เพราะมีผลเสีนต่อร่างกาย เหมือนกับการดึงพลังในวันต่อมามาใช้นั่นแหละ ไม่คุ้มเสียเลยถ้าวงจรเวทย์ไม่ดีพออาจตายได้
…แล้วก็สร้อยคอของสำคัญจากแองเจลิน่า และ—‘ดาบ’ ใช่ ดาบทรงไทยที่อยู่ในฝักคาดไว้กับเอว เป็นของสำคัญเช่นกัน ได้มาจากชินคนนั้น
ว่าแล้วผมก็ยิ้มเบาหวิวให้ตัวเองในกระจก พลางหยิบกุญแจขึ้นมาควงเล่น ก่อนจะนำใส่กระเป๋าสะพายเอว
“—หวังว่าจะสนุกนะ ไอ้โรงเรียนเวทมนตร์นี่น่ะ”
พึมพำอะไรราวกับพระเอกไปอย่างนั้นจบ ผมก็เดินออกจากห้องหอพัก
***
ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปในตัวโรงเรียนได้โดยหายห่วง ชมภาพชีวิตวัยรุ่นโดยรอบไปในตัวด้วย ขณะเดิน
เด็กมากหน้าหลายตากำลังทำความรู้จักกัน แหงละ นี่คือเปิดเทอมวันแรก ในโรงเรียนที่ไม่มีปีการศึกษาต่ำจากมัธยมปลายลงมา ทุกๆ คนจึงตั้งใจหาเพื่อนกันน่าดู
ผมหัวเราะในลำคอตัวเองเล็กน้อย—–เรื่องเพื่อนเองผมก็ต้องพยายามหน่อยกระมัง ว่ากันว่าการสอนทฤษฎีของโรงเรียนเวทมนตร์ยากเอาเรื่อง ตอนสอบทาบไม่ติดเลย …อาจจะดูไม่จริงใจหน่อย แต่ผมควรหาเพื่อนคุยเรื่องงานการบ้านบ้างแล้ว
ไม่นั้นตายแหง—–ต่อให้มายันโลกใบใหม่ผมก็ยังไม่พ้นวัฐจักรเรียนไม่ไหวหรือเนี่ย? ยังไงเสียโลกนี้ผมตัดสินใจจะพยายามกว่าโลกเก่าอยู่แล้ว ต้องตามเนื้อหาการสอนให้ได้ ว่าง่ายๆ คือต้องเรียนเก่งพอตัวให้ได้
ผมสาบานกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยผมก็มุ่งหน้าไปต่อ—ไม่ใช่ห้องเรียนผม แต่เป็นห้องเรียนของเบลลามี ยังมีเวลาตั้ง 20 นาทีก่อนจะเข้าเรียนตามชั้น
อนึ่งผมไม่ใช่พวกติดสาวแต่อย่างไร แค่กะจะคุยเรื่องวันก่อนเท่านั้น
ไม่นานก็มาถึง วันก่อนพึ่งมาเองจึงไม่หลง
ผมชะโงกหัวเข้าไปดู พบเบลามีที่นั่งอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่ออยู่
ตามแผน—เข้าไปคุยเหมือนเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้นก่อน จากนั้นจึงค่อยถามเรื่องเมื่อวาน
เอาละ
เตรียมใจแล้วผมเลยเข้าไปคุย
เป้าหมายคือสาวน้อยหุ่น ม.ต้น ผู้มีเส้นผมสีดำยาวและดวงตาสีแดงนัยน์ตาดูง่วงนอน สวมชุดนักเรียนกระโปรงถึงเข่า เสื้อเชิ้ต เสื้อคลุกสำน้ำเงิน ตามกฎระเบียบทุกอย่าง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเบลลามี กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?”
ผมกล่าวอย่างสุภาพ เบลลามีนิ่งราว3วิ ก่อนจะหันหน้ามาทางผม เอ่ยปากคุยด้วย
“อย่างที่เห็น”
—ไม่อยากคุยด้วยสินะ?
ไม่สิๆ อย่าเสียทรงดิไอ้ชาย ถ้าหากคำนวณจากนิสัยของเบลลามีแล้วเธอคงคิดในใจประมาณว่า ‘พยายามคุยเหมือนสนิทด้วยดีกว่า’ แหงๆ ไม่ผิดแน่ ผลลัพธ์มันจึงออกมาแบบนี้เท่านั้น
เธอแค่ปรับตัวไม่ได้เท่านั้นเอง สกิลการสื่อสารเธอติดลบไงละ ดูสายตาน่ารักๆ นั่นที่ส่งมา แสดงให้เห็นว่าอยากคุยต่อ ไม่ได้ตั้งใจเมินผม
ผมยิ้มเจื่อนคุยด้วยต่อ
“หนังสือนั่นน่าอ่านดีนะครับ ดูท่านาจะสนุก”
“จริงๆ แล้วเป็นเล่มเดียวกับเมื่อวานน่ะ”
ทฤษฎี? …เอาดิ กะว่าจะตั้งใจเรียนทั้งที
“ถ้าอ่านจบแล้วฉันขออ่านต่อได้มั้ย?”
“ได้สิ สัญญากันแล้ว”
เยี่ยม ไปได้สวย
“แล้วนี่ก็อ่านซ้ำอยู่ด้วย”
ว่าแล้วเบลลามีก็ยื่นมาให้ผม
“ขอบใจนะ เดี๋ยวจะรีบอ่านให้จบแล้วนำมาคืนให้เลย”
คืนเดียวพอ พรุ่งนี้จะได้หาเรื่องคุยได้ต่อ
ผมรับไว้ทั้งรอยยิ้ม เธอจึงส่งยิ้มอ่อนๆ ให้
“ไม่ต้องคืนหรอกนะ”
….เงียบกริบในทันที
“มันมีเชื้อโรคน่ะ”
—-ผมรู้ดีเธอแค่เกลียดเชื้อโรคเฉยๆ ไม่ได้เกลียดผม เป็นคำพูดที่บริสุทธิ์โดยแท้ เมื่อวานเองก็โดนไปแล้วแท้ๆ แต่…โหดร้ายเป็นบ้า
คำพูดของเธอทำให้ผมสะดุดหลายต่อเลยละ
“อ๊ะ อืม …ขอบใจนะ”
เพราะเล่มไม่ใหญ่มากผมจึงเก็บใส่กระเป๋าคาดเอวได้
“..อ่า แล้วเรื่องเมื่อวานน่ะ?”
เบลลามีหลบตาผมเล็กน้อย ท่างทางดูรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ เราเผลอหลับไปน่ะ”
“อ่อ แบบนี้นี่เอง ไม่เป็นไรๆ”
เบลลามีพยักหน้ารับ—สถานะการณ์ดูอึดอัด
ผมเลือกถามไม่ถูกเวลาสินะ? บ้าจริงๆ ตัวผม
“ถ้านั้น ..ขอตัวก่อน”
“อือ”
ผมเดินออกจากห้องของเบลลามี และขณะนั้นก็ไปสวนทางหน้าประตูห้องกับพวกยูจิเข้าให้
พวกเขามีสองคน ‘ยูจิ’ กับ ‘เรย์’ คู่ชี้ที่นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว
อนึ่งเรย์สอบเข้าในสายทฤษฎี และผ่านได้สบายๆ นอกจากนั้นยังอยู่ห้องเดียวกันกับเบลลามีอีก …น่าแปลกที่นิสัยไม่เอาอ่าวแบบเรย์จะเก่งทางทฤษฎีได้
ยูจิเมื่อเห็นผมก็ยิ้มให้ ส่วนเรย์ยิ้มให้เช่นกันแต่ดูน่าขยะแขยงชอบกล
“อรุณสวัสครับคุณเรเซอร์”
“โจรขโมยกางเกงในนี่?”
“..โจรขโมยกางเกงใน?”
อย่าไปเสี้ยมยูจิกับเรื่องบ้าๆ สิเจ้าโรคจิตนั่น
“อย่าใส่ใจที่หมอนี่พูดเลยยูจิ นายน่าจะรู้ดีนี่ว่ามันเป็นพวกเหลวแหลก?”
ระดับที่กล้าขโมยกางเกงในชาวบ้านได้หน้าตาเฉยเลยแหละ
ยูจิยิ้มอ่อนล้า คงคิดว่าผมกับเรย์จะทะเลาะกันเข้าให้แล้ว จึงพยายามเลือกคำพูดปรามพวกเรา
“…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่—เข้าใจแล้วครับ”
ยูจิสวนทางกับการคาดหวังของผมไปซะนั้น
“เฮ้ยๆ ยูจินี่นายคิดว่าฉันเป็นอย่างนั้นจริงดิ”
เหมือนการใส่กองไฟไปมากกว่า ยูจิยิ้มเจื่อนพลางแก้ตัวน้ำขุ่น
“-ป เปล่านะครับ คือว่า…ขอโทษครับ”
เรย์ทำหน้าหมาหงอยในทันที ผมยิ้มเหยาะอย่างออกหน้า
“ที่สำคัญไอโจรขโมยกางเกงในมันนายเองไม่ใช่เรอะ?”
อยากด่าให้หูชาไปเลย โดยเฉพาะเรื่องโยนขี้ให้ชาวบ้านเขาเนี่ย
“..เปล่าสักหน่อย …ก็จริงที่ฉันเห็นแล้วนั่งจ้องมันเป็นชั่วโมง”
ว่างดีแฮะไอ้หมอนี่
“แต่ว่านา …ฉันไม่ใช่คนขโมยมาสักหน่อย”
“เชื่อได้?”
เรย์ทุบหน้าอกตัวเอง ท่าทางดูจริงจัง
“สาบานด้วยเกียรติของน้องชายแสนดีเลยละ ไม่มีทางทำให้พี่ที่รักผิดหวังแน่นอน”
โอเคร เชื่อ
ไม่มีทางที่เรย์จะอ้างชื่อของชินเพื่อโกหกเด็ดขาด เนื้อเรื่องในนิยายว่ามาอย่างนั้น
ตอนที่ตัดสินใจป้ายความผิดให้ผมก็ไม่มีทางเลือกด้วย ถ้าไม่ทำเขาจะโดนมองในสภาพโรคจิตบ้า กกน. เหมือนผมตอนนี้ทันที ไม่โกรธหรอก แต่ถ้าได้ดวลกันสักครั้งจะกระทืบไม่ยั้งเลย แน่นอนว่าแบบพอเหมาะพอดี
“คนร้ายคือคนอื่นสินะ น่าสนใจดีแฮะคดีนี้”
ไม่ได้โกหก มันน่าสนใจจริงๆ เพราะรูปคดีแบบนี้—-มันดันไปคล้ายกับเนื้อเรื่องในนิยายเล็กน้อยนี่สิ
ตอนแรกก็คิดว่าไปเกี่ยวกัน เพราะพวกยูจิจะเริ่มตามหาโจรขโมยกางเกงในกันช่วงเนื้อหาเล่ม 2 ซึ่งตัวนางเอกหลักอย่างหนิงโดนขโมยกางเกงในไป และผู้หญิงหลายต่อหลายคน ทำให้เรย์จะจับคนร้ายเพื่อทำให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ พลางล้างชื่อเสียไปในตัว เลยลากยูจิมาช่วยไขคดีด้วย
แต่นี่ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน ทำให้ผมอนุมานไปเองว่า—เรย์มันก่อความเดือดร้อนอีกแล้ว …ถึงจะไม่ใช่ก็ตาม
“โอ้ ถ้าสนใจฉันจะเล่ารายละเอียดให้อีกก็ได้นะ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนน่ะ”
ผมพยักหน้ารับ
“รบกวนด้วยละ”
“อ่า …จะว่าไปนายมีธุระกับคุณเบลลามีเรอะ?”
น่าแปลกที่เรย์รู้จักเบลลามีด้วย
“รู้จักรึ?”
เรย์หัวเราะขึ้นจมูก
“แน่นอน ฉันรู้จักผู้หญิงทุกคนในโรงเรียน โดยเฉพาะผู้หญิงหน้าตาดี”
สมกับเป็นเพื่อนพระเอก มีระบบอำนวยความสะดวกพระเอกเวลาจีบหญิงด้วย
แต่ผมควรเตือนเขาก่อน
“เตือนไว้เลย อย่าคิดจีบเธอคนนั้นเล่นๆ เชียว”
“ถ้าจริงจังก็ได้นั้น?”
ผมยิ้มให้
“ไม่ขวางทางอยู่แล้ว ถ้าจริงใจละนะ”
ถ้าไม่ต่อให้ใช้กำลังผมก็จะจัดการเอง ต่อให้เป็นน้องชายของชิน คนที่ผมเคารพ
แน่นอน—–ถ้าหากเธอมีความสุข ผมก็ไม่คิดจะขวางทางอยู่แล้วละ
“ถ้าไม่เดือดร้อนอะไรหาโอกาสชวนเธอคุยบ่อยๆ ก็ได้นะ พวกนายสองคนน่ะ” ผมหยักไหล่ “แต่เบลลามีต้องสมัครใจคุยด้วยนะ เข้าใจมั้ย เรย์?”
“เอ็นดูคุณเบลลามีน่าดูเลยนะ” เรย์พึมพำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่างกับทุกที
“เข้าใจแล้วครับ”
ทั้งสองคนตอบรับในแบบของตัวเองกัน ว่าแล้วผมจึงผละตัวออก และเดินกลับห้องของตัวเอง
ถ้ายูจิและเรย์ไปสนิทกับเบลลามีได้เร็วกว่าเดิม มันก็ไม่มีข้อเสียหรอก—-กลับกันยังดีต่อตัวเบลลามีด้วย
ผมมองกลับไปยันห้องสายทฤษฎี ห้องของเบลลามี
น่าเศร้า เธอจะไม่มีเพื่อนจนกว่าที่ยูจิจะสังเกตเห็นเธอและชวนคุยด้วยช่วงปี 2 …ท้ายที่สุดเธอจะมีเพื่อน แต่มันนานเกินไป ตั้งหนึ่งปีเชียวนะ
แบบนั้นผมรอไม่ไหวหรอก เพราะฉะนั้นต่อให้เนื้อเรื่องจะเปลี่ยนไปบ้างผมก็จะทำ เพราะ—ผมมาเพื่อช่วยเบลลามียังไงละ
ไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นผู้ปกครองอะไรหรอก ผมจะไม่บังคับเธอให้ทำตามที่ผมต้องการเด็ดขาด
แค่ขอเป็นหนึ่งในเพื่อนคนสำคัญของเธอ ไม่สิ แค่เพื่อนปกติ ก็พอแล้ว
******
ผมเข้ามานั่งในห้องเรียนสาขาภาคปฏิบัติแล้ว ยืดอกหลังตรง นั่งอย่างมีระดับ—-แม้ว่าโดยส่วนใหญ่ในห้องมักจะยืนเกาะตามทาง บ้างก็นั่งบนโต๊ะเรียนปะปลาย
ให้กล่าวโดยอิงความจริง สายการเรียนของผมถูกยึดโดยพวกหัวโจกเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าคนที่ตั้งใจก็มีบ้าง อย่างผมเป็นต้น
ประชากรในห้องตอนนี้มีราว 20 คน ทั้งๆ ที่ห้องเรียนมี 50 คน อีก 5 นาทีจะถึงเวลาโฮมรูมแล้วแต่ยังมากันไม่ถึงครึ่ง
ซ้ำร้ายพวกที่นั่งอย่างเรียบร้อยหรือยืนคุยกันอย่างสุภาพมีแค่ 6 คนเท่านั้น
ในห้องเรียนเหมือนกับห้องสายทฤษฎี ห้องค่อนข้างใหญ่ ที่นั่งนักเรียนถอดยาวขึ้นเรื่อยๆ และสูงขึ้นตามแต่ละชั้น เป็นที่นั่งยาวราว 4 ชั้น—ประมาณห้องเรียนของมหาลัยเลย บรรจุคนได้เป็นร้อย
รอบข้างเองก็มีของสำหรับการสอนครบถ้วน โดยรวมคือดีเยี่ยม สมกับเป็นโรงเรียนเวทมนตร์อันดับหนึ่ง
เทียบกับโรงเรียนเวทมนตร์ของทวีปแห่งสายลม แซรอิซแล้ว มาตรฐานมันต่างกันสุดๆ …แน่นอนถ้าเรื่องต่อยตีทางนั้นกินขาด
นึกถึงความทรงจำช่วงไปเยี่ยมโรงเรียนเขาเลยแฮะ ได้ต่อยตีด้วย ไม่น่าภูมิใจสักนิดแต่ผมเป็นฝ่ายชนะละ ชมกันหน่อยสิ
อย่างไรก็อย่างที่พล่ามไว้ ไม่น่าภูมิใจสักนิด
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันใดนั้นก็มีมือขนาดใหญ่วางอยู่ตรงหน้าผม—มีคนมาทักทายผม
เขาหัวโล้น ตัวใหญ่ราว 2 เมตร กล้ามโต ท่าทางดูดุดัน ไม่รู้ชื่อ
“แกเรเซอร์จอมชั่วช้าสินะ?”
‘เรเซอร์จอมชั่วช้า?’ ฉายาเรอะนั่น
“ทำร้ายจิตใจผู้เข้าสอบจนไม่ยอมมาโรงเรียน ทั้งๆ ที่สอบผ่าน”
ถ้าหมายถึงฮาเก้น เจ้าหมอนั่นสอบไม่ผ่านทั้งสองสายต่างหาก สายทฤษฎีได้คะแนนขั้นบัดซบ ภาพปฏิบัติก็โดนผมเล่นอยู่ฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้กับฮาเก้นคิดว่าสนิทกันดีแล้วนะ
เจ้านั่นหายใจขึ้นจมูกรุนแรง ท่าทางดูหงุดหงิด ใครเขาปล่อยพวกนักเลงมาโรงเรียนเนี่ย?
“เลวร้ายเข้าหอวันแรกยังขโมยกางเกงในอีก”
…ไม่ใช่สั่งว่าห้ามแพร่งพรายไปแล้วเรอะ?
“มีมาข่มขู่ไม่ให้บอกต่อด้วย”
ทำไมดูรู้ลึกจังฟร้ะไอ้หมอนี่?
“…ฉันไม่ได้ขโมยหรอกนะ”
“อย่ามาโกหกน่า มีคนเห็นกับตา”
มีคนอื่นมาเห็นสินะ—เวรละ แบบนี้ข่าวลือก็ไปทั่วเลยดิ
เจ้านั่นจ้องเขม็งผม ดูจะหาเรื่องกันอย่างเห็นได้ชัด
“เห็นแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเมื่อราวหนึ่งปีก่อนฉันเป็นนักเลง”
ตอนนี้ก็ยังเป็นนักเลงอยู่ไม่ใช่เรอะ? —-คุ้นๆ แฮะบทนี้
“แต่ว่านะ …ไม่กี่วันก่อนฉันได้พบกับคุณเมดแสนดีเข้า เธอสอนให้ฉันรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา …มันทำให้ฉันซาบซึ้งและสาบานกับตัวเอง ว่าจะเป็นลูกผู้ชายที่ไม่รังแกใคร และไม่ทำให้คนรักร้องได้เด็ดขาด ..ตัวฉันผู้ไม่เอาอ่าว ผู้คิดว่าตัวเองด้อยค่าและพยายามเรียกร้องความสนใจ ตัวฉันที่ไม่มีใครเอากระทั่งพ่อแม่มีคนมาสนใจ และให้กำลังใจ—-เพราะฉะนั้น!!”
หมอนั่นทุบโต๊ะที่ผมนั่งอย่างรุนแรง
“ถ้าเกิดแกคิดจะทำชั่ว ฉันคนนี้จะหยุดแกเอง! ต่อให้เป็นบุตรชายของดยุคก็ไม่สน ..มันคือคำสาบานต่อตัวฉันกับเมดแสนดีคนนั้น”
ผมยิ้มให้
“ก็ดีแล้วนี่ นายเติบโตมาได้สุดยอดมากเลย”
“อย่าคิดว่ารอยยิ้มนั่นจะหลอกฉันได้เชียวนะ ฉันไม่ยอมให้พวกนักเลงหัวไม้มาหลอกและปั่นหัวได้เด็ดขาด”
ผมไม่ใช่นักเลงหัวไม้สักหน่อย ที่เป็นักเลงหัวไม้น่ะมันฝั่งนายต่างหาก
หมอนั่นเหวี่ยงแขนขึ้นและทุบโต๊ะอีกรอบ ก่อนจะตะโกนไปทั้งห้อง
“พวกแกทั้งห้องก็เหมือนกัน! ถ้าเกิดเป็นคนไม่ดีเมื่อไหร่เจอฉันแน่! —-แล้วก็ถ้ามีปัญหาอะไรมาปรึกษาได้เลย จะช่วยเอง!!!—ยกเว้นเรื่องการบ้าน”
พูดจบเจ้านักเลงนั่นก็เดินกลับไป…นั่งอยู่คนเดียวตรงแถวหน้า
ไม่มีเพื่อนสินะ ไม่มีคนเข้ามาคุยด้วย ก็ทำตัวพร้อมซัดกับชาวบ้านขนาดนั้น แต่ดูแล้วน่าจะเป็นคนดี ผูกมิตรไว้หน่อยอาจดี
ว่าแล้วผมเลยตะโกนถามชื่อ
“นายคนนั้นชื่ออะไรรึ?”
“… ‘กอรี่’ ”
ชื่อดูยิ่งใหญ่ดีแฮะ
ผมยิ้มให้และสังเกตข้างๆ ผม ตรงริมหน้าต่าง (ผมนั่งอยู่ชั้น 3 ฝั่งริมหน้าต่าง)
หนุ่มผมสีม่วงยาวจนแทบจะปิดตามองเอ่อระเหยไปข้างนอก ท่าทางดูซึมๆ …
“แล้วนายละชื่ออะไรเหรอ?”
เขาหันมาหาผม และไม่ตอบ ทำเป็นหูทวนลมด้วยซ้ำ—-น่าแปลกใจจริง แต่หน้าคุ้นๆ
“หึ ปล่อยให้โดนข่มซะแล้วเรอะ คุณเรเซอร์ผู้ชั่วช้า”
เสียงหัวเราะขึ้นลำคออันมีเอกลักษณ์นั้นดังมาข้างหลังของผม ดูแล้วน่าจะตั้งใจหาเรื่องผม แต่พอหันไปดูก็ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดทันที เพราะเธอคือบุคคลในนิยายที่นิสัยดีที่สุดในเรื่องก็ว่าได้
เธอคนนั้น—ใช่ หล่อนเป็นผู้หญิง สวมชุดถูกระเบียบโรงเรียนทุกอย่าง แต่ท่าทางดูห้าวๆ ซ้ำร้ายยังยกขาขึ้นบนโต๊ะด้วย ดูไม่เรียบร้อยแต่แต่งตัวเรียบร้อยชะมัด—ผมสีบลอนด์เอกลักษณ์ของขุนนางชั้นสูง ดวงตาสีฟ้า หุ่นดีเป็นไปตามวัย
เป็นคนดูเรียบร้อย แต่ก็ดูไม่เรียบร้อยไปในตัว จะอธิบายยังไงดีนะ …เด็กเกเรที่แต่งตัวเรียบร้อยกระมัง?—-อ่า เอาเถอะ ไม่สลักสำคัญมากหรอก ผมจำเธอได้ดี
หนึ่งในนางเอกของเรื่อง สาวสวยนักเลงผู้หลงรักยูจิ …ให้กล่าวโดยสรุปเธอคือตัวประกอบประจำนิยายที่เป็นฮาเร็มของยูจิ ประมาณนั้น ที่สำคัญแห้วด้วยเพราะหนิงไม่ถูกกับหล่อน เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าฮาเร็ม ..หนิงใจร้ายชะมัด
ผมมองหล่อนนิ่งๆ
จำไม่ผิดชื่อ ‘โซเฟีย’
“แนะนำอย่าเอาเท้ามาพาดบนหัวชาวบ้านดีกว่านะ มันทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจน่ะ”
“เหอะ”
ว่าแล้วจึงนำเท้าลงอย่างว่าง่าย—เป็นเด็กดีเหมือนในนิยายเลย แค่ดูเกเรเท่านั้น
“เดี่ยวเอาขาเกี่ยวหน้าต่างแทนละกัน ไม่รบกวนนะ?”
ทำตัวเป็นนักเลง แต่จะทำอะไรก็ถามคนอื่นก่อนว่า ‘ไม่รบกวนนะ?’ เนี่ยนะ ล้มเหลวในฐานะนักเลงสุดๆ ให้ผมสอนให้ดีมั้ยเนี่ย?
“ทำอย่างนั้นจะเห็นกางเกงในเอานะ”
ผมแนะนำไปอย่างสุภาพบุรุษ และเจ้าหล่อนก็ตอบรับชิลๆ
“จริงด้วย …แกเนี่ยคนดีแฮะ”
“ไม่หรอก เอ่อ” ผมหลบตา “ฉันชื่อ ‘เรเซอร์’ นะ”
รู้ตัวอีกทีพวกเราก็แนะนำตัวกัน
“อืมๆ รู้แล้ว ฉันโซเฟียนะ อย่างที่เป็นจิ๊กโก๋”
พวกเราคุยถามไถ่ความเป็นมากันเล็กน้อย
สรุปดูเข้ากันได้กว่าที่คิด—–เป็นเด็กดีจริงๆ โซเฟีย
ไม่นานนักเสียงนาฬิกาก็ดังหวานไปทั่วโรงเรียน—คงเป็นตัวบ่งบอกว่าได้เวลาโฮมรูมแล้ว ว่าแล้วผมจึงไม่ถามอะไรกับหนุ่มผมสีม่วงยาวคนนั้น และหันไปจ้องที่หน้ากระดาน
ชายแก่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า—ช้ามาก สงสัยเป็นเพราะว่าแก่ แล้วก็ดูจากตราสีเงินที่ติดตรงกระเป๋า คงจะเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเรา
ทันใดนั้น ‘กอรี่’ เจ้านักเลงคนดีแถวหน้าจึงลุกขึ้นเดินไปหาคุณครู
“เดี่ยวช่วยนะ”
กอรี่จับไหล่อาจารย์ท่านนั้นเบาๆ และพาเดินอย่างช้าจนมาถึงหน้ากระดาน
โซเฟียบนหัวผมเดาะดิ้นไม่พอใจ
“เจ้ากอรี่นั่นใครเขาสอนให้จับคนแก่เดินแบบนั้นเล่า ไปสอนมันหน่อยดีมั้ยเนี่ย?”
งานถนัดของคุณนักเลงโซเฟียเขาแหละ ถ้าเกิดจำรายละเอียดไม่ผิดเธอเป็นที่รักของคุณยายตามตลาดนัดด้วย เป็นคนที่สร้างวีรกรรมดีๆ ไว้ทั้งนั้น ชนิดที่ว่าเป็นลมหายใจทีเดียว แม้ปากจะบอกว่าตัวเองเป็นนักเลงก็ตาม
และเพราะพฤติกรรมแอบน่ารักนั่นทำให้คุณยายทั้งหลายชอบเธอด้วย โดยไม่รู้ตัว—ตลอดมาคงคิดว่าตัวเองดูชั่วและไม่น่าคบแล้วภูมิใจแหงๆ ว่าง่ายๆ คือคนพิลึก เช่นเดียวกับกอรี่เลย
กอรี่โค้งหัวสุดตัวให้อาจารย์
“เชิญกล่าวเลยครับ”
“เอาเป็นว่าพวกที่ไม่เข้าเรียนรวมถึงไม่ได้นั่งกับเก้าอี้—ไล่ออก”
“—-เอ๊ะ?”
กอรี่เบิกตาโพลงกว้าง ช็อกเลยแหละ
ยืนอยู่ ..กอรี่กำลังยืนเหวออยู่ บ้าเอ๊ย โดนเจ้าอาจารย์นั่นเล่นซะแล้วกอรี่!! —-อาจารย์ท่านนั้นหัวเราะร่า
“ล้อเล่น ทำอย่างนั้นได้ที่ไหน มีแต่พวกเด็กขุนนางทั้งนั้นขืนไล่ออกมีโดนตามเก็บแหง”
เป็นอาจารย์ที่มีอารมณ์ขันดีจริงๆ แถมยังรู้จุดยืนตัวเองด้วย ดูกวนดีแฮะไอ้แก่นี่
“เธอเองก็ไปนั่งเถอะนะ พ่อหนุ่ม”
“…อ่า”
กอรี่ได้แต่งง และกลับไปนั่งที่เดิม
หลังจากนั้นก็เป็นเวลาแนะนำตัวตามปกติ—–อาจารย์ชื่อว่า ‘สไมค์’ เป็นชื่อที่ดูวัยรุ่นสุดๆ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปรอบตัวเอง—-กอรี่คนนี้อยากจะสนิทด้วยจัง—-โซเฟียเจ้าหล่อนคนนี้ก็อยากสนิทด้วย—สุดท้ายพ่อหนุ่มผมสีม่วงข้างๆ ผม
…ดูคุ้นหน้าแหะ
***
มาถึงก็เรียนกันเลย—เป็นการปูพื้นฐานกระมังวันแรก
เนื้อหาส่วนใหญ่คาบเช้าเป็นการอธิบายที่มาที่ไปของเวทมนตร์ทั้งนั้นเลย หลักการง่ายๆ ที่ผมเข้าใจได้ ไม่ใช่ทฤษฎีชวนปวดหมอง
หลังจากนี้คงยากแน่ แม้จะเป็นสายปฏิบัติแต่ก็ควรรู้ทฤษฎีไว้ย่อมดีกว่า
ระหว่างที่เรียนเกี่ยวกับ ‘ประวัติศาสตร์เวทมนตร์’ แสนน่าเบื่อ แล้วมีแต่ข้อมูลเท็จซึ่งดัดแปลงจากประวัติศาสตร์จริง ..ผมก็หันข้างสังเกตพฤติกรรมของคนที่ผมสนใจ
‘กอรี่’—ตั้งใจเรียนสุดๆ ไม่เข้าใจก็ยกมือถามตลอด ในความพอดี จดเนื้อหาทุกบรรทัดเลย ขยันสุดๆ
พอหันกลับมามองตัวเองแล้ว…ตัวเปล่าเลย เออ ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย อุตส่าห์จะตั้งใจเรียนแล้วเชียว แต่ใครจะคิดเล่าว่าวันแรกก็เรียนเลย
“นี่ๆ”
ผมถูกโซเฟียสะกิดหลังจึงหันไปมอง
เธอยื่นกระดาษพร้อมดินสอมาให้
“รีบจดสิ เดี่ยวตามเนื้อหาไม่ทันเอา”
คนดีสุดๆ เธอไม่ใช่ ‘นักเลง’ เธอคือ ‘นางฟ้า’ ตะหาก
“ขอบใจ”
“ไม่ต้องมาขอบคุณหรอกซะให้ยาก” หล่อนแสยะยิ้ม “ฉันคิดเงินห้าบาททั้งหมดนั่น”
ผมยิ้มอบอุ่นให้หล่อน…ปากกานี่มัน 10 บาท ซ้ำร้ายกระดาษโลกนี้ยังราคาแผ่นละ 5 บาท ขาดทุนสุดๆ
‘โซเฟีย คนดีขนานแท้’
“ถ้าตามเนื้อหาไม่ทันจะแย่เอา ฉันอาศัยข้ออ้างนั้นในการขายของให้แกไงละ หึๆ”
—–ขาดทุนไปละโซเฟีย ที่สำคัญคิดจะโกงกันจริงไม่พูดให้ฟังโต้งๆ หรอก
การเจอกับโซเฟียทำให้ผมรู้เลยว่า—หล่อนโคตรน่าเอ็นดู
เป็นสาวซึนที่นิสัยดี น่ารักชะมัด
“แล้วก็นายข้างๆ ด้วย”
โซเฟียเรียกผู้ชายผมสีม่วง
“รีบๆ จดซะ”
เธอยื่นกระดาษและดินสอแบบเดียวกันให้ ทว่า—-ชายคนนั้นกับเมินเฉย
“อย่าเมินสิ เวลาเรียนก็ต้องตั้งใจเรียน ค่าเทอมไม่ใช่ถูกๆ นะ”
เด็กเกเรเขาไม่พูดแบบนั้นกันหรอกครับโซเฟีย!
ชายผมสีม่วงถอนหายใจ เขาดูหงุดหงิด
“เนื้อหาทั้งหมดอยู่ในสมองแล้ว …ไม่จำเป็นต้องจำ”
ท่าทางดูดุร้าย
“..นั่นน่ะใช่ความจริงหรือเปล่านะ? ..จดไว้ก็ดีนะ ขืนไม่เข้าใจขึ้นมาไม่มีใครช่วยนายได้ นอกจากตัวเอง”
—อย่าเรียกตัวเองว่านักเลงเลย โซเฟีย
….ชายผมสีม่วงเดาะลิ้นหงุดหงิด
“อย่ามายุ่งน่า”
ว่าอย่างนั้นแล้วทำเมินโซเฟียสนิท
“…เขาคงเป็นคนหัวดีนั่นแหละ บางคนใช้วิธีจำก็ดีกว่านะ”
“งั้นเอง ฉันผิดเอง ขอโทษนะ”
โซเฟียขอโทษอย่างจริงใจ จากนั้นก็ยืนชุดกระดาษดินสอมาให้ผม
“ถ้าอย่างนั้นนายช่วยส่งกระดาษดินสอชุดนี้ส่งไปต่อทีสิ”
….?
“บางคนก็ดูตั้งใจแต่ไม่มีอุปกรณ์น่ะ”
เธอพูดทั้งๆ ที่จดข้อมูลการสอนของอาจารย์ไปด้วย…
“อย่าเรียกตัวเองว่านักเลงหรือจิกโก๋เลยโซเฟีย”
“ฉันคือจิกโก๋ตัวแม่ อย่ามาขวาง”
เด็กคนนี้น่ารักชะมัด