เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 201
< < 136 Sec2 > >
“..ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
หนิงพึมพำขึ้นขณะที่กำลังยืนอยู่ในห้องโถงขนาดยักษ์ซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยรากไม้สีดำน่าขยะแขยง
“เหวอ น่าขนลุกชะมัด ไอรากไม้พวกนี้มันอะไรกันเนี่ย—หืม?”
ขณะที่หนิงกำลังบ่นโวยวายตามปกติของตัวเอง เธอก็สังเกตุเห็นคู่เด็กชายหญิงคู่หนึ่งเข้า อายุน่าจะราวๆสิบขวบแล้วก็ดูคล้ายกันมาก บางทีอาจจะเป็นพี่น้องกัน ..จะว่าไป ผู้ปกครองของทั้งสองช่างสะเพร่า เล่นเอาเด็กมางานประชุมโลกที่ใหญ่โตแห่งนี้เนี่ย ..
หนิงจ้องทั้งสองพลางเอียงคอฉงน ทั้งสองเมื่อถูกจ้องนานเข้าก็เริ่มกอดกันเอง คล้ายจะสร้างความอบอุ่นให้กัน
“ฮัลโล หนูๆทั้งหลาย”
หนิงโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง แต่นั่นไม่ได้ช่วยลดความกลัวต่อตัวหนิงได้เลย
ทำไมกันนะ หน้าตาฉันก็ออกจะสวย ดูเป็นพี่สาวที่น่าเข้าหา—หนิงคิดเช่นนั้นจากใจจริง
“..หลงทางกันมาเหรอ”
“..ไม่รู้..ครับ”
เด็กผู้ชายเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อนด้วยท่าทางสั่นกลัว
“จู่ๆผมก็มาโผล่ตรงนี้”
“นั้นเองเหรอ เข้าใจแล้วจ้า เก่งมากๆ”
หนิงเดินไปลูบหัวเด็กผู้ชายด้วยรอยยิ้ม
“ชื่ออะไรกัน”
“..ผม ดาเนียล”
“ดาเนียลสินะ อืม แล้วอีกคนล่ะ? น้องสาวเหรอ”
“น้องสาว มาริครับ”
มาริมุดตัวแอบอยู่แผ่นหลังเล็กๆของดาเนียล เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วหนิงก็รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
“เดี่ยวพี่สาวจะพาไปหาพ่อแม่เองนะ”
“จะ จริงเหรอครับ!?”
“ใช่สิ ถ้าไม่เชื่อก็เกี่ยวก้อยสัญญาสิ”
หนิงยื่นนิ้วก้อยไปให้เด็กชาย เด็กชายตอบกลับอย่างใสซื่อ
“..เด็กๆนี่น่ารักจังนะ”
เพราะเด็กๆนั้นใสซื่อ เหมือนกับยูจิคนที่เธอตกหลุมรักอยู่ในตอนนี้—พอคิดแบบนี้แล้วหนิงก็รู้สึกเขินขึ้นมา จนต้องกระแอ่มเบาๆปรับอารมณ์
“ตะ ตามพี่มาเลยนะเด็กๆ”
จากนั้นหนิงก็เริ่มนำทางเด็กสองคนนั้น
****
หนิงได้เดินนำทางให้ดาเนียลและมาริ ท่ามกลางความมืดมิดจากภายในสถานที่ปริศนา มีเพียงเปลวเพลิงของหนิงเท่านั้นที่คอยส่งแสงไฟให้ทั่วทั้งห้อง ทั้งสองรู้สึกสงสัยในเพลิงของหนิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสัญชาตญาณในฐานะสิ่งมีชีวิต ต่อหน้าเพลิงของมหามังกรไม่อาจมีใครฝ่าฝืนสัญชาตญาณเบือนหน้าหนีเปลวเพลิงนี้ไปได้
นอกจากสัญชาตญาณแล้วก็คงเป็นความรู้สึกตามประสาเด็กๆ
“พี่สาว ..เป็นนักเวทย์เหรอครับ”
“นักเวทย์สินะ”
ผู้เชี่ยวชาญในการแปรรูปมานาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆมากมาย อาทิเช่นการสร้างฝนหรือว่าสร้างพายุขนาดย่อม ไม่ก็พวกเวทย์โจมตีหลากหลายประเภทเท่าที่มนุษย์จะสร้างได้ซึ่งสะสมกันมากว่าพันๆปี
“ไม่ใช่หรอก”
แม้จะเรียนอยู่วิทยาลัยเวทมนตร์ แต่หากว่ากันตามตรง ความสามารถของหนิงมันห่างไกลกับสิ่งที่เรียกว่าจอมเวทย์ในระดับหนึ่งเลยละ บอกว่าคนละมิติเลยก็ได้
หนิงไม่ใช่ผู้ใช้งานมานา แต่ตัวเธอคือแหล่งกำเนิดของมานา มีมานาไร้ขีดจำกัด สามารถเบิกใช้งานพลังงานได้อย่างไร้จุดสิ้นสุด รวมถึงมีเพลิงอันเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถเผามานาให้สิ้นได้ ซึ่งอยู่ในจุดที่สูงกว่าเวทมนตร์ เพราะเพลิงของฟัฟนิร์มีคุณสมบัติในการแผดเผาเวทมนตร์รึมานาทุกๆอย่างบนโลก
ทว่าอีกส่วนหนิงก็ยังถือว่าเป็นมนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้เหมือนคนปกติ ต่างกับเหล่ามหามังกรที่แท้จริงที่ถือครองแก่นแท้ของมหามังกรเอาไว้ พวกนั้นจะไม่มีสิทธิ์ในการใช้เวทมนตร์ ใช้ได้แค่เพลิงหรือว่าสายลมเฉพาะของตนเองเท่านั้น จุดนี้นี่แหละที่ต่างออกไป เพราะหนิงมีส่วนที่เป็นมนุษย์อยู่ ทำให้เธอใช้เวทมนตร์ปกติทั่วไปได้
จะบอกว่าเป็นจอมเวทย์ก็ได้ แต่..แทนที่จะใช้เวทย์ ใช้เพลิงอเนกประสงค์ของตัวเองดีกว่า
ด้วยสภาพอย่างนี้ หนิงคงเรียกตัวเองเต็มปากว่าจอมเวทย์ไม่ได้
เมื่อตอบปฏิเสธไป เด็กก็ส่งสายตาสงสัยเข้าไปใหญ่ หนิงจึงถอนหายใจและยิ้มให้
“พี่เป็นแค่นักศึกษาเวทมนตร์เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเรียกตัวเองว่าจอมเวทย์ได้หรอกนะ”
บนโลกนี้ คนที่เรียกตัวเองว่าจอมเวทย์ได้เต็มปากโดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเวทย์ขั้นสูง ต่ำกว่านั้นเป็นได้เพียงผู้ใช้เวทมนตร์—ในกรณีของหนิง ตัวเธอถ้าตั้งใจก็คงใช้ได้ถึงขั้นสูงไม่ก็บรรลุเลย แต่ก็ไม่ได้อยากเรียกตัวเองว่าจอมเวทย์เสียเท่าไหร่ เพราะผู้ใช้มานาเป็นตัวตนที่ต่ำต้อยกว่าเธอ
เป็นนิสัยเสียบางส่วนที่ได้มาจากฟัฟนิร์ หนิงเองก็มีศักดิ์ศรีในฐานะมหามังกรอยู่ในสายเลือด ทำให้เธอค่อนข้างจะยกตัวเองไว้สูงกว่าคนอื่นพอสมควร ในกรณีที่ไม่ใช่คนที่สนิทด้วยหรือเพื่อน เช่นเดียวกันกับฟัฟนิร์ มหามังกรเพลิงตนนั้นก็มีนิสัยเสียในจุดนี้อยู่ แน่นอนว่าไม่ได้ถึงกับหัวรุนแรง
เป็นโชคดีของหนิงที่อาณาจักรของตนได้รับสืบทอดพลังของฟัฟนิร์ ถ้าเป็นของเนลยอน ป่านนี้หนิงคงจะมองนักเวทย์เยี่ยงแมลงสาปไปแล้ว
ถึงจะตอบไปอย่างนั้น เด็กๆทั้งสองก็ยังไม่หยุดส่งสายตาที่สนอกสนใจจนเป็นประกาย
คำตอบมันน่าตะหงิดใจนั้นเหรอ?
“เป็นอะไรเหรอ”
“..มาริอยากเป็นนักเวทย์ครับ”
ดาเนียลตอบกลับ พร้อมกันนั้นมาริก็ดึงแขนเสื้อของดาเนียลคล้ายว่ากำลังโกรธ
“ชอบเวทมนตร์กันสินะ”
“ครับ มาริอยากเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผมอยากเป็นวิศวกรอุปกรณ์เวทมนตร์”
ดาเนียลพูดเสียงดังฟังชัด ต่างกับมาริที่ยืนเขินอายอยู่ข้างหลัง–หนิงเอียงคอมองทั้งสอง แล้วเห็นเป็นภาพซ้อนทับเรเซอร์กับยูจิ
..จะว่าไปก็แอบคล้ายนิดหน่อยนะ
“ทำไมถึงอยากเป็นวิศวกรเวทมนตร์หรือ งานมันหนักนะ”
ใช่ หนักมากๆด้วย เพราะหนิงคอยสังเกตุยูจิมาตลอดทำให้เธอรู้ว่าการเป็นวิศวกรเวทมนตร์คืองานที่ใช้สมองอย่างมาก
“ผมจะได้สร้างอุปกรณ์เวทย์ดีๆให้มาริไงครับ”
“เห๋ น่ารักกันจริงๆนะเนี่ย ..แล้วมาริทำไมถึงอยากเป็นนักเวทย์ล่ะ”
มาริจ้องหนิงพักหนึ่งก่อนจะหลบหน้าหนีไปแอบหลังดาเนียล
“..จริงๆแล้วพี่ก็มีเพื่อนสองคนที่เป็นทั้งนักเวทย์กับมีความรู้เทียบเท่าวิศวกรเวทมนตร์เลยนา ทั้งๆที่อายุเท่ากับพี่กันแท้ๆ”
“เอ๋!? สุดยอด”
หนิงพยักหน้ารับ
“แต่น่าเสียดายที่คนที่อยากเป็นวิศวกรเวทมนตร์เขาล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว ส่วนคนที่เป็นนักเวทย์ก็..เอ่อ กลายเป็นตัวอะไรไปแล้วไม่รู้”
นักสู้? เรเซอร์ดูใกล้เคียงกับพวกบ้าเลือดมากกว่าจอมเวทย์เยอะเลยในตอนนี้ ทางยูจินั้นก็เพราะเรื่องต่างๆมากมายที่ได้เจอ ทำให้เขาตัดสินใจทิ้งความฝันและทำสิ่งที่ควรจะทำมากกว่า
เหมือบกับหนิงเมื่อไม่นานมานี้ ยูจิได้ถูกโชคชะตาคล้องเอาไว้แล้ว
“เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนิดหน่อย”
หนิงพูดไปเดินไป เด็กทั้งสองก็ตามหนิงไปด้วยโดยไม่ได้พูดอะไรเลย
หลังจากเดินไปได้สักพักหนิงก็เริ่มบ่น
“รากไม้ลกรุงรังไป” หนิงนำมือไปสัมผัสที่รากไม้ ทันใดนั้นก็ถูกรากไม้ยืดตัวออกมาเจาะผิว “..ไม่รู้สึกอะไรเลยนะ”
หนิงทำเพียงสะบัดมือรากไม้ก็ปลิวไปติดกำแพง คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
“วางใจไม่ได้”
ถ้าเป็นหนิงยามปกติ เธอคงจะช่างมันไปแล้ว แต่ข้างหลังเธอมีเด็กสองคนอยู่–หนิงร่ายเวทย์เพลิงทั่วๆไปออกจากฝ่ามือของตัวเอง
น่าแปลกที่หลักการทำงานของร่างกายไม่ใช่ส่งเวทย์ออกจากวงจรเวทย์ แต่เป็นการสร้างมาจากอากาศซะมากกว่า
เพลิงที่พุ่งออกไปถูกรากไม้ดูดเข้าไปเพียงเชี่ยววิเดียว ทำให้หนิงคาดเดาความสามารถของรากไม้ขั้นพื้นฐานได้
“อันตรายสุดๆเลยไม่ใช่หรือไง”
ถ้าเด็กโดนสิ่งนี้ดูดเข้าละก็–คงเกิดหนังสยองขวัญขึ้นแหงๆ
“ดาเนียล มาริ มาอยู่หน้าพี่ทีสิ”
ทั้งสองทำตามที่หนิงบอกแบบว่าง่าย
“แบบนั้นแหละ โอเคร เดินไปเลยนะ”
เมื่อก้าวเท้าเข้าใกล้รากไม้ มันก็พุ่งใส่อีกครั้ง
หนิงใช้สายตาที่ใช้มองสิ่งน่าขยะแขยงใส่รากไม้ จากนั้นก็เกิดออร่าเพลิงเข้าปกคลุมตัวของหนิงและเด็กสองคน ซึ่งรากไม้ไม่สามารถเข้ามาถึงภายในวงล้อเพลิงได้
“..น่าแปลก”
ทว่ารากไม้กลับไม่ถูกทำลาย ทั้งๆที่เพลิงของหนิงมีคุณสมับัติในการเผามานา—มีพลังพอจะเผาทุกอย่างให้หมอดได้ แต่รากไม้กลับไม่กลายเป็นธุลีอย่างที่ควร
เมื่อได้พบกับรากไม้ประหลาดนี่เข้า หนิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ในจังหวะที่คิดว่าควรรีบไปหาทุกคนให้เร็วที่สุดนั้นเอง
อวาา..วา…วาา
เสียงร้องประหลาดที่ดูน่าขันและน่ากลัวในเวลาเดียวกันได้ดังขึ้น หนิงรีบวิ่งไปบังหน้าดาเนียลและมาริพลางจับมือของทั้งสองเอาไว้ด้วย
“..จับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แต่ว่า”
แม้จะใช้ดวงตาของมหามังกรตั้งใจมองก็ไม่สามารถค้นหามานาของสิ่งที่มาเยือนได้ เพราะอย่างนั้นหนิงจึงเปลี่ยนจากดวงตาเป็นหูแทน
เสียงเท้ากำลังสิ่งมาทางนี้ ใกล้มาก แล้วก็เร็วมากด้วย—แกร็ก!!! เสียงเหยียบกิ่งไม้ดังขึ้นด้านข้างหนิง หนิงรีบเอี่ยวตัวไปทางของเสียงนั้นและยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียว
‘มนุษย์ต้นไม้’ ได้พุ่งออกมาจากความมืดมิด
ลำตัวถูกคลุมด้วยรากไม้สีดำน่าขยะแขยง มีเพียงบริเวณหน้าเท่านั้นที่ปรากฏดวงตาสองดวงเล็กๆออกมา สิ่งที่เจอเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับเรื่องเล่าสยองขวัญ ทำให้เลี่ยงความวุ่นวายไม่ได้
“วะ เหวอออออ!!!!!!!!!!!”
ดาเนียลร้องเสียงหลง ส่วนมิราตกใจจนขยับตัวไม่ได้
หนิงใช้มือเพียงข้างเดียวพุ่งตัวออกไปผลักร่างของมนุษย์ต้นไม้
ตุ้บ!!!!!!!! เสียงแรงกระแทกระดับฆ่าคนได้ดังขึ้น แต่มันไม่มากพอจะหยุดมนุษย์ต้นไม้
‘อวาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!’
มนุษย์ต้นไม้แหกปากโวยวายพร้อมกับหมายจะเหวี่ยงแขนสองข้างใส่หนิง เปลวเพลิงมหามังกรพวยพุ่งมาปกครองฝ่ามือของหนิง หนิงเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตัวเองไปทางขวาเล็กน้อยด้วยการใช้สเต็ปท้ายของนักสู้ระยะประชิด และทำการซัดหมัดที่ปกคลุมด้วยอำนาจมหามังกรเข้าเบ้าหน้าเต็มๆ
ตู้ม! แรงปะทะนี่ทำให้มนุษย์ต้นไม้ปลิวออกไปไกลหลายเมตร แต่พริบตาเดียวมันก็ตีลังกาตั้งหลักได้และพุ่งตัวออกมาประหนึ่งสัตว์ป่าคลั่ง โดยที่ไร้บาดแผลหรืออาการบาดเจ็บใดๆ
“บ้าน่า โดนไปขนาดนั้นยังไม่ตายเนี่ยนะ” หนิงรวบรวมเพลิงไว้ที่ฝ่ามือ “ตัวบ้าอะไรกันแน่เนี่ย!?”
เปลวเพลิงพุ่งออกจากฝ่ามือและปกคลุมบริเวณทั่วทางเดินไปจนหมด ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะสามารถรอดพ้นจากการโจมตีไร้ทางหนีนี้ไปได้ ต่อให้ไม่ตาย อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัสรึอย่างน้อยๆก็ไม่มีทางเข้าถึงตัวหนิงได้
หนิงทำอย่างนั้นเพื่อที่จะสร้างจังหวะให้ตัวเองวิเคราะห์และให้เด็กสองคนที่ต้องดูแลอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด แต่ในจังหวะเดียวกับที่หนิงจะหันหน้ามาคุยกับเด็กๆ เจ้ามนุษย์ต้นไม้ก็พุ่งผ่านเพลิงของหนิงมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
..หา?
หนิงหน้าซีดเผือก พยายามจะเคลื่อนตัวไปช่วยแต่ก็ช้าไป
เพราะประมาทนั้นเหรอ?
ไม่ใช่
สิ่งที่เจอ มันแค่เกินกว่าความเข้าใจทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้น ต่อให้เอเธอร์ก็ไม่มีทางทำได้
“อ—”
เปร้ง!!!!!! เสียงประทะของดาบและรากไม้ดังสะเทือบถึงแก้วหู
ในห้วงแห่งความเป็นความตาย ได้มีชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ในแว็บแรกทุกคนมองเป็นผู้ชาย แต่หากตั้งใจมองดีๆเขาหรือว่าเธอเป็นผู้หญิง
เธอทำการถีบเจ้ามนุษย์ต้นไม้ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการเตะ จนมนุษย์ต้นไม้กระเด็น
น่าแปลกที่มนุษย์ต้นไม้กระเด็นกับอีแค่การเตะธรรมดา ทั้งๆที่มันสามารถผ่านเพลิงของฟัฟนิร์มาได้แท้ๆ
อย่างไรก็ตาม
“เจอกันเร็วกว่าที่คิดนะขอรับ”
หนิงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอตรงหน้าดี เพราะพึ่งได้เจอกันไม่นานและมีบางอย่างที่ชวนคุ้นเคยอย่างน่าพิศวง ..
“..คุณชิน”
“เห็นว่ากำลังลำบากจึงถือวิสาสะมาช่วย หวังว่าไม่ว่ากันนะขอรับ”
ใครมันจะไปกล้าว่ากัน ..หนิงหันไปสบตากับคนที่มาด้วยกันกับชิน
“ถ้ากล้ามาว่าต้าวชินของเรา จะซัดให้ปากแตกเลยบ่องตง”
เด็กสาวผู้มีเลือนผมเป็นสีเพลิงในชุดคลุมสีน้ำตาลเดินออกมาจากความมืดด้วยใบที่เปื้อนรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกังวล
“..”
ความคุ้นเคยที่แปลกประหลาดเหมือนกับชิน ไม่สิ มันมากกว่านั้นมาก คล้ายกับสัญชาตญาณของตัวเธอ เธอรับรู้ได้ว่าคนที่โผล่มาเป็นใคร ..
“..ของจริง”
ต่างกับตัวเอง
เธอคือมหามังกรเพลิงที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก ‘ฟัฟนิร์’