เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 107: การต่อสู้ของเคียวยะ
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 107: การต่อสู้ของเคียวยะ
< < 88 > >
หลายสิ่งหลายอย่าง ยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำ ..
ไอ้เด็กไร้ค่า’
‘แกไม่น่าเกิดมาเลย’
‘ไอ้ตัวภาระ ไอ้เด็กน่าขยะแขยง’
‘เด็กที่เกิดมาจากตัณหา’
‘ไร้ค่า’
‘จะไปตายที่ไหนก็ไป’
‘คนอย่างแกสักวันไม่ได้ตายดีแน่’
‘แกมันก็แค่คนนอก’
‘ความอับอายของวงตระกูล’
‘ลูกใครก็ไม่รู้’
‘แกมันลูกของนังโสเภณี’
..คำพูดเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว ต่อให้ฉันจะมีสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถลืมคำพูดต่างๆนานาสมัยอดีตได้
ไม่เคยขอ ฉันไม่เคยขอให้แกเลี้ยงฉันเพื่อทำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยบอก แต่ก็พูดไปแล้ว ถึงอย่างนั้นคำพูดต่อมาก็หนีไม่พ้นคำด่าสุดจะไร้ความยุติธรรม
จนนานวันเข้าก็เผลอคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเอง ‘มันไร้ค่า’ จริงๆนั่นแหละ
ไม่ใช่แค่ไร้ค่ายังไร้ประโยชน์ต่อใครๆ เป็นแค่ตัวถ่วง เกิดมาเพื่อทำให้ทุกอย่างแย่ลง เป็นความอับอายของทุกคน
คิดอย่างนั้น
ต่อให้แม่แท้ๆจะไปเล่นชู้จนได้ตัวฉันมาอยู่ในท้อง แม้ว่าจะทำตัวเอง แต่ถ้าเกิดหล่อนไม่ได้ท้อง หล่อนคงจะใช้ชีวิตอยู่กับสามีต่ออย่างมีความสุข และเด็กที่เกิดมาในอนาคต ถ้าเปลี่ยนจากลูกชู้เป็นลูกของสามีแท้ๆของหล่อนแทน ชีวิตคงเปี่ยมด้วยความสุขไม่น้อย
ฝั่งแม่มีความสุขกับครอวครัว ในขณะที่ว่างๆก็เที่ยวเล่นกับชู้ลีลาเด็ด
ฝั่งพ่อก็มีความสุขกับครอบครัว โดยที่ไม่รู้ความจริงต่อไป ถึงอย่างไร ลูกก็เป็นลูกแท้ๆของตัวเอง แค่นั้นก็น่ายินดีแล้ว
ในวันที่ความจริงถูกเปิดเผย ทั้งสองก็ยังเป็นพ่อและแม่ให้ลูกอยู่ดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เด็กยังได้รับความรักต่อ
ไม่ว่าจะทางไหน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ เด็กที่เกิดมาก็จะได้รับการดูแลที่ดี ซึ่งต่างกับฉัน จึงตรงอย่างที่คิดไว้ว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่ควรเกิดมา เพราะทันทีที่ลืมตาตื่นก็ไม่เคยมีใครได้อะไรดีๆเลย
ฉันมันไม่มีอะไรดี ความรู้สึกนี้ในตอนแรกมันก็แค่ความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พอนานวันเข้า เริ่มโตขึ้นก็อยากจะเปลี่ยนตัวเอง ..อยากมีอะไรดีบ้าง
แต่สิ่งที่ทำก็มีแต่การประชดประชัน อย่างต่อปากต่อคำกับพ่อในทุกครั้งที่มีโอกาส หรือพูดจาไม่ดีใส่แม่ใหม่และน้องสาว
พอประชดไปบ่อยๆเข้ามันก็เริ่มติด นอกจากการพูดก็เริ่มใช้ความรุนแรง เวลาทะเลาะแล้วถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก็จะต่อยไอ้บ้านั่นซะยับทุกรอบแล้วก็ทำเป็นมองต่ำใส่แม่และน้องสาว
สะใจ ที่ได้มีแค่นั้น
ฉันเริ่มจะทำเรื่องแย่ๆมากยิ่งขึ้นเพื่อประชดชีวิตตัวเอง ภายใต้ความรู้สึกที่ว่า อยากมีอะไรดีบ้าง
ในท้ายที่สุดที่ทำมันก็แค่การสร้างความเดือดร้อน เพื่อให้ตัวเองพึงพอใจ
ที่ฉันทำไม่ใช่ทำให้คนอื่นมองมาดีมากขึ้น แต่เป็นทำเพื่อให้คนอื่นไม่กล้าปริปากบ่น
รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป ถ้าให้ฆ่าคนตอนนี้อาจจะได้ ในจุดๆนี้ให้ฆ่าคนมันง่ายกว่าการพูดดีๆกับคนอื่นด้วยซ้ำ
..ชีวิตดำเนินต่อไปแบบนี้จะดีเหรอ?
พึ่งคิดได้เมื่อได้พบกับสองคนนั้น
ในวันที่ฉันจนมุม ในวันที่ความผิดทั้งหมดของตัวเองจะหวนกลับคืน กำลังจะโดนรังเกียจ ในวิทยาลัยเวทมนตร์ คนที่ฉันก่อเรื่องก็คนใหญ่คนโตทั้งนั้น โดนฆ่าแน่ ได้ตายแน่ ไม่ได้จบแค่ชีวิตในฐานะนักเรียน แต่ชีวิตในฐานะมนุษย์ของฉันกำลังจะจบ
ความกลัวในความผิดจึงกลับมา แต่แค่กลัว ไม่ได้สำนึกผิด คิดแค่ว่าถ้ารอดไปได้ล่ะก็ จะทำให้เนียนกว่านี้ จะลงมือแบบเงียบกว่านี้ จะอาละวาดให้น้อยลงเพื่อรอวันที่ตัวเองใหญ่พอจะก่อเรื่องได้อย่างใหญ่โต
ฉันมีพลัง ต้องทำได้แน่ แต่ก็ยังกลัวในจุดๆนี้อยู่ดี
ถ้าไม่รอด ฉันได้ตายแน่
คิดอย่างนั้นแล้วก็ร้องไห้อย่างน่าสมเพซ ทำตัวเป็นเด็กน้อย ทำผิดแต่ไม่กล้ายอมรับผิด ไม่พร้อมจะรับผลลัพธ์ที่ตามมา
แหงล่ะ เพราะฉันกำลังจะถูกฆ่าไงเล่า สายตาที่มอง คำพูดคำจาต่อจากนี้ มันจะเต็มไปด้วยความรังเกียจ เหมือนกับที่ทุกคนพูดกับฉันในตอนเด็ก ความกลัวในใจมันหวนกลับมา
เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย คือคำพูดที่เต็มไปด้วยของมีคม คำพูดทั้งหมดมันบาดอยู่เต็มร่างฉัน และไม่มีทางรักษาได้
กลัว ..ถ้ารอดไปได้จะแก้แค้น
ในห้วงเวลานั้นได้แต่นึกคิดวิธีแก้เผ็ดสารพัด วางแผนจะหนีออกจากที่นี่ คิดจะเอาครอบครัวตัวเองมาเอี่ยมด้วยเพื่อให้ตัวเองมีเวลาหนียิ่งขึ้น ..
เรื่องทั้งหมดฉันสมควรได้รับโทษ แต่ฉันจะไม่ยอมรับโทษ คนที่ทำให้ฉันต้องลำบากต่างหากที่ต้องโดนลงโทษ
พวกแกทุกคน ..ต้องได้รับโทษ
ฉันจับคนที่ดูอ่อนแอที่สุดเป็นตัวประกัน พูดขู่ต่างๆนานา เพื่อหาทางรอดให้ตัวเอง
ความรู้สึกผิดเป็นแค่เรื่องไร้สาระในตอนนี้ ฉันคิดแต่ว่า ฉันต้องรอดและแก้แค้น
ตัวฉันกำลังพัง ไม่สิ มันพังแล้วต่างหาก เพราะพังแล้วเลยหันหลังกลับไม่ได้แล้ว ถ้าจะพังก็พังให้มันหมดเลย เอาสิ เอาเลย
ในสถานการณ์ถึงเป็นถึงตาย เจ้าหมอนั่นที่อยู่ตรงหน้าฉันยังพูดติดตลก พอๆกันกับไอ้ตัวประกัน ยังทำตัวไร้สาระอยู่ต่อได้อีก
อยากจะบ้าตาย เจ้าพวกนี้มันไม่รู้จักความกลัวเลยรึไง ..ก็ได้ จะทำให้กลัวเอง
ฉันบอกให้ไอ้ผู้ชายโลกสวยตรงหน้าเป็นแผะแทนฉัน
หมอนั่นน่ะเป็นขุนนางยักใหญ่ ไม่มีทางโดนไล่ฆ่าเพราะไปขโมยกางเกงในคนอื่นหรอก อย่างมากก็โดนไล่ออก ต่างกับฉัน ..แน่นอน ต่อให้ไม่ใช่มัน ใครก็ได้ ต่อให้เป็นแผะแล้วจะตายแทนฉันก็เอาเลย เวลานี้ใครจะตายก็ช่างมันแล้ว ที่รู้ๆคือตัวเองต้องรอด
เพียงพริบตาเดียว สถานการณ์ก็ผลิก ฉันแพ้เอาง่ายๆ
ความอ่อนแอของตัวเองถูกดึงกลับมาแล้ว บางทีอีกฝ่ายน่าจะเก่งเกิน ไม่สิ ฉันอ่อนแอเอง พยายามไปตั้งมากแต่ก็ยังอ่อนแอ
ยังคงไร้ค่าเหมือนเดิม ไม่น่าเกิดมาเลย ..ต่อจากนี้ก็หมอบตัวดีกว่า อยากจะฆ่าก็เอาเลย ฆ่าฉันเลย
ตายๆไปดีกว่า ตัวฉันที่ไร้ค่าขนาดนี้น่ะ
อย่างไรก็ตาม แต่ในใจมันยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
อยากจะตายแบบไม่ไร้ค่า—ยังไม่อยากตายอยู่ดีนั่นแหละ
แล้วพอคิดถึงสายตาที่ทุกคนมองมาก่อนฉันจะตาย มันก็ทำให้กลัวยิ่งกว่าเก่า
‘โรคจิต’
‘ขยะแขยง’
‘น่ารังเกียจ’
อย่ามองมาแบบนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น อย่ามอง ขอโทษ ได้โปรด ฉันกลัวแล้ว
ตอนนั้นจึงร้องไห้ออกมา เพราะกลัว—-
‘ตัวปัญหา’
—อย่ามองฉันอย่างนั้น—-
ฉันร้องไห้มาไม่หยุด ..ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไป เอาแต่ก้มหน้าหนีทุกคน เพราะถ้าเผลอเงยหน้าไปจะมีแต่คำก่นด่าดูถูก และสีหน้าที่ขยะแขยงการกระทำของฉัน
จะไม่ยอมหันไปมองเด็ดขา..เอ๋?
ไม่ใช่ เจ้าพวกนั้นไม่ได้มองฉันอย่างที่ควร
‘โอ๋เอ๋’ ยัยผู้หญิงผมดำพูด
ทำไมถึงปลอบกันล่ะ ไม่เข้าใจ ..แบบนี้นี่เอง หยามกันสินะ ตั้งใจหยามกัน โอ๋เอ๋มันเอาไว้พูดกับเด็กชัดๆ มาพูดแบบนี้หยามกัน ตั้งใจเหยาะเย้ยฉันที่แสนไร้ค่าคนนี้ ไอ้บัดซบ ไอ้สารเลวเอ้ย
‘เคียวยะ นายเก่งกว่าปี 1 เกินครึ่งแน่นอน’ ไอ้ผู้ชายพูดเสริม
ไม่ได้ร้องไห้เรื่องนั้นสักหน่อย แค่..เจ็บใจ
‘น่าๆ’
ไม่ใช่เรื่องนี้ อย่ามาปลอบ ..สำคัญกว่านั้น ทำไมมองมาอย่างนั้นเล่า
สายตาแสนอ่อนโยนของทั้งสองมองมาที่ฉัน
พวกแกเป็นผู้เสียหายไม่ใช่รึไง?? ฉันทำให้ชีวิตพวกแกมีปัญหาแท้ๆทำไมถึง ..
ถูกเจ้าสองคนนั้นปลอบว่าให้พยายามมากกว่านี้ จะเอาใจช่วย โดนชม ..
ไม่เข้าใจ แต่..อยากเอาใหม่อีกครั้ง พรุ่งนี้จะเอาใหม่อีกครั้ง
ทว่า ไม่มีวันพรุ่งนี้
ฉันจะต้องตายแน่ๆ ต้องโดนส่งคนมาฆ่าแน่ๆ
รู้ทั้งรู้แต่อยากเอาใหม่อีกครั้ง อยากให้ทุกคนมองฉันเหมือนที่สองคนนี้มองฉัน
อยากมีค่า
จะขอโทษ จะเอาใหม่แล้ว ไม่ว่าต้องทำอะไร ขอแค่ไม่ถึงตาย ฉันก็จะพยายาม ต่อให้โดนมองแบบแย่ๆแต่จะแก้ตัวใหม่ นิสัยแย่ๆมันติดเป็นสันดานแล้วก็จริง แต่จะพยายามเปลี่ยน เนื้อแท้อาจเปลี่ยนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็จะไม่สร้างความเดือดร้อน จะเอาใหม่ จะเอาใหม่ จะรับโทษแล้วก็แก้ตัว ถ้าให้โอกาสกัน จะพยายามใหม่
ถ้าตายก็เอาใหม่ไม่ได้ แต่ถ้ารอดฉันจะเอาใหม่
ตั้งใจแน่วแน่แล้ว แต่เวลาจริง…อา ไม่ไหว
ตายแหงๆ———-ทุกคนอยู่ตรงหน้า ส่งสายตามา เป็นสายตาคนล่ะเรื่องกับสองคนข้างๆฉัน เป็นสายตาที่ใช้มองตัวปัญหาของสังคม
ใจเริ่มฝ่อ ไม่กล้าก้าวเท้า ถ้าไม่เริ่มขอโทษก็จะโดนมองแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้นต้องรวบรวมความกล้า ขอโทษทุกคน ..โปรดให้อภัยฉันด้วย …พูดเร็วววว!!!———หมอนั่น ไอ้ผู้ชายพิลึกดันพูดออกไปก่อน
แถมยังรับโทษแทนฉันอย่างง่ายดาย ไม่มีเศษเสี้ยวความลังเล
หะ?
อะไรวะน่ะ?
ถูกปกป้องไว้ ..ยัยผู้หญิงก็ไม่ได้พูดอะไร ..ไม่ได้แก้ต่างให้ไอ้ผู้ชาย
นั่นหมายความว่าร่วมมือกันปกป้องสินะ? ปกป้องใคร? ปกป้องฉัน?
ครั้งแรก ..ครั้งแรกที่ถูกปกป้อง
หมอนั่นหลังจากนี้คงจะโดนหลายอย่าง แต่ไม่ถึงตายแน่ๆ ถือว่าทำถูก เลือกคนรับโทษได้ถูก..ก็บ้าแล้ว
ที่ทำผิดมันมีแค่ฉันแท้ๆ ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยเล่า ..เศษสวะมันจำเป็นต้องได้รับการลงโทษไม่ใช่รึไง ความอบอุ่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรได้รับ
แต่สองคนนั้นช่วยฉันไว้ เพื่อให้ฉันไม่โดนปฎิเสธจากความอบอุ่น มันเป็นเพราะ ..อยากให้ฉันได้รับมันสินะ แต่ฉันตอนนี้ไม่ควรได้รับความดีจากใคร
เพราะฉะนั้น..เอาใหม่ พรุ่งนี้ ..ต้องวันนี้ ฉันจะเริ่มต้นใหม่
ชีวิตในวันนั้นทำให้ชีวิตต่อจากนี้ของฉันเปลี่ยนไป
****
ถึงจะพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองแล้ว แต่แผลใจก็ยังเป็นแผลใจ ทุกคำพูดที่เลวร้ายยังวนอยู่บนหัว ต่อให้ฉันจะโดนมองอย่างนั้น แต่ฉันก็มีคนอยู่ข้างๆเสมอ ขอแค่คนเหล่านั้นอยู่กับฉัน ไม่ว่าจะสายตาแบบไหน ฉันก็ไม่สน
อยากจะคิดอย่างนั้น แต่ทำไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็กลัวอยู่ดี สายตาที่มองฉันเป็นสวะ ไม่อยากได้เลยสักนิด ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
ซึ่งต้นเหตุของความกลัวทั้งหมดก็มาจากครอบครัวฉัน ไม่ได้คิดจะโทษ แค่อยากจะชนะความกลัวในใจตัวเอง แค่นั้นแหละ
เริ่มจากคุยกับไอ้แก่ด้วยตัวคนเดียว ..คุยกับคนที่มอบความกลัวให้ฉันตัวต่อตัว
ฉันจะคุยโดยที่ไม่กลัว ถ้าทำได้ บางทีอาจจะชนะความกลัวในใจตัวเองได้บ้าง
ทางกลับบ้านยังจำได้ดี ไม่มีทางลืม เพราะบ้านหลังนี้มันฝังใจฉันมาตลอด
บ้านที่ดูดีระดับหนึ่งบ่งบอกถึงฐานะทางบ้านที่ดีพอตัว
..ขาเริ่มเกร็ง
“แต่แปลกใจนะว่าเคียวยะอยากมาหาพ่อเขาน่ะ”
แม่พูดด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข เธอดูจะดีใจที่สุด ..
“แค่มาหานานๆครั้งแหละ”
“เริ่มเปิดใจให้พ่อเขาแล้วสินะ”
เปิดใจ? เรื่องอะไร ฉันแค่จะมาชนะความกลัวในใจเท่านั้น สำหรับตอนนี้ ไอ้แก่นั่นยังเป็นศัตรูอยู่ดีนั่นแหละ
“อะไรดลใจให้พี่มาล่ะ”
ริริเองก็สงสัย
“ไม่กี่วันก่อน มีเพื่อนที่รู้จักไปเคลียร์กับพ่อตัวเอง เห็นแล้วเลยอยากทำบ้าง เผื่อชีวิตจะดีขึ้น”
“นั่นสินะ พี่กับพ่อมีปัญหากันตลอดเลย” ริริพูดอย่างหน่ายใจ
“บางทีก็รุนแรงไปหน่อยด้วย” แม่พูดแบบลำบากใจ
..เพราะเป็นศัตรูไงล่ะ
“นั้นก็รีบๆเข้าไปเถอะจ๊ะ”
เธอเริ่มขอให้เดินเข้าบ้าน เพราะฉันเอาแต่ยืนเกร็ง ..
“เออ”
ฉันก้าวเท้าเข้ามา เปิดประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อค
“ทีหลังล็อคด้วย อันตราย”
“โทษทีนะจ๊ะ”
ฉันหายใจขึ้นจมูกใส่ และเดินเข้ามาภายในบ้าน
ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด
ตรงหน้าชั้นวางรองเท้า เป็นที่ที่ฉันจะถูกไอ้แก่ตีประจำตอนเด็ก ..ชิ ไม่สบอารมณ์เลย
“น่าคิดถึงเนอะพี่”
ริริเดินมาจากข้างหลัง อยากจะสวนไปว่ามีอะไรน่าคิดถึง แต่ก็เบรกตัวเองไว้ได้ก่อน
“ก็ตอนเด็กๆ ตอนฉันตัวเปื้อนโคลนมา พี่มักจะหาวิธีไม่ให้พ่อดุฉันประจำเลย ตอนเด็กๆก็ใจดีแท้ๆ ไม่รู้ทำไมพอเริ่มโตถึงเริ่มเป็นคนหัวรุนแรง เชอะ!”
ริริถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าบ้านไปก่อน
..จะว่าไปก็มีอยู่บ่อยพอตัว ตอนที่ฉันพึ่งมาบ้านหลังนี้ช่วงแรกหลังแม่แท้ๆเสีย แต่..เธอคิดถึงเรื่องพวกนั้นด้วยเหรอ เรื่องความดีของฉัน
ทำไมมีแต่ฉันที่คิดได้แต่เรื่องแย่ๆล่ะ ไม่แฟร์เลยแบบนี้
“อย่าเกร็งเลบนะๆ”
“ไม่ได้เกร็ง ..อย่าเข้าใจผิดนะ..ครับ”
จู่ๆก็ขึ้นแต่โชคดี เบรคได้ทัน
“ระ เหรอ ยังไงก็เข้ามาก่อนเถอะจ๊ะ”
เธอเข้ามาจูงมือฉันและลากไป กะจะขัดแต่ก็ไม่มีแรงพออยู่บ้านหลังนี้
ถ้าเป็นปกติจะสะบัดมืออกก็ไม่ยาก แต่ตอนนี้ไม่กล้า ตอนอยู่บ้านหลังนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนที่มีแค่ความโกรธ ตอนนี้มันมีแต่ความกลัวแล้วก็..รู้สึกผิดต่อแม่ลูกคู่นี้ที่ใจดีกับฉัน
ฉันจึงปล่อยให้เธอลากไปจนถึงห้องอาหาร
..ไม่พบว่ามีใครเลย
เหมือนว่าจะไม่อยู่
“อ่าว สงสัยนอนอยู่ในห้อง ต้องรีบไปปลุกแล้วสิ”
“เดี่ยวก่อน”
เผลอโพล่งไปก่อนแล้ว
“คือ ..ทำข้าวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าเคียวยะอยากคุยกับพ่อเขารึไง”
“กินไปคุยไปก็ได้ แบบนั้นดูจะดีกว่าด้วย”
แค่อยากหนีให้ได้มากที่สุดนั่นแหละ ขี้ขลาดชะมัด
“อืมๆ เรื่องของบรรยากาศสินะ เข้าใจแล้วจ๊ะ เคียวยะนั่งรอก่อนนะ”
ฉันส่ายหัวปฏิเสธ
“เดี่ยวช่วยทำด้วย พอทำเป็นอยู่”
ให้นั่งเฉยๆมันยิ่งเกร็งกว่าเดิม
ฉันช่วยเธอล้างผัด หั่นเนื้อ และช่วยทำอาหาร
กลายเป็นว่าหล่อนทำน้อยกว่าที่ฉันทำอีก เพราะฉันทำได้ดีกว่าทั้งหมด
ความรู้สึกเหนือกว่านี่มัน ..ไม่สิ
ถึงโดนแย่งหน้าที่ทำอาหารไปซะส่วนมาก เธอก็ยังมีความสุขดี
แค่ได้ทำอาหารให้คนที่รักกิน ไม่ว่าจะต่ำหรือสูงกว่าก็พอแล้ว มันควรเป็นอย่างนั้น แต่ที่ฉันคิดมันคือการทำให้ตัวเองสูงกว่า เพื่อละลายความกลัวในตอนนี้สักนิด ..แค่ทำอาหารก็คิดขนาดนี้ บัดซบ เป็นเพราะดวงตามหาปราชญ์มันช่วยคำนวณเวลาคิดแน่ๆ แม่งเอ้ย
ความรู้สึกเพิ่มขึ้นขณะทำอาหาร ..
“เคียวยะนี่ทำได้หลายอย่างเลยนะ ถ้ามาอยู่ที่บ้านด้วยน่าจะช่วยกันได้เยอะเลย”
ไม่อยากอยู่หรอก
“..ไม่อยากอยู่เหรอจ๊ะ”
หล่อนอ่านสีหน้าฉันได้ง่ายๆ ทำไมกัน—เผลอชักสีหน้าสินะ
“ไว้ว่างๆจะมา”
“เหรอจ๊ะ”
..
“เกร็งจริงๆสินะ?”
“ไม่ได้ ..อือ..ก็เกร็งแหละ”
โกหกไปก็โดนอ่านออกหมดแล้วเวลานี้ สกิลการอ่านความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้มันดูถูกไม่ได้เลย
“ไม่เห็นต้องเกร็งเลยนี่ แค่มาเยี่ยมที่บ้านเอง”
เป็นเธอก็พูดได้สิ
“แม่ก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไม เธออาจคิดว่า–คนไม่เจอก็พูดได้สิ ล่ะมั้ง”
เอาอีกแล้ว ทำไมถึงรู้อีกแล้วล่ะ อย่าบอกนะว่ายัยนี่ก็มีดวงตามหาปราชญ์น่ะ-ไม่มีทาง แล้วทำไมเล่า
“แต่เคียวยะ แม่และริริ ไม่ได้มองเธออย่างนั้นหรอกนะ”
..
“แค่กับแม่ก็ได้ ไม่เห็นต้องเกร็งเลย”
นั่นสินะ เธอไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ที่ฉันเกร็งคือบ้านหลังนี้มันมอบความกลัวให้กับฉัน และเป้าหมายของฉันคือชนะความกลัวนั่น ..จะไม่ให้เกร็งได้ยังไง ถ้ามองบ้านนี้เป็นบอสที่ต้องเคลียร์น่ะ
แต่นั่นสินะ
อย่างน้อยก็ทำตัวให้สบายๆเวลาอยู่กับเธอดีกว่า เธอไม่ใช่คนที่จะทำร้ายฉันได้หรอก
เพราะเธอเป็น ‘แม่’ ล่ะนะ
“เข้าใจแล้วครับ”
“อืม ฝากแกะใบนี่ทีนะ”
“อ่า”
หล่อนพยักหน้ารัวๆแล้วหันไปตะโกน
“ริริมาช่วยด้วยสิ อย่าเอาแต่นอน!!”
ริริน่าจะนอนอยู่ในห้องล่ะมั้ง
“เดี่ยวไปตาม”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แม่พูดไปอย่างนั้นแหละ”
“ไม่เข้าใจเลย”
“ก็ถ้าพูดแบบนี้ ต่อให้ไม่มาก็ไม่เป็นไรหรอก มันดูเหมือนแม่ลูกดีนี่ กับคนแบบริริที่เอาแต่นอนต้องแอบหาเรื่องใช้บ่อยๆเข้านะ”
ทำเป็นพูดเสียงใส..น่ารำคาญชะมัด อยู่บ้านหลังนี้ฉันมีโดนใช้ทั้งวันแน่ ให้ตายก็ไม่ขออยู่หรอก
“จะว่าไปเคียวยะกับริริมาเจอกันสองคนบ่อยอยู่เหรอจ๊ะ”
“พักหลังๆยัยนี่ชอบมาให้ติวหนังสือให้น่ะ ว่าตามตรงก็ไม่ได้มาเองบ่อยหรอก สองอาทิตย์ครั้งได้ แต่พวกเพื่อนของยัยริริชอบลากหล่อนมาให้ฉันติวให้ด้วย กลายเป็นว่ามาหากันอาทิตย์ล่ะสามครั้งสี่ครั้งเลย”
แอบน่ารำคาญนิดหน่อย เพราะรบกวนเวลาชีวิตเอาเรื่อง มีบางคนที่ขอติดต่อ ขอนัดมาคุยกันเล่นๆด้วยแต่ก็ปฎิเสธไปหมด ถ้าไม่ใช่ริริไม่คิดจะคุยด้วยหรอก
“แหม่ เนิ้อหอมจังนะเคียวยะ ช่วงนี้เริ่มเนื้อหอมแล้วสินะเนี่ย เมื่อตะกี้หนูไอริสก็ดูจะ..เคียวยะด้วยแหน่ะ”
“แหน่ะด้วยบ้าอะไรครับ พวกเราแค่คุยกันเฉยๆ เล่นไปทักหล่อนแบบนั้นก็มีงงเป็นปกติ” ฉันถอนหายใจ “อีกอย่าง เนื้อหอมบ้าอะไรกัน”
“เป็นถึงหนึ่งในสมาชิกรักษาระเบียบประจำวิทยาลัยเรดฮอตเลยนะจ๊ะ แล้วยังเป็นนักเรียนทุนอีก สนิทกับแก็งหนุ่มหล่อประจำวิทยาลัยด้วย สำหรับผู้หญิงก็คงเผลอเหลียวโดยไม่รู้ตัวแหละจ๊ะ”
แก็งหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน? ไม่ยักจะรู้เรื่องเลย ว่าแต่รอบตัวตูนี่เรียกว่าหล่อได้จริงดิ? มีแต่พวกพิลึกแท้ๆ
“ฟังจากริริ เห็นว่าเคียวยะกลายเป็นดาวประจำโรงเรียนเลยนะ เด็กโรงเรียนปกติรอบๆพากันพูดถึงเยอะจะตาย สาวๆจากโรงเรียนข้างเคียงขอให้ริริแนะนำเคียวยะให้เยอะมากเลยน้า”
“หา? ถ้ามาจริงจะเตะกลับไปให้หมดเลยคอยดู”
“แต่ริริช่วยเป็นไม้กันหมาให้หมดแล้วล่ะจ๊ะ เพราะกลัวว่าเคียวยะจะมีเรื่องกับสาวๆที่มาหาน่ะ”
“ลางสังหรณ์ดีใช้ได้”
เรื่องที่ตัวเองเนื้อหอมก็พอรู้อยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ..เพราะเริ่มออกกำลังกาย ร่างเลยเริ่มมีน้ำมีนวล มีกล้ามเนื้อสินะ ถึงพอดูดีบ้าง ต่างกับแต่ก่อนที่เหมือนคนเมายา
ว่าแต่ตอนนี้สามตรึมสินะตัวฉัน ..หะ หึ! จะยังไงก็ช่าง ชีวิตนี้ไม่คิดผูกมัดกับใครหรอก
“ดูหน้าละลื่นขึ้นมาเลยน้า”
“เข้าใจผิดแล้ว”
“เหรอจ๊ะ ..โอ๊ะ ริริมาสักที”
ริริมาในชุดนอดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมากๆ
ใส่แบบนั้นได้ที่ไหน–หัวโบราณไปหน่อย แต่ในฐานะพี่ชายต้องเตือนล่ะมั้ง
“ใส่สั้นแบบนั้นไม่ดีนะ”
“ช่างเถอะน่า ใส่อยู่บ้านไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ถ้ามีแขกมาจะทำยังไงล่ะ”
ริริถอนหายใจเอือกใหญ่
“ขี้บ่นจริง ขนาดแม่ยังไม่ว่าอะไรเลย”
“ก็ใส่แบบนี้มันสบายจริงนี่จ๊ะ”
ทั้งแม่ทั้งลูกเลยให้ตายสิ แม่ลูกคู่นี้
“แต่มีเคียวยะคอยเบรคก็ดีแล้วแหละจ๊ะ”
“เอาแบบพอดีๆนะพี่ บ่นมากมันน่าเบื่อ” ริริหายใจขึ้นจมูก “ไม่เข้าใจเลยว่าพวกผู้หญิงชอบพี่ไปได้ไง นิสัยขี้บ่นแท้ๆอย่างกับแม่ มีดีแค่หน้าตากับความฉลาดแค่นี้แหละ พออธิบายความน่ารำคาญไปได้ก็ทำเป็นกรี๊ด บอกอยากได้แฟนทรงแม่แบบนั้นจัง ชีวิตน่าจะอบอุ่นน่าดู–ไม่เจอกับตัวไม่รู้กันหรอก”
ตูบ่นแค่เรื่องเดียวแท้ๆ ดันร่ายซะยาว ว่าคนอื่นขี้บ่น ตัวเองก็ไม่แพ้กันล่ะว่ะ
“ในแก็งพี่ ถ้าให้เลือก หนูเลือกพี่เรย์ดีกว่า”
“ถ้าฉันมีดีแค่หน้าตากับความฉลาด ไอ้หมอนั่นก็มีดีแค่หน้าตานั่นแหละ”
เก่งดาบก็จริง แต่ไม่มีทางพูดด้านดีให้ริริฟังหรอก เพราะมีแนวโน้มว่าจะอันตรายในอนาคตในหลายๆความหมาย
“นั้นพี่เรเซอร์”
“เจ้าบ้านั่นมีคนจองไว้แล้วสามคนได้”
เมดไม่ทราบชื่อสองคน แล้วก็เบลลามี
ริริทำหน้าแหยงใส่
“พวกไม่รู้จักพอสินะ สมกับเป็นขุนนาง นั้นหนูเลือกพี่เรย์แหละ แนะนำให้รู้จักทีสิ”
“ฝันไปเถอะ”
ไม่ยกน้องสาวให้ไอ้เบื้อกนั่นหรอก
ริริก็ไม่ได้จริงจังอะไรเลยหยุดทักท้วงอะไรต่อ
“ว่าแต่แก็งฉันมีใครบ้างเนี่ย”
“ก็มีพี่ แล้วคนชื่อเรย์กับเรเซอร์ เป็นหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆโรงเรียนหนู จริงๆมีอีกคนนะ จำชื่อไม่ได้เหมือนกันเพราะดูจืดๆ แล้วก็อีกคนที่ดูนักเลงๆหน่อย แต่อีกสองคนหลังไม่ได้อยู่กลุ่มหนุ่มหล่อ เลยไม่นิยมเท่าไหร่น่ะ”
ยูจิเนี่ยนะจืด? กอรี่นี่ก็ตามสภาพมันไป
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฝากไปบอกพวกวัยรุ่นด้วยล่ะกันว่าฉันไม่คิดมีใคร รีบๆตัดใจกันซะเถอะ”
“หล่อตายแหละ”
ก็หล่อจริงไม่ใช่เรอะ …
หลังจากนั้นก็คุยเรื่องไร้สาระกันไปเรื่อยๆจนไม่นานก็เตรียมอาหารไว้พร้อม
มีข้าวผัดปริมาณสำหรับสี่คน และไก่ถอดประมาณสิบชิ้น
ริริลงไปนั่งรอกินข้าวแล้ว เหลือแค่ ..ไอ้แก่นั่น
“ริริตามพ่อให้ทีสิ”
“แม่ไม่ไปตามเองล่ะ”
“แม่เหนื่อยแล้วอ่ะ”
ริริทำเป็น เชอะ แล้วลุกขึ้นไปตามอย่างที่ขอไว้
….
….กำลังมา
ความกลัวเข้าครอบนำจิตใจอีกครั้ง ตอนนี้ฉันเอาแต่ก้มหน้าหนีความจริง คิดแต่ว่าไม่น่ามาเลย ว่าแล้วเชียว คิดผิดจริงๆด้วย
ต่อให้กับแม่และริริฉันจะไม่กลัว แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ไหวอยู่ดี ..มาแล้ว
ริริลงมานั่ง พร้อมกับพ่อ
ฉันหลบหน้า ไม่พูดอะไร ไม่ทักทายอะไรทั้งนั้น แม่และริริเห็นก็พยายามจะแนะนำ แต่ก็หยุดไปก่อน
อาจจะไม่กล้าเหมือนกันก็ได้ เพราะบรรยากาศแย่สุดๆ
หมอนั่น..ไม่ทักฉัน ตักข้าวเข้าปากเลย ..ฉันก็เหมือนกัน
มีแค่ฉันและพ่อที่กินข้าว ..กินเร็วมาก และแปปเดียวก็ติดคอกันทั้งคู่
“อึก! นะ น้ำที น้ำที!”
ไอ้บ้านั่นร้องใหญ่เลยเห็นแล้วก็สะใจ
“ขอน้ำด้วย!”
ไอ้ฉันก็เหมือนกัน ติดข้าวแล้วติดคอเฉยเลย
แม่และริริพากันหัวเราะพร้อมๆกัน
“โตป่านนี้แล้วนะคะคุณ”
“เกร็งไปแล้วพี่”
พวกเราถูกช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ..พอกินน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังเงียบใส่กันอยู่ดี
หนีไปซะตอนนี้เลยดีมั้ยนะ
ฉันทำก่อนจะคิดซะอีก
ฉันลุกขึ้นและขณะที่กำลังจะหันกลังกลับโดยไม่มองหน้าเจ้าตัวสักครั้ง ..หมอนั่นก็เริ่มบทสนทนาเป็นคนแรก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เคียวยะ”
..ฉันยังหลบหน้า ไม่จ้องหน้า คงเพราะไม่ว่ายังไงก็กลัวอยู่ดี
“อ่า ..จริงๆ..ไม่เจอกันน่าจะดีกว่า”
เอาอีกแล้ว ทำทีพูดหาเรื่องอีกแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ได้ว่าอะไรเลยแท้ๆ
..นี่เราไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยสินะ
“นี่แก..คิดอย่างนั้น..เหรอ”
ไม่ได้มีแค่ฉันที่เสียงแผ่วไป หมอนั่นคงรู้สึกไม่ต่างกับฉัน แต่ปกติ ฉันพูดแค่นี้ก็ควรทะเลาะกันแล้ว แต่ยังไม่ทะเลาะอีก เพราะอีกฝ่ายไม่เอาเรื่อง
มีแต่ฉันที่หยุดอยู่กับที่สินะ ไม่ชอบเลยนะ
ฉันกลับไปนั่งที่เดิม และเงยหน้ามองหมอนั่นที่นั่งตรงข้ามฉัน
ไม่ได้แก่จากเดิมเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคือดูใจดีขึ้น
“เหมือนกัน”
“เหรอ”
หน้าแบบนั้น ไม่ใช่หน้าเดียวกับคนที่ทำร้ายฉัน เพราะอย่างนั้นไม่เห็นจะต้องกลัวไปเลย ที่แห่งนี้ ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรฉันได้
ไม่ใช่เพราะฉันแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะไม่มีใครคิดจะทำ
คำด่าต่างๆมากมาย เป็นเพียงอดีตที่ฉันทิ้งมันไปแล้วตั้งแต่ที่เจ้าบ้าสองตัวช่วยฉันไว้ ..อย่างนั้นแหละ เอาตามนี้
เวลาเปลี่ยน อะไรๆก็เปลี่ยน บางทีความรู้สึกเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันก็หายได้ง่ายๆเพียงแค่มองหน้ากันดีๆนั่นแหละ
ฉันไม่จำเป็นต้องชนะ ไม่ต้องมาเพื่อสู้ เพราะศัตรูไม่มีอีกแล้ว
“ยังแข็งแรงดีก็ดีแล้วล่ะ”