เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 244
< < 156 sec2 > >
ผู้คุมหอคอยนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยมีดิลุคแล้วก็ลิเวียธานยืนจ้อง
“เป็นแค่คนคุมหอคอยค่ะ ~ ไม่ได้เกียวข้องอะไรหรือเจตุนาใดๆทั้งนั้น ที่ทำก็แค่กิจการที่รับต่อมาจากที่บ้านเท่านั้นค่ะ พูดให้ถูก เพราะเป็นลูกชัง เลยโดนส่งมาทำงานในที่นี่มืดมิดไร้ซึ่งแสงอาทิตย์แห่งนี้ค่ะ นอกจากการใช้ชีวิตที่สบายๆโดยไม่ต้องทำอะไรมากแล้วไม่มีอะไรดีเลยค่ะ! แค่นั่งนอนอยู่เฉยๆกินข้าว ว่างๆก็นั่งทำงานอดิเรกคนเดียว! ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ แฟนก็ไม่ได้หา เพื่อนก็ไม่ได้คบ คนที่บ้านก็ไม่ได้เจอ ถึงจะไม่อยากเจอแต่แรกอยู่แล้วก็เถอะ แฟนรึเพื่อนก็ใช่ว่าจะมี แล้วก็ไม่ได้อยากมีด้วย(กระซิบ)..ไม่มีอะไรดีเลยค่ะ ~!”
“ดูไม่ออกเลยนะคะนั่น”
ที่พล่ามมานั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงแห่งความสุขที่มิอาจโกหกได้
“ไม่จริงเลยค่ะ ที่จริงแล้ว ไม่เคยอยาก ..เลยค่ะ!”
“ช่วยพูดให้มันหนักแน่นหน่อยไม่ได้รึไง? บอกมาสิว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จะต้มยำทำแกงอะไรก็เชิญเลย พูด!”
“..ไม่แล้ว จะต้มยำทำแกงอะไรฉันก็เชิญเลย!”
“นี่หล่อนคิดว่าเป็นเพื่อนเล่นเหรอฮะ!?”
ลิเวียธานได้ทีก็เอาใหญ่ดึงคอเสื้อของผู้คุมหอคอยที่เอาแต่ตอบเลี่ยง ด้วยเหตุนั้นทำให้เสื้อยืดสีขาวจืดๆเผยให้เห็นท้องน้อยแล้วก็ใต้หน้าอกจากการโดนดึง
“เหวอ หน้าอกขนาดใหญ่เกินตัวน่ารังเกียจนี่มันอะไร น่าจะเนื้องอกนะนั่นไปตัดทิ้งซะนะ”
“จะโป๋แล้วๆ”
“ไม่มีใครอยากเห็นเรือนร่างของหล่อนหรอก เอ้า พูดมาซะสิว่าจะเผาที่นี่ก็ได้น่ะ ไม่ได้คิดจะอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
“…”
ผู้คุมหอส่งสายตามาทางดิลุค และ–ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆทั้งสิ้น
“..ที่นี่คือสวรรค์ชั้นบนของฉันค่ะ”
“ยอมรับสักที ก็แค่ชอบทำตัวเป็นนีทไม่ใช่รึไง งานการได้ทำบ้างมั้ยน่ะ”
“ก็คุมหอคอยไงค่ะ”
“งานง่ายชะมัด ฉันน่ะนะ แต่ก่อนเจอมาหนักกว่าเธอตั้งเยอะเชียวนะจะบอกให้ แค่นี้ทำมาเป็นบ่น เชอะ หัดไปเลี้ยงรู้โลกซะบ้างนะ ให้ตายสิ วัยรุ่นสมัยนี่”
ดิลุคแอบคิดในใจว่า ‘หล่อนก็นีทไม่ใช่รึไง มีสิทธิ์มาว่ากล่าวคนอื่นด้วยหรือนั่น’ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะกลัวจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้
“ช่วยไม่ได้นี่ค่ะ ฉันไม่ใช่คนเก่งหรือว่าคนขยันอะไรอยู่แล้วด้วย ..”
“ไม่ไหวเลยนะวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่ไหว ไม่ไหว”
“พอเถอะ ลิเวียธาน แค่เป็นนีทก็ดูน่าสงสารแย่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปซ้ำเติมหรอก”
ดิลุคเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้คุมหอคอย
“บอกไว้ก่อน ฉันภูมิใจกับการเป็นนีทนะคะจะบอกให้ การไม่ทำงานคือสวรรค์ค่ะ ใช่ จุดสูงสุด ทุกคนดิ้นดนทำงานกัน ฉันนั่งจิ้มปุ่มเล่นในห้องที่มีแต่ของชอบ นั่นแหละจุดสูงสุดของชีวิตค่ะ แล้วก็ต่อให้ซาตานหลุดมาก็ไม่ใช่ปัญหา แค่หนีแล้วส่งสัญญาณเรียกทูตสวรรค์มาช่วยจัดการก็พอแล้ว พวกคุณเองถึงจะเล่นขู่ฉันซะเสียความเป็นคนเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าทูตสวรรรค์มาถึง พวกคุณเองก็ไม่รอดแน่”
….
“งานง่ายขนาดนี้แต่ก็พลาดทำให้สิ่งที่ต้องคุมหลุดออกมาได้ คิดว่าเธอจะโดนอะไรบ้างรึเปล่าล่ะ?”
“..อ๊ะ”
“คิดว่าคนที่ต้องรับผิดชอบด้วยชีวิตไม่น่าใช่แค่พวกเรานะ”
“…”
“พอดีเลยนี่ ไม่ชอบทำงานไม่ใช่เหรอ? จะได้เป็นอิสระแล้วนะ ทั้งความทุกข์ ทั้งความสุข จะไม่ต้องรับมันเข้าตัวอีกแล้วนะ ดีจริงๆนะ”
“จะ เจรจากันเถอะ!”
ดิลุคยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ชะ ชะ ชื่อว่า ‘อังเฟกอร์’ ค่ะ ปัจจุบันอายุ 204 ขวบ เป็นผู้คุมหอคอยมาตั้งแต่ยี่สิบขวบค่ะ!”
“เหวอแก่ชะมัด อีป้านีท” ลิเวียธานอุทานขึ้นอย่างตั้งใจ
ผู้คุมหอคอยอังเฟกอร์ตะหงิดกับวิธีเรียกของลิเวียธานเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
“พูดตามตรง การตายเนี่ยเข้าไม่ถึงเลยค่ะว่ามีอะไรดี”
ดิลุคพยักหน้าเห็นด้วย
“ยังมีอีกหลายอย่างอยากทำสินะ”
“ค่ะ อยากนอนขี้เกียจยาวๆอีกสักพักปี!”
“เป็นเป้าหมายที่ดี แน่นอนจะให้มาจบที่นี่คงไม่ได้”
“ใช่เลยค่ะ จะให้เด็กบ้าคนเดียวทำลายชีวิตฉัน ไม่ได้ค่ะ!”
อังเฟกอร์ตบแก้มตัวเองสามที มันเด้งดึ๋งอย่างน่าเหลือเชื่อ ช่างเป็นแก้มที่น่าลูบคลำเล่นจริงๆ-ว่าแล้วดิลุคกับลิเวียธานก็ยื่นมือไปจับแก้มของผู้คุมหอคอยคนละข้าง
“มีร่างกายที่อุดมสมบูรณ์จริงๆนะ ถ้าไม่เป็นนีทก็น่าจะมีผู้ชายมารุมจีบจนมีลูกสักร้อยคนอย่างต่ำได้แล้วแท้ๆ”
การวิจารย์ที่ดูเสียมารยาทเข้าขั้นน่าตบกระบานสักทีของลิเวียธาน
“ผิวหนังของอังเฟกอร์สุดยอดมาก ขาวอมชมพูแล้วก็นุ่มเหมือนกับว่าอ้วน แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว น่าอัศจรรย์จริงๆนี่คือสิ่งที่เรียกว่าสเน่ห์ทางร่างกายโดนธรรมชาติหรือเปล่านะ? อยากจะชำแหละมาค้นคว้าจริงๆ”
การวิจารย์ราวกับนักวิทยาศาสตร์ตอนค้นพบสิ่งใหม่
อังเฟกอร์กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“..ไม่ว่าทางไหนก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยเลยนะคะเนี่ย”
“ถึงจะพูดว่าอยากลองวิจัยแต่ก็ไม่คิดจะทำจริงหรอกนะ เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศีลธรรม”
“นึกว่าจะทำตามที่อยากหลังจากใช้งานยัยนี่เสร็จซะอีก”
ดิลุคทำเมินแล้วยื่นมือมาให้อังเฟกอร์
“ร่วมมือกันเถอะ แต่ทางเราเองก็คงจะให้สิ่งที่เธอต้องการทุกอย่างไม่ได้ แต่รับปากได้ว่าชีวิตของเธอจะได้ดำเนินไปสู่บทสรุปที่แตกต่างจากเดิม ..เพราะถูกใจเธอขึ้นมาแล้วน่ะ”
“..เกิดมาพึ่งเคยมีคนบอกว่าชอบในตัวฉันเป็นครั้งแรกเลยค่ะ”
“น่ายินดีจริงๆ”
อังเฟกอร์คว้ามือของดิลุคไว้อย่างใสซื่อโดยหารู้เลยว่า–นั่นคือสัญญาจากผู้ที่จะถูกเรียกขานว่าจอมมารในอนาคต
****
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บนโลกที่มีทวยเทพทั้งสิบคอยสรรค์สร้างโลกนั้น ได้มีหนึ่งในเทพทั้งสิบคนหนึ่งเกิดปารถนาจะสร้างมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมา
มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด? แข็งแกร่งที่สุด นิยามของมัน เอกลักษณ์ของมันคืออะไรกัน
เทพตนนั้นได้ครุ่นคิดเป็นเวลากว่าสิบปีจนตัดสินใจได้–ว่าเขาจะสร้างมนุษย์ที่มีอักลักษณ์เหมือนกับพระเจ้าสูงสุดขึ้นมา
แน่นอนว่าการกระทำนั้นถูกต่อต้านโดยเทพหลายตน แต่ว่าเทพผู้นี้มีเหตุผลอันสำคัญที่ทำให้ทุกคนยอมรับได้ ทำให้การสร้างมนุษย์เลียนแบบพระเจ้าสูงสุดได้เกิดขึ้น
เหยื่อที่มีร่างกายตรงตามคุณสมบัติเบื้องต้นก็คือ–เด็กสาวธรรมดาทั่วๆไป เกิดในบ้านที่มีหน้าที่เพาะปลูกผลผลิตให้แก่โลก ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนฝึกเดิน เทพได้ทดลองร่างกายเด็กสาวคนนี้โดยที่ครอบครัวของเธอก็ยินยอมกับสิ่งที่ทำ ภายหลังเด็กสาวก็ยินยอมการทดลองของทวยเทพ ทว่าเด็กสาวนั้นใสซื่อเกินไป เธอไม่เข้าใจอะไรเลย เธอคิดได้แค่ว่าทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่กำลังมอบพรอันสูงส่งให้กับเธอ โดยหารู้เลยว่ามันจะเป็นบทสรุปไปสู่หายนะ
เอกลักษณ์ของพระเจ้าสูงสุดก็คือพลังที่ใกล้เคียงกับอนันต์ พลังที่ไร้รูปลักษณ์อันชัดเจน พลังแห่งการสร้างอันไร้ขีดสิ้นสุด
ผลการทดลอง ‘ล้มเหลว’ ไม่อาจไปถึงจุดมุ่งหมายดั้งเดิมได้ ทวยเทพตัดสินใจจะฆ่าเด็กสาวทิ้งหลังพบว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่มันเปล่าประโยชน์ ทว่าก็สายเกินไป
เด็กสาวเข้าถึงพลังที่ผิดพลาดนั่น แล้วก็บ้าคลั่งจากพลังอันมหาศาลซึ่งเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไว้ได้
สิ่งที่เด็กสาวระบายออกมาคือความร้อนระดับที่เผาทุกสิ่งได้เพียงแต่สัมผัส–ความร้อนค่อยๆรวมกันแปรรูปกลายเป็นดาบสีดำแดงยักษ์ บทสรุปอันผิดพลาดของทวยเทพ
มนุษย์ทหารชั้นต่ำไม่อาจต่อกรกับเด็กสาวได้ ทุกคนถูกเด็กสาวฆ่าทิ้งเพียงแค่ชายตามอง อำนาจที่เธอถือครองคืออำนาจระดับทัดเทียมกับทวยเทพ หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำในบางคน
สุดท้ายความเสียหายก็ใหญ่โตขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน เด็กสาวได้ทำลายุทกอย่าง ครอบครัวของตัวเอง คนรู้จักของตัวเอง คนที่ไม่รู้จัก ชีวิตนับพันนับหมื่นถูกเธอฆ่าอย่างโหดร้าย
แต่ สำหรับทวยเทพมันไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่โตอะไร
มนุษย์ตายเป็นหมื่น? แต่เดิม ถ้าไม่มีพวกตน มนุษย์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้างโดยมานาของทวยเทพ ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจอะไร แค่รอธรรมชาติฟื้นฟูมนุษย์กลับมา แต่เด็กสาวในตอนนี้นั้นอันตรายเกินไปจึงปล่อยไว้ไม่ได้
ทวยเทพได้ส่งทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดลงไปจัดการ พร้อมกับกองทัพขนาดยักษ์ เพื่อความแน่นอนในการกำจัดเป้าหมาย ในท้ายที่สุดเด็กสาวก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่อำนาจของทวยเทพ แต่เพราะอำนาจประหลาดที่ทวยเทพได้ทำการทดลองกับเธอ ทำให้เธอไม่อาจถูกฆ่าตายได้ และถ้าปล่อยไว้ก็จะฟื้นตัวกลับมาพร้อมกับทำลายทุกอย่างเหมือนเดิม
เทพแห่งจิตวิญญาณจึงได้สร้างหอคอยขึ้นมา ขังเด็กสาวไว้ที่นั่น สร้างโครงสร้างมากมายเพื่อให้มานาที่ออกจากร่างกายของเด็กสาวกลายเป็นมอนสเตอร์ในหอคอย มีโซ่สวรรค์คอยคุมลิมิต มีดาบสวรรค์คอยทิ่มแทงในยามที่พลังพวยพุ่งขึ้นมา ..บทสรุปของเด็กสาวก็คือ–ล้มเหลวในฐานะมนุษย์ทดลองของทวยเทพ และต้องรับโทษที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเด็กสาวก็คือ ..ความปารถนาที่จะสังหารทวยเทพทั้งหมด
แน่นอนว่าดาบของเธอ ไม่มีทางส่งไปถึงผู้อยู่บนสวรรค์ได้–เธอจักต้องถูกจองจำอยู่ในคุกนรกแห่งนี้ตลอดไป ในฐานะสัตว์ประหลาดผู้ที่เคยเกือบได้นามว่า ‘จอมมาร’ ไปครอบครองอย่าง ‘ซาตาน’
ดาบทลายโลกาสีดำแดงถูกปักที่พื้นของหอคอย ทุกชีวิตรวมถึงซากศพทั้งหมดกำลังถูกระเหยด้วยไอร้อนอันมหาศาล นอกจากนั้นพื้นผิวของหอคอยเองก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงแมกม่าราวกับกำลังถูกครอบนำการควบคุม ซาตานยืนจับด้ามดาบยักษ์นั่นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า หัวใจของเธอมีเปลวเพลิงปะทุอยู่ ร่างกายของเธอมีเส้นวงจรเวทย์สีแดงโผล่ทั่วทั้งร่าง
“..หยุดไม่ได้…แล้ว”
ภาพของตัวเองที่แกว่งดาบสังหารคนสำคัญคนแล้วคนเล่าลอยเข้ามาในหัว
นี่คือพลังของเธอ พลังที่ได้มาจากทวยเทพ แต่–เธอไม่อาจควบคุมมันได้ ทันทีที่มันถูกใช้งาน ทุกอย่างก็จะไม่มีทางหยุดจนกว่าเธอจะถูกโค่นลง
“..[เฟซ 2]”
ดาบสีดำแดงปรากฏคริสตัวสีส้มขึ้นที่ด้ามจับได้ ร่างของซาตานถูกปกคลุมด้วยไอร้อน–ไอร้อนค่อยๆกลายร่างกลายเป็นชุดเกราะสีดำแดงแมกม่า
ซาตานโยนดาบขึ้นมาไว้บนบ่า และก้าวเดินพร้อมกับไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาราวกับเป็นการแสดงอาณาเขตุของตัวเธอเองไปด้วย
****
“[เฟซ 1] คือการเรียกดาบทลายโลกาขึ้นมา [เฟซ 2] คือการเพิ่มระดับของไอร้อนพร้อมกับเสริมร่างกายตัวเองด้วยชุดเกราะ [เฟซ 3] คือการสร้างมอนสเตอร์ชั้นสูงออกมาอาละวาด [เฟซ 4] คือการกลืนกินมานารอบตัวทั้งหมดเข้าหาตัวเอง ไม่ว่าจะผู้คนหรือว่ามอนสเตอร์ จะกลืนกินจนเกินขีดจำกัด … [เฟซ 5] คือการระเบิดมานาทั้งหมดให้กับตัวเอง”
ดิลุคยืนอธิบายความสามารถของซาตานให้ฟังอย่างละเอียด
“จากที่ฟังแล้วคิดว่ายังไงบ้าง”
“จะเอาอะไรไปชนะกัน หนีเถอะ”
“ช่วยทำอะไรสักอย่างทีนะคะ ฉันไม่อยากตายค่ะ”
ดิลุคพยักหน้ารับฟังความเห็นที่แลดูไร้ประโยชน์ของทั้งคู่
“ให้สรุปเลยก็คือวิธีเดียวที่จะชนะได้ก็คือการโค่นซาตานก่อนจะเข้า [เฟซ 5]”
“กลับกัน นี่คิดว่าให้ยัยเด็กนั่นเข้า [เฟซ5] แล้วระเบิดตัวเองไปไม่ง่ายกว่าหรือไง?”
“แน่นอนว่าเธอคงจะหมดสภาพทันทีที่ไปถึง แต่”
“แต่”
“พวกเราคงโดนทุบตายกันก่อนน่ะ”
ดิลุคพูดขึ้นต่อ
“อย่างน้อยพลังทำลายล้างใน [เฟซ 5] ก็ไม่ต่ำกว่าจุดๆนี้จนไปถึงตัวเมือง หรือบางทีอาจจะลากยาวไปราวสิบกว่าเมืองเลยทีเดียว ระยะขนาดนั้น ต่อให้อยู่ในหอคอยที่สูงหรือต่ำกว่าก็ไม่สามารถรอดได้ อีกอย่าง ไอร้อนของซาตานจะกลืนกินพื้นที่ตัวเธอเหยียบ หมายความว่าสุดท้ายหอคอยนี่ก็จะระเบิดซ้อนอีกครั้งจากการระเบิดของซาตาน ทำให้ไม่โดนทุบตาย ก็โดนระเบิดตาย”
“มนุษย์อ่อนแอขนาดนั้นเลยสินะ”
“ไม่ใช่เลย มนุษย์น่ะแข็งแกร่ง เพราะสามารถเติบโตได้ยิ่งกว่านี้—โลกของเราในอนาคตอาจจะมียอดมนุษย์ที่ต่อกรกับทวยเทพได้ ตัวประหลาดที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้สำเร็จศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งระดับที่ทวยเทพไม่อาจไปถึงได้ หรือผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ ทั้งหมดคือความเป็นไปได้ของมนุษย์ แต่ก็แค่ความเป็นไปได้ต่อจากนี้ในอนาคต”
ดิลุคนั้นชอบในตัวมนุษย์มาก ไม่ว่าจะชั้นสูงหรือชั้นต่ำ เธอล้วนชอบตัวตนที่เรียกว่ามนุษย์ เพราะทุกคนมีศักยภาพที่ยากจะมองเห็นได้ การเติบโตที่แตกต่าง อิสระแห่งการพัฒนา นั่นแหละคือมนุษย์ ต่างกับทวยเทพหรือว่าทูตสวรรค์ที่ถูกสร้างมาโดยมีหน้าที่ที่ชัดเจน มนุษย์คือผู้ใช้ชีวิตที่น่าหลงใหล–เธอจึงจะปฏิเสธเสมอเวลามนุษย์ถูกบอกว่าอ่อนแอหรือว่าด้อยปัญญา
“ถ้าไม่ติดว่าทวยเทพมีกฏที่ไม่มีวันตายคุ้มครองไว้อยู่ ซาตานสามารถฆ่าทวยเทพได้หลายตนเพียงการตวัดดาบดาบครั้งเดียวใน [เฟซ 5] แม้แต่เทพมังกรคนนั้น ถ้าต้องเผชิญกับสิ่งนี้โดยตรงก็อาจจะเจ็บสาหัส หรือไม่ก็พ่ายแพ้ไปเลยก็เป็นได้ ในกรณีที่ผิดพลาดจริงๆน่ะ”
“รู้ละเอียดขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” อังเฟกอร์พึมพำขึ้นมา
“อือ เพราะเราเฝ้าดูเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นอยู่ในอดีตน่ะ แม้แต่บนสวรรค์เองก็ยังถูกไอร้อนนั่นบุกรุกเข้ามาได้”
บนสวรรค์? ลิเวียธานเท้าคางจ้องหน้าของดิลุค ..จริงๆก็เคยสงสัยหลายรอบ แต่เธอไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ด้วยนิสัยเสียส่วนตัวของตัวเอง แน่นอนตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้ เลยไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้
“แล้วจัดการก่อน [เฟซ4] ที่ว่า พวกเราจะเอาพลังจากไหนไปจัดการล่ะ?”
ดิลุคชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้อย่างมั่นใจในตัวเอง
“ชื่อแผนการณ์คือ ‘แผนรอดไปด้วยกัน’ ”
“ไม่ชอบเลยนะ ฟังดูเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เลย’
“ขั้นแรกเราจะคิดค้น–พลังที่สามารถเอาชนะซาตานได้ อย่างที่รู้ว่าเธอมีดีแค่พลังทำลายล้าง แค่หาสิ่งที่เหนือกว่ามาหักล้างทุกอย่างก่อนจะไปถึงขั้นสุดท้ายก็พอ”
‘ ‘พูดเหมือนง่าย’ ’
“…..”
“….”
ดิลุคนำมือไปสัมผัสหัวของตัวเองอย่างกับกำลังแอ็คเท่อยู่
“แต่จำเป็นต้องขอเวลาสักพักในการวิเคราะห์พลังของซาตานอีกครั้งน่ะ เพราะถ้าขาดตัวอย่างเราก็ไม่อาจสร้างอะไรขึ้นมาได้เลยในเวลาอันสั้น ซึ่งไม่แน่ใจด้วยว่าต้องเก็บข้อมูลระดับไหนถึงจะพอ ยังไม่รวมเวลาที่ต้องสร้างทฤษฎีมากมายขึ้นมาเพื่อสร้างอีก”
แบบนั้นมัน-
“เพราะนั้น–ช่วยถ่วงเวลาทีสิ อย่างน้อยสักห้านาทีก็ยังดี”
คนๆนี้ ..พึ่งบอกว่าโดนไอร้อนของซาตานสะกิดก็กลายเป็นผงแล้วแท้ๆ แต่ดันบอกให้ถ่วงเวลาทีตั้งห้านาที แถมยังบอกว่าห้านาทีแบบอย่างน้อยด้วย
แน่นอนว่าไม่มีคนโง่ในที่แห่งนี้
“หนีดีกว่า”
“ฉันว่าฉันขอนอนตายแบบสงบดีกว่าค่ะ”
แทนที่จะเรียกว่าแผนรอดไปด้วยกัน เรียกว่าแผนรอดตัวคนเดียวจะดีกว่า