เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 125: เที่ยวเมือง (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 125: เที่ยวเมือง (1)
< < 100 Sec1 > >
วันนี้มีนัดกินข้าวกับโซเฟีย ด้วยเหตุนี้ผมเลยรีบตื่นแต่เช้า เพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้ดูดี
“เอาล่ะกระจกเอ๋ย จงบอกมาซะว่าใครงามเลิกที่สุดในปฐพี”
ผมพึมพำขึ้นมาขณะส่องกระจกทำท่า Side chest (ท่าโพสต์นักเพาะกาย) อยู่ตรงหน้ากระจกตู้เสื้อผ้า
แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งท่องร่างและท่องบนนั้นโล่งโจ้ง เพราะพึ่งอาบน้ำเสร็จ
‘อยู่ชนชั้นร่างของผู้ชายเลยค่ะ คนแบบมาสเตอร์น่ะ’
“เอาล่ะ ได้เวลาเปลี่ยนกระจก”
‘รับไม่ได้หรือคะ?’
“งั้นโอกาสสุดท้าย กระจกเอ่ย ใครงานเลิกที่สุดในปฐพี”
‘ที่รู้ๆคือไม่ใช่มาสเตอร์ค่ะ’
“ให้ตายสิ คงต้องเปลี่ยนกระจกจริงๆแล้วแหละ เฮ้อ”
ผมเลิกคุยกับไอ้กระจกไร้ประโยชน์และเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกเสื้อที่จะสวมใส่
“เสื้อเชิ้ตสีขาว แล้วก็กางเกงขายาว กางเกงในด้วย โอเคร แค่นี้แหละ”
ผมหยิบเสื้อจับๆโยนๆลงบนเตียงแบบง่ายๆ
‘แต่งตัวมักง่ายจริงเลยนะคะ’
“สำหรับฉันแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
‘ทางเบลลามีน่าจะแต่งตัวจำเต็มแท้ๆนะคะน่ะ’
ได้ยินถึงตรงนี้หูผมก็กระตุกแบบผิดธรรมชาติ
“รู้ได้ไง?”
‘ของแค่นี้เดาเอาก็ได้ค่ะ คิดดูนะคะ วันนี้จำเป็นต้องไปกินข้าวกับมาสเตอร์ พร้อมกับคู่แข่งที่คิดจะชิงมาสเตอร์ไปเป็นของตัวเอง มีหรือที่เบลลามีเขาจะยอมให้ตัวเองดูด้อยกว่าทางโซล่า’ ยูนาหัวเราะในลำคอ ‘ในใจตอนนี้คงลองเสื้อหลายตัว และคิดขึ้นมาแน่ๆคะว่า—-เรเซอร์ชอบสไตล์การแต่งตัวแบบไหนกันนะ? ประมาณนี้’
..ว่าแล้วเชียว ผมนี่มันบาปหนาจริงๆ
“รีบแต่งตัวไปหาเบลลามีดีกว่า แล้วจะบอกสไตล์การแต่งตัวที่เธอชอบให้หมดเลย”
‘หยุดเลยๆ มาสเตอร์นี่ไม่ไหวเลยนะคะ ฟังนะ ในฐานะที่ทางฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เลยพอจะเข้าใจความรู้สึกอยู่ เรื่องการแต่งตัวที่สะกดคนที่ตัวเองชอบได้มันต้องเลือกด้วยตัวเอง ..เบลลามีย่อมอยากทำให้มาสเตอร์ โดคิๆ ด้วยความพยายามของตัวเองค่ะ’
..อะไรล่ะนั่น
แบบนั้นน่ะ
ต่อให้แต่งตัวดูจืดๆมา หรือใส่แค่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ต่อให้ใส่เสื้อไม่ได้ซักมา ไม่ว่าจะอย่างไหน พอรู้ว่าเบลลามีตั้งใจสุดความสามารแล้วมันก็—น่ารักไปหมดเลยอ่า
ผมทนเขินไม่ไหวนำมือปิดหน้าตัวเองและพุ่งตัวดิ้นไปมาบนเตียง ในสภาพที่เปลือยเปล่า ถ้ามีคนมาเห็นเข้า เขาคงรู้สึกกลัวผมเล็กน้อยแหงๆ
‘เพราะอย่างนั้นทางมาสเตอร์เองก็อย่าน้อยหน้า’
“..ระ หรือว่าที่บอกฉันนี่ก็เพื่อ”
‘จงแต่งตัวให้ดีที่สุดเพื่อชิงใจเบลลามีมาให้ได้ค่ะ มาสเตอร์!’
ยูนา—-สมกับเป็นคู่หูของฉัน ขอบใจมากนะ ถ้าไม่มีเธอฉันคงทำอะไรโง่ๆกับเบลลามีไปอีกแล้วแน่ๆ
ผมน้อมรับความคิดของยูนา และเริ่มแต่งตัวอย่างจัดเต็มเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง
ในที่สุดผมก็แต่งตัวเสร็จและเผยให้เห็นโฉมสุดหล่อของผม
‘..มะ มาสเตอร์ คือว่าฟังฉันนะคะ’
ไม่รู้เหตุใดยูนาถึงเสียงสั่นเช่นนั้น แต่ผมหาได้สนไม่
“ไปกันเถอะยูนา”
‘ฟังก่อ—’
“ไม่ต้องพูดแล้วยูนา ตอนนี้ฉันพร้อมแล้ว”
ผมไม่รอช้าผลักประตูห้องออกสุดแรง และเดินออกมาด้วยท่าทางที่องอาจ พร้อมกับเสียงยูนาในหัวที่ร้องว่า ‘อย่าน้าาาาาาาาาา’
ผมเดินอย่างองอาจ ไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับ ไม่หวั่นไหวต่อคำเตือนของยูนาใดๆทั้งนั้น เพราะยอดชายจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
‘กลับไปห้องแล้วดูสารรูปตัวเองก่อนดีกว่ามั้ยคะ มาสเตอร์’
“พูดอะไรของเธอ ฉันแต่งตัวมาดีที่สุดแล้ว”
‘ไม่ค่ะๆ ยังไงก็ช่วยมองกระจกก่อน’
“ยูนา ..ฉันเองก็อยากพยายามให้เบลลามีเห็นตัวฉันที่ดีที่สุดด้วยตัวเองนะ ฉันก็เหมือนกับเบลลามี ..อยากเห็นเธอ โดคิๆ เหมือนกันนะ”
‘มาสเตอร์ ….’
ผมจ้องหน้ายูนา แม้ว่าจะไม่เห็นยูนา แต่ในจิตใต้สำนึกผมกำลังจ้องหน้ายูนา ทำสีหน้าจริงจัง
..ผมตัดสินใจแล้ว
ขณะที่วัดใจกับยูนาอยู่นั้น ข้างหน้ามีผู้หญิงที่แต่งตัวสวยตามแฟชั่นมาสองคน ทั้งคู่เป็นลูกสาวของขุนนาง พวกเธอมองมาที่ผมแล้วก็กระซิบกัน
ผมมั่นใจว่าคนปกติไม่ได้ยินแน่ แต่ผมได้ยินชัดแจ๋วเลย เพราะประสาทสัมผัสดีกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย ซึ่งเนื้อความที่พวกเธอพูดก็คือ—
‘คิกๆ เห่ยชะมัด’
‘จะแต่งตัวแบบนั้นไปเที่ยวจริงเหรอเนี่ย ท่านดยุคคงอับอายแย่เลยถ้ารู้ว่าลูกชายแต่งตัวแบบนี้’
‘สงสารท่านแองเจลิน่าแย่เลย’
…ทั้งสองชนไหล่กันเหมือนจะบอกให้หยุดพูดและเดินผ่านผมไปโดยที่ยังไม่หยุดหัวเราะแล้วยังกระซิบใส่หูกันและกันอีก
ท่าทางดูสนุกเชียว ทำเหมือนพวกวัยรุ่นที่ดูรายการตลกไทยตอนเช้า แต่ไม่ได้ขำเพราะมุก แต่ขำเพราะคนเล่นมุกดูฝืนๆเลย
โดนขนาดนั้นไป ผมก็นิ่งสนิท ตัวแข็งเป็นหิน
รู้สึกเปียกๆตรงตาด้วย
“ยูนา ฉันว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัว จะแต่งตัวยังไงก็ได้เพื่อความมั่นใจของตัวเอง”
‘..มาสเตอร์’
“ฉันคิดอย่างนั้นนะ แต่ว่า ..ความคิดของคนนี่มันน่ากลัวชะมัด กระแสสังคมนี่โหดร้ายชะมัด เอาล่ะ”
ผมยิ้มให้ยูนาในจิตใต้สำนึก
“กลับไปใส่เสื้อเชิ้ตเหมือนเดิมดีกว่า”
ด้วยเหตุนี้ผมเลยเสียเวลาเกือบๆชั่วโมงโดยเปล่าประโยชน์
****
สุดท้ายก็ต้องกลับไปใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวเหมือนเดิม
“เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ชะมัด”
ผมถอนหายใจเฮือกโตและเดินออกจากหอ–ตรงหน้าผมมีผู้หญิงยืนรอผมอยู่
เธอคือ ‘โซล่า’ แน่นอนว่าเธอกำลังรอผมอยู่ เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่ชวนผม
เธอสวมกระโปรงพรีทสีดำยาวถึงหัวเข่า สวมเสื้อทรงไฮเนคสีไข่ บริเวณคอเสื้อยาวถึงลำคอ นอกจากนั้นยังสวมถุงน่อยสีโทนเดียวกับกระโปรง และปิดท้ายด้วยหมวกเบเร่ต์
“อรุณสวัดดิ์ค่ะ” โซล่ายิ้มให้ผม
“อ่า อรุณสวัดดิ์”
ในจังหวะที่คุยกับโซล่า เบลลามีก็เดินมา
เบลลามีอยู่ในชุดเอี๊ยมกระโปรงค่อนข้างย่าว ข้างนอกสีแดงข้างในสีดำ บริเวณไหล่ขวามีกระเป๋าสะพายสีไข่อยู่
ท่าทางเบลลามีดูเกร็งๆและแก้มแดงแจ๋เลย แล้วยังชอบเลือบมองโซล่าแทบจะวิต่อวิด้วย
เป็นอย่างที่ยูนาบอกผมเป๊ะๆเลย ให้ตายสิ ผมนี่มันบาปหนาชะมัด
“อรุณสวัดดิ์”
“อืม เอ่อคือ ..”
‘ชมเร็ว’
ระ รู้แล้วน่า!
ผมปรับลมหายใจ ยืดตัวตรง ยิ้มให้เบลลามี
“ว่าไงดี เอ่อ แต่งตัวดูดีมากเลยนะ”
“..เรเซอร์ก็เหมือนกัน ..ดูดีมาก”
พูดจบเบลลามีก็หันหน้าหนีทันที เธอถูมือไปมาเพื่อให้เกิดความร้อน ไม่รู้ทำไมทำไม แล้วตอนนี้หูเธอแดงแจ๋เลย เห็นแล้วผมก็อดเขินตามไม่ไหว ตอนนี้แทบอยากจะลงไปดิ้นกับพื้นไม่ก็กราบแทบเท้าเบลลามี ไม่รู้ทำไมต้องกราบ แต่มันก็เหมือนกับการที่คนเรากราบเทพแต่ล่ะท้องที่น่ะแหละ การกราบเบลลามีคือเรื่องปกติของผมอยู่แล้ว ตามนั้น
ผมกำลังจะก้มลงกรามเบลลามีจริงๆ แต่จู่ๆผมก็ได้ยินเสียง “หึ” ไม่พอใจดังขึ้น
พอหันไปดูก็พบโซล่าที่กอดอกทำท่าไม่พอใจใส่ผม
“ฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
..ว่าไงดีล่ะ
‘ชมไปก่อนล่ะกันมาสเตอร์’
อารมณ์ตอนให้คำแนะนำของยูนาช่างต่างกับเบลลามี
“อือ ดูดีนะ”
“ทะ ท่าทางไม่จริงใจเลยนะคะนั่น”
แหงอยู่แล้ว—อยากตอบแบบนี้ตรงๆชะมัด
“จะว่าไปมีคนอื่นอีกรึเปล่าน่ะ”
“เราชวนหนิงมาอยู่ ..เธอบอกว่าขอเวลาแต่งตัวก่อนตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนน่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่มาเลย”
อา เอาแล้วไง
ผมพอจะเดาได้ ไม่สิ มั่นใจเลย
นี่แหละ ‘ผู้หญิง’ ของแท้
ไม่ใช่โซล่าที่มาตรงเวลาเพราะอยากเที่ยวกับผม ไม่ใช่เบลลามีที่แต่งตัวไม่เป็น แต่ยัยนั่น ยัยหนิงเป็นผู้หญิงสายแฟชั่นจัด เป็นพวกที่ถ้าอยู่ในโลกเก่ายุคปัจจุบันคงโดนกระแสสังคมพัดเอาง่ายๆ
ผมนึกภาพหนิงสิงอยู่ในทวิตเตอร์ได้ไม่ยาก เห็นเป็นฉากๆเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ช่วงแรกๆก็ไม่ได้เป็นหรอก แต่หลังจากเคลียร์กับอัลเบโด้ได้ และได้เงินมาจำนวนมหาศาลกับอิสระในชีวิต เจ้าหล่อนก็เริ่มเข้าทางแฟชั่นจัด แล้วควบไปกับการเรียนทำอาหารและแข่งกินจุ จริงๆยังมีงานอดิเรกอยู่อีกมากมาย ตั้งแต่วันที่เธอโดนปลดพันธการณื เจ้าตัวก็เที่ยวทำอะไรไปเรื่อยเลย
จำได้เลย บางวันผมเห็นหนิงไปนั่งเล่นการ์ดในร้านการ์ดด้วย บางวันก็เห็นดีดลูกแก้ว บางวันก็ชกมวย ทำเอาผมอึ้งไปเลยว่าคนเรามันทำอะไรหลายอย่างได้ขนาดนี้เลยหรือ
เรื่องของหนิง ทำผมนึกถึงตอนที่ผมเคยไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิงที่โลกเก่าเลย เพราะเที่ยวกันแค่แบบเพื่อนเลยไร้ซึ่งความเกรงใจ พวกหล่อนสามารถแต่งตัวได้สามชั่วโมงราวกับเป็นเรื่องปกติ ผมกล้าพูดเลยว่ามันคือมิติใหม่ของการข้ามเวลา
ผมหน้าซีดเผือก ความทรงจำแย่ๆเกี่ยวกับการที่ต้องรอคนแต่งตัวเป็นชั่วโมงไหลเข้ามาในหัว ทำเอาอยากอาเจียนเลย
“..เหมือนจะว่าแล้วนะ”
โซล่าพูดถึง นั่นทำให้ผมได้สติและเงยหน้ากลับไปดูหนิงที่วิ่งออกมาจากหอ
“โทษทีที่ให้รอน้า!!”
หล่อนโผล่มาในชุดที่จัดเต็มด้านแฟชั่น
สวมกระโปรงไม่สมมาตรลายดอกไม้เข้ากับธีมบนเกาะ แล้วก็สวมเสื้อทูนิคเปิดไหล่สีชมพูอ่อนๆ นอกจากนั้นก็สวมหมวกฟาง ใส่สร้อยคอหอย สวมรองเท้าแตะทั่วๆไปแต่สีก็เข้ากับชุดที่ใส่อยู่ดี
ผมเห็นก็ถึงกับอึ้ง เพราะว่าตามตรงเธอสวยมากๆ ยิ่งชุดที่ใส่ยิ่งเผยผิวที่ดูดีอย่างกับหลุดมาจากภาพวาดไม่พอ เลือนผมของเธอยังเป็นสีขาวอมทองมีเอกลักษณ์อีกด้วย
สมกับเป็นนางเอกต้นฉบับ เธอคือผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งบนโลกนี้ไม่ผิดแน่ อยู่ระดับนั้นเลยล่ะหากวัดตามมาตรฐานโลก
ให้เปรียบเทียบแบบเสียมารยาท เบลลามีหรือโซล่าคืองามถล่มเมือง แต่หนิงคืองามถล่มสวรรค์
ต้องบอกว่าสมตำแหน่ง ‘เจ้าหญิงมังกร’ เลย
“เป็นไงบ้างล่ะ!?” หนิงเชิดอกเต็มที่ ท่าทางมั่นหน้ามาก
“ดูดีมากเลย” เบลลามีชมด้วยรอยยิ้ม
เบลลามีตบมือ แปะๆ โซล่าไม่ได้พูดอะไร
“ถ้ายูจิเห็นมีใจเต้นแน่ๆ”
“ใช่มะ!? ใช่มะ!? ชุดนี้ฉันใส่มาเพื่อมัดใจยูจิเลยน้า” หนิงดี๊ด๊ากว่าเก่าอีก
ต้องยอมรับเลยว่าหนิงคือของจริง แต่น่าแปลก ที่ผมแค่ชื่นชมว่าเธอสวย แต่ไม่ได้มีอารมณ์ใจเต้นอะไรด้วยเลย คงเป็นผลจากการกระทำของเจ้าตัวกระมัง เพราะเป็นเพื่อนเลยรู้เนื้อแท้ ต่อให้จะดูดีแค่ไหนก็ไม่มีทางใจเต้นด้วยหรอก ประมาณนี้ล่ะมั้ง
ผมพยักหน้าพึมพำกับตัวเอง—เบลลามีเงยหน้ามองผม พอเห็นว่าผมสังเกตุได้เธอก็หันหน้ากลับไป
“นะ..”
(ในสายตาฉัน เธอดูดีสุดนะ)
เกือบจะพูดแบบนั้นไปซะแล้ว ขืนพูดไปผมได้อับอายขายขี้หน้าแน่ๆ หนิงคงเอาที่ผมพูดมาล้อผมไม่หยุดสามวันสามคืนแหงๆ พอเรย์รู้อีกคน มันน่าจะหาเรื่องมาล้อผมด้วยคน กลัวว่าจะเป็นแบบนั้นเลยขอไม่เอาด้วยดีกว่า
“คุณเรเซอร์ ฉันคือที่หนึ่งใช่รึเปล่าคะ?”
โซล่าถามผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ถ้าเบลลามีถามผมจะตอบว่าใช่ แต่ในกรณีของโซล่านั้น ..
“ความสวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์หรอกนะ เห็นแบบนี้แต่เนื้อแท้ยัยหนิงนี่ไม่ไหวนะบอกก่อน”
ในกรณีของโซล่า ผมขอตอบไปตามตำราล่ะกัน ขอโทษด้วยนะ
โซล่าคงเดาได้ เธอเลยทำแก้มป่องแบบใส่ผม ผมพยายามจะไม่สบตากับเธอ
โดนหึงอยู่ล่ะ ไม่ใช่แค่เบลลามีแต่โซล่าก็หึง มันอะไรกันฟร้ะเนี่ยความรู้สึกนี้ จะว่าดีใจก็ดีใจอยู่หรอก แต่มันดีใจไม่สุดอ่ะ แบบว่า ..มันแอบยุ่งยากแฮะ
หนิงสังเกตุทุกอย่างได้ เธอเลยหลุดสีหน้าเศร้าๆออกมา ใช่ ดูจะเศร้าเอามากๆ
“โทษทีนะ เหมือนว่าฉันจะสวยเกิน”
พอพูดแบบนั้นความสวยของหนิงก็ลงไปถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ขาดไปถูกนำมาเพิ่มค่าความหมันไส้แทน
ปกติก็ทำตัวน่าหมันไส้อยู่แล้ว แต่ตอนที่เจ้าตัวสวยจริงและชมตัวเองอีก มันทำให้น่าหมันไส้เป็นพิเศษ ถ้าเคียวยะอยู่ด้วยคงร่วมกันหมันไส้หนิงกับผมเป็นแน่
“เงียบไปเลยหล่อน อยู่เงียบๆออกจะดูดีแท้ๆ แต่พูดนี่ทำเอาสเน่ห์หายไปกว่าครึ่งเลยรู้ตัวเปล่า”
“พะ พูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงเนี่ย?”
ผมไม่ตอบคำถามหนิง ทำเมินหนีเลย
“แล้วขาดใครอีกรึเปล่า?”
“ตอนแรกเคียวยะบอกว่าจะไปอยู่ แต่เคียวยะต้องพาเมอันไปซื้อของด้วยเลยไม่ได้มา ส่วนยูจิและเรย์ ทั้งสองคนบอกว่ามีธุระ”
หนิงถอนหายใจ
“เสียดายจัง ฉันมาเพราะเห็นบอกว่ายูจิจะมาด้วยเลยนะ”
“แล้วเอาไง”
“แต่งตัวมาแล้วก็ไปดีกว่า”
สุดท้ายก็ไปแล้วจะบ่นทำไมล่ะนั่น
“ช่วยไม่ได้นะคะ เช่นนั้นไปกันเลยดีมั้ย?”
โซล่าพูดด้วยรอยยิ้มพลางตบมือ แปะๆ
‘มาสเตอร์ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่านะคะ แต่โซล่าคนนั้นยิ้มได้น่ากลัวพิลึก’
คิดไปเอง แค่คิดไปเอง
ผมภาวนาไว้อย่างนั้น
****
พวกเราสี่คนได้แก่ ผม เบลลามี โซล่า และหนิง ได้เดินทางเท้าเปล่าไปที่เมืองขนาดย่อมภายในเกาะวาเรอร์
รู้สึกว่าเมืองจะชื่อว่า ‘วอเธอร์ซิตี้’ เป็นเมืองที่ใหญ่พอตัวเลย สภาพอาจจะดูล้าสมัยไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ล้าสมัยไปไกลมาก ยังอยู่ในระดับที่เที่ยวได้ปกติ มีเสื้อขาย มีหนังสือขาย มีร้านอาหารดีๆตกแต่งสวยๆเป็นปกติ แค่ตัวพื้นผิวหรืออิฐที่ใช้สร้างแต่ล่ะร้านมันดูเก่าแก่
ให้ความรู้สึกเมืองท่องเที่ยวเก่าๆเลย
“เมืองสวยมากเลยนะคะ”
โซล่าทักผมอีกแล้ว ตลอดการเดินมาที่เมืองเธอมักจะชวนผมคุยตลอดเวลาเลย ต่างกับเบลลามีที่เงียบตลอด จะมีคุยกับหนิงบ้างแค่บางครั้ง
“อ่า ว่าแต่จะไปกินข้าวร้านไหนกันเหรอ?”
“เรื่องนั้น ร้านทางนี้ค่ะ”
โซล่าเดินนำทางพวกผมไปยังร้านอาหารที่ดูสวยแต่ก็ไม่ได้หรู เป็นร้านพื้นๆที่ทุกคนสามารถจับต้องได้
“ร้านนี้ค่ะ”
“โอ้ สวยดีนะ”
“ฉันตั้งใจเลือกสุดตัวเลยนะคะ”
นับถือความตั้งใจอยู่หรอกนะ ..
พวกผมเข้าไปในร้าน และสั่งอาหารมากินกันตามปกติ แต่หนิงสั่งเยอะกว่าทุกคนรวมกันหลายเท่า และเธอก็กินทั้งหมดได้เร็วกว่ามากๆ
สมกับเป็นมหามังกรเลย กินจุจริงๆ
ระหว่างรับประทานอาหารพวกเราก็คุยกันไปเรื่อยตามพะสาเพื่อน ทำให้กินเป็นเวลานาน และกว่าจะกินกันเสร็จทุกคนก็ปาไปเป็นชั่วโมงเลยล่ะ
****
ตอนนี้พวกผมมายืนอยู่บริเวณหน้าร้านเพราะพึ่งใช้บริการร้านเขาเสร็จ หนิงยืนตีท้องน้อยตัวเอง เบลลามีลูบพุงเบาๆ โซล่าไม่มีท่าทางอะไรเป็นพิเศษ เหมือนว่าเธอจะพยายามกินให้น้อยๆ ส่วนผมก็ยืนเท้าสะเอวคุยกับเจ้าหล่อน
มื้อนี้คนที่กินคุ้มที่สุดคือหนิงและเบลลามีไม่ผิดแน่ ไม่เหมือนผมและโซล่าที่กินข้าวไปคุมเชิงกันไปด้วย
“เป็นมื้อที่คุ้มค่ามาก ขอบใจมากนะ”
ผมยิ้มให้โซล่าแบบเป็นมารยาท แต่เธอกลับดูผิดหวังนิดหน่อย
“จะว่าไปเบลลามี เห็นเขาว่าหนังสือที่เกาะวาเรอร์มีหนังสือเก่าๆอยู่เยอะน่ะ”
“อือ เราก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
“ถ้ายังไงไปดูกันหน่อยมั้ย?”
เบลลามีหันไปมองโซล่าอยู่แวบหนึ่ง เธอดูลังเลแต่ก็ตอบตกลง
“อือ”
“เข้าใจแล้ว โทษทีนะ เดี่ยวพวกฉันขอแยกก่อน”
ผมหันไปโบกมือให้หนิงและโซล่า หนิงโบกมือกลับ แต่โซล่าเงียบเธอไม่พูดโต้ตอบอะไร
“คือว่า” เบลลามีเอ่ยทัก “..จะไปด้วยรึเปล่า”
เบลลามีเชื้อชวนโซล่า นั่นทำให้โซล่าได้สติ เธอหันซ้ายขวาไปมาระหว่างผมและเบลลามี ก่อนที่จะค่อยๆปั้นยิ้มให้
“เอ่อ ..อะ เอาสิ แต่ว่า เดี่ยวไปกันก่อนเลยนะ คือ ..เดี่ยวตามไป”
…
“อือ ไว้เจอกันนะ”
“ถ้านั้นก็ไปล่ะ”
ผมและเบลลามีมุ่งหน้าไปร้านหนังสือด้วยกัน ปล่อยให้โซล่ายืนยิ้มแข็งๆไว้คนเดียว
..ขอโทษนะโซล่า
นี่คือคำตอบของฉัน
****
โซล่ายืนมองส่งเรเซอร์และเบลลามีจนลับสายตา จากนั้นเธอก็คอตกทันที หนิงเดินมายืนมากอดอยู่ข้างๆ
“เสียใจด้วยนะ”
“ฉันยัง ..ไม่แพ้สักหน่อย” โซล่าเดาะลิ้น “ที่แปลกน่ะมันผู้หญิงคนนั้นต่างหาก เรเซอร์มีว่าที่ภรรยาตั้งสองคนแล้วนะ ยังจะจีบกันอีก แล้วยังรับได้ด้วย”
“อย่าเอาค่านิยมของจักรวรรดิมาตัดสินคนที่อาณาจักรฟัฟนิร์สิ อีกอย่างพวกเขาสี่คนตกลงกันไว้หมดแล้ว ที่แปลกน่ะมันหล่อนที่จู่ๆก็เข้ามาจะให้เขาเลิกกับว่าที่ภรรยาต่างหาก”
พอโดนหนิงบ่นโซล่าก็รู้สึกจุก โซล่าเข้าใจดีถึงการกระทำของตัวเอง รู้ว่าตัวเองนั่นแหละผิด
แต่มันช่วยไม่ได้หรอกที่เธอจะรู้สึกเจ็บใจ
“แล้วที่ยูจิไม่มานี่ก็แผนของเธอด้วยรึเปล่า?”
ไม่มีเรื่องต้องปิดบังแล้ว เพราะหนิงรู้ทั้งหมด
“..ค่ะ”
“หล่อนเนี่ยน้า ใช้วิธีสกปรกแบบนั้นไม่ไหวเลยนะ”
หนิงพูดได้เพราะหนิงไม่มีคู่แข่ง โซล่าอยากตวาดด่าแต่โชคดีที่เธอยั้งตัวเองไว้ได้
“ถ้าเขาจะรัก เขาก็รัก คนที่เขาไม่รักเขาก็ไม่รัก เธอควรรู้นะ ตัดใจเถอะ ล่มเลิกๆ ยอมได้แล้ว เขาไม่หันมามองหรอก เห็นแบบนี้แต่เรเซอร์รักเดียวใจเดียวนะ ..ไม่สิ มีว่าที่ภรรยาอยู่แล้วตั้งสองคน เรียกว่ารักเดียวใจเดียวคงไม่ได้ อืม ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเธอหมดสิทธิ์ล่ะ”
(คนๆนี้น่าหมันไส้ชะมัด)
โซล่าเริ่มหมันไส้หนิงตามๆเรเซอร์ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้สนิทอะไรกัน โซล่าเลยไม่ได้บ่นอะไร แค่เก็บความไม่พอใจไว้ในอก
“แต่แปลกนะ ยูจิไม่น่าใช่คนที่ร่วมมือกับแผนสกปรกของเธอ”
“..ฉันบอกคุณยูจิว่าอยากจะเคลียร์กับคุณเรเซอร์ค่ะ เขาก็เลยยอมช่วย”
“การจะหลอกใครได้ต้องหลอกพวกเดียวกันก่อนสินะ ผู้หญิงแบบหล่อนเนี่ยร้านเงียบนะ”
“เอาแต่พูดว่า หล่อน หล่อน หล่อน อยู่ได้ พวกเราสนิทกันเหรอคะ?”
โซล่าชักจะทนไม่ไหวแล้ว ทว่าหนิงกลับไม่ได้สะทกสะท้านอะไร
“ไม่ชอบเหรอ?”
“ค่ะ”
“นั้นขอเรียกว่า ‘ยัยโซล่า’ แทนนะ”
“นี่คุณได้ฟังฉันบ้างมั้ยเนี่ย!?”
หนิงหัวเราะร่า โซล่ากำหมัดแน่น
(เย็นไว้ เย็นไว้ เย็นไว้นะ)
“เอาเป็นว่าเคลียร์นะ อกหักแล้วก็ไปหารักใหม่เถอะนะ ยัยโซล่า—”
“ไม่ทนแล้วโว้ยยยย!!!”
โซล่าพุ่งเข้าไปนัวร์กับหนิงจนได้ หนิงปล่อยให้โซล่าชนตัวเองจนล้มและกระทำชำเราต่างๆสารภาพ ซึ่งทั้งหมดคือการทะเลาะกันระหว่างผู้หญิงของแท้ ทั้งจิกและดึงผม ทำมันทั้งหมดน่ะแหละ
“อย่ามาสอนกันนะ เป็นคุณก็พูดได้สิ ผู้ชายที่คุณชอบเขาไม่มีใครเล็งนี่นา! เขาไม่ได้มีภรรยาหรือคนที่ชอบแล้วนี่!! พวกเธอสองคนทางสะดวกเลย จะทำอะไรก็ง่ายไปหมด จะทำอะไรก็ได้ ทุกคนเต็มใจเปิดทางให้พวกเธอ ทุกคนพร้อมช่วยเธอ แต่มองมาที่ฉันสิ ใครช่วยฉันบ้าง!? ไอ้ผู้สายหัวม่วงนั่น(เคียวยะ)ก็บ่นฉันตลอด! คนที่ฉันชอบก็พยายามเลี่ยงฉันทุกครั้งอีก! คนรอบๆยังชอบส่งสายตาเวทนามาอีก!”
“ชะ ช่วยไม่ได้นี่ยัยโซล่า หล่อนสเน่ห์ไปถึงเอง”
“ไหงบอกว่าจะไม่เรียกฉันว่า ‘หล่อน’ ไง อีดอกกระทือ!!”
ผู้คนรอบๆเริ่มมองมาที่ทั้งสองแล้ว หลายคนเป็นนักเรียนของวิทยาลัยด้วย ถ้าเห็นมากกว่านี้ภาพลักษณ์ทั้งสองคนได้ป่นปี้แน่ แต่เวลานี้หาได้สนไม่
“ยัยโซล่าจอมฉวยโอกาสอย่ามาว่าฉันเลย!”
“อีเปรตนี่!!”
โซล่าเล่นหนิงซะยับ แต่กายภาพเธอไม่สามารถสร้างความเสียหายให้หนิงได้แม้แต่น้อย ทางหนิงก็ไม่คิดจะสวนกลับอะไร
“อย่าเธอจะไปเข้าใจอะไร บอกให้ฉันตัดใจเนี่ยนะ อย่ามาบ้านะ ตัดใจมันทำได้ง่ายๆที่ไหน คิดว่ารักแรกมันสำคัญกับฉันมากแค่ไหน เธอไม่รู้หรอก ตลอดช่วงชีวิตของฉันน่ะ ไม่เคยมีความรักเลยนะ จะมีแค่แต่คนในฝันที่มอบความรักให้ฉันได้ แล้วเธอกำลังจะบอกให้ฉันทิ้งคนที่มอบความรักให้ฉันเหรอหะ!? อย่ามาพูดพล่อยๆนะ ยอมแพ้เหรอ? ตัดใจเหรอ? หาคนใหม่เหรอ? ถ้าทำได้ทำไปนานแล้ว!!!” โซล่าจิกหัวหนิงขึ้นมา “เธอลองโดนปฎิเสธเหมือนฉันบ้างสิ! ถ้าโดนปฎิเสธฉันจะรับฟังที่เธอพูดอยู่ แต่ถ้าไม่เคยก็อย่ามาทำปากดีเลย อีหน้าเกือก!”
โซล่าหายใจหอบ เพราะเธอแร็ปด่าหนิงรัวๆ แต่เดิมเธอไม่ใช่คนที่ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว พอตบะแตกแล้วต้องใช้แรงทั้งจิกหนิงทั้งด่าเลยทำให้ถึงขีดจำกัด
“อา …เธอไม่เข้าใจฉันหรอก”
“นั่นสินะ คนมันไม่เคยนก”
โซล่ากัดฟันกราม เธอตบหนิงเบาหวิวเพราะหมดแรงแล้ว
“ไร้น้ำยาจริงๆนะ”
“หนวกหู ..”
โซล่าลงไปนอนกองกับพื้นเช่นเดียวกับหนิง
“เหมือนยูจิกำลังวิ่งมาแหน่ะ”
“ฉันบอกให้เขามาดึงตัวเธอไปน่ะ หลังกินข้าวเสร็จ ..เขามาช้ามาก ..จะว่าไปคุณรู้ได้ยังไงว่าคุณยูจิกำลังมาน่ะ?”
“กลิ่นยูจิมีเอกลักษณ์บ้างนะรู้มั้ย ถ้าในระยะหนึ่งกิโลเมตรฉันรู้การเคลื่อนไหวเขาหมดนั่นแหละ แค่ตั้งใจดมนิดหน่อย”
“คุณเนี่ย ..น่ากลัวนะคะ”
หนิงหัวเราะร่า โซล่าเห็นหนิงหัวเราะก็เผลอหัวเราะตามไปด้วย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจดมสักหน่อย จมูกฉันมันจำกลิ่นยูจิไปเองน่ะ ทุกอย่างมันเข้าหัวตามสัญชาตญาณโดยฉันไม่เข้าใจ เพราะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าฉันเป็นโรคจิตนะ”
“คุณมันโรคจิตของแท้เลย ถ้าคุณยูจิรู้เขาน่าจะสยองคุณน่าดู”
“ยูจิรู้แล้วล่ะ ฉันบอกเอง …ยูจิบอกว่าเป็นความสามารถที่เจ๋งมาก อยากให้ฉันสอนให้น่ะ”
ได้ยินแบบนั้นโซล่าก็อดขำไม่ได้ ทางหนิงก็หัวเราะผสานเสียงตามโซล่าด้วยคน
“เพื่อนของคุณเรเซอร์นี่แปลกทุกคนเลยนะคะ”
“เว้นฉันไว้คนหนึ่งนะ”
ว่าแล้วก็หัวเราะกันอีกครั้ง
ยูจิแหวกฝูงชนเข้ามาหาทั้งสองที่นอนอยู่กับพื้น
“กะ เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย!?”
“ยูจิหิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
(ละ หล่อนพึ่งกินไปเองไม่ใช่เรอะ!?) โซล่าแอบกลัวหนิงในอีกแง่หนึ่ง
ยูจิหันมามองโซล่าด้วยท่าทางเป็นห่วง
“เอ่อ จะว่าไปคุณโซล่า เรื่องคุณเรเซอร์”
“เรื่องนั้นเดี่ยวฉันเล่าให้ฟังนะคะ”
“คะ ครับ”
ยูจิคงสังหรณ์ใจได้ว่าน่าจะไปได้ไม่ช่วยเขาเลยดูซึมขึ้นมา เขาเสียใจแทนโซล่า ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้หนิงตกหลุมรักยูจิ
“ยูจิลุกไม่ไหว ช่วยดึงหน่อยสิ”
หนิงทำเป็นอ้อนให้ยูจิดึงแขนให้ โซล่ามองหนิงแบบจิกกัดหน่อยๆ
(คนๆนี้ทำตัวได้น่าหมันไส้จริงๆ ..) โซล่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินไปจากทั้งสองเพราะไม่อยากรบกวน
“เดี่ยวสิ จะไปไหนน่ะ”
“..กลับหอค่ะ”
“ไม่ไปกินข้าวกันหน่อยเหรอ?”
“ฉันอิ่มแล้วนะคะ เมื่อกี้พึ่งกินข้าวไปเอง ไม่เหมือนกันคุณ ฉันไม่ใช่คนกินจุ—-”
..คอด .. เสียงท้องรองของโซล่าดังสะเทือนหูของทุกคนแถวๆนั้น
“เอ๊ะ ..เอ่อ”
มื้อเมื่อครู่เธอกินแค่นิดเดี่ยว แล้วก็ต้องมาออกแลกฟัดกับหนิงอีกทำให้เสียพลังงานไปเยอะ จะให้ก็ไม่แปลกแต่—น่าอายมาก
“อย่าอายไปเลย ฉันเองก็เผลอท้องร้องบ่อยๆนะช่วงนี้”
“อย่าเอามาตรฐานฉันไปเทียบกับคุณสิ”
“พูดถึงร้านอาหาร เมื่อตะกี้ผมเจอร้าน ..เอ่อ รู้สึกจะเรียกว่า ‘บุฟเฟ่ห์’ นะครับ เห็นบอกว่ากินได้ไม่อั้นในเวลาที่กำหนด”
หนิงตาเป็นประกายทันที
“ไปกันเถอะๆ”
“เข้าใจแล้วครับ ทางผมก็ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเหมือนกัน ..แล้วคุณโซล่าล่ะครับ?”
โซล่ามองทั้งสอง กระพริบตาปริบๆ
“..ฉันไปด้วยจะดีเหรอ คือ”
ทั้งสองคนไม่ใช่ว่าจะไปเดทกันหรือไง?
ยูจิ—ยิ้มอย่างใสซื่อ
คนๆนี้ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยหนิงเลยสักนิด มีแค่หนิงนี่แหละที่คิดไปไกล แล้วก็ทำมาเป็นอวดใส่โซล่าหน้าตาเฉย
(ชักรู้สึกสงสารคุณหนิงแล้วสิ รู้สึกว่าสักวันคนๆนี้ต้องเจอเรื่องซวยๆเข้าจนน้ำตาตกแน่ๆ)
โซล่าค่อยๆปั้นยิ้มมาใหม่
“รบกวนด้วยนะคะ”
จากนั้นทั้งสามก็ไปรับประทานบุฟเฟ่ห์ด้วยกัน และทำให้ร้านอาหารร้านนั้นเจ๊งย่อยยับจากการกินแบบบ้าคลั่งของหนิง