เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 103: จบไปอีกหนึ่งเรื่อง
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 103: จบไปอีกหนึ่งเรื่อง
< < 84 > >
ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก …
หลังจากเสร็จธุระกับอัลเบโด้พวกเราก็ออกมานอกระเบียงบนประสาท จากตรงนี้ไปข้างล่างน่าจะห่างกับหลายกิโลเมตรอยู่
แต่อีกไม่นานตัวประสาทก็จะร่วงลงพื้นแล้ว ถ้าเกิดอัลเบโด้คิดจะตายไปพร้อมๆกับประสาท พวกเรายิ่งจำเป็นต้องรีบลงจากประสาทโดยด่วน เพราะทั้งแรงกระแทกและแรงระเบิดจากประสาทย้อนหลัง มันรุนแรงมากระดับทำให้เมืองทั้งเมืองวับหายไปได้เลย
ต้องรีบหนี ทว่าผมกับยูจิก็ยังยืนอยู่บนระเบียงเพราะต้องรอหนิงที่คุยกับอัลเบโด้อยู่
ยูจิมองทิวทัศน์ข้างนอก ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างเศร้าใจ
“เละหมดเลยนะครับ”
“น่าภูมิใจสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะ อายุแค่สิบหกสิบเจ็ดกัน แต่ก็ส่งประสาทของราชาเฮงซวยนี่ลงพื้นโลกได้เนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมหัวเราะร่า ต่างกับยูจิที่ดูซึมๆ
ที่ทำไม่ต่างอะไรกับการประกาศว่าตูข้าเทพเลย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็มากพอจะอวดตัวเองเช่นนั้น สามารถเอาไปโม้ให้พวกนักรบบ้าเลือดฟังได้เป็นสิบๆปีเลยล่ะ ประมาณว่า ‘ครั้งหนึ่งข้าและสหายเคยส่งประสาทเทล่าเทลจมลงพื้นโลกล่ะ’ ไรงี้
ถ้าผมเอาไปโม้ให้เพื่อนร่วมปาร์ตี้ในทวีปแซร์อิซฟัง เจ้าพวกนั้นน่าจะพากันโยนผมขึ้นฟ้าแล้วเลี้ยงฉลองเหล้าผมยกใหญ่แล้วล่ะ
ไม่เห็นต้องเศร้าไปเลย
ยูจิพิงระเบียงและมองขึ้นไปบนฟ้า เหมือนคิดหลายๆเรื่องทั้งๆที่พึ่งจบเรื่องนี้
สมกับเป็นพระเอก หาเรื่องใส่หัวเยอะเกินไปล่ะ
“ผมบอกราชาอัลเบโด้ไปว่าผมเกลียดความรุนแรง ..แต่ที่ผมทำมันก็เหมือนกันนั่นแหละ สุดท้ายก็ใช้ความรุนแรงในการช่วงชิงสิ่งที่ต้องการ” ยูจิถอนหายใจ “บางทีนะครับ เนื้อแท้ของการกระทำของผม มันไม่ต่างอะไรกับราชาอัลเบโด้ที่ผมโกรธเลย ก็แค่เอาสิ่งที่ต้องการมาไว้กับตัวเอง และผลักสิ่งที่ไม่ต้องการออก โดยการใช้ความรุนแรงนั่นแหละ”
จะมองอย่างนั้นก็ได้ แต่..
“แล้วมันแปลกยังไง? จะบอกว่าที่ช่วยหนิงนี่คือผิดเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ แค่..วิธีการที่ใช้ มันไม่ต่างกับคนที่พวกเราเกลียดชังเลย”
“นั่นสินะ ก็จริงอย่างที่ว่า แต่ว่านา ที่เจอมันปัญหาทางโครงสร้าง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เร็วๆหรอก หรือถ้าสายเลือดของหนิงต้องติดอยู่ที่ประสาทเทล่าเทลไปตลอด บางทีปัญหานี้อาจจะไม่มีวันได้แก้ เพราะมันคือหน้าที่ของสายเลือดฟัฟนิร์ไงล่ะ ..โลกนี้มีคนมากมายที่ต้องถูกผูกมัดกับหน้าที่ตั้งแต่เกิด ไม่ได้มีแค่หนิงหรอก มีอีกหลายคน อย่างน้อยๆคนใกล้ตัวฉันก็มีแล้วเกินห้าคน” ผมพูดต่อ “อาจดูโหดร้ายไปหน่อย แต่สำหรับโลกนี้ ความรุนแรงคือทางออกล่ะนะ”
ไม่เหมือนกับโลกเก่าผม ที่โลกเก่าอาจมีหลายประเทศที่ห่วยแตกก็จริง แต่หลายประเทศก็มีสิ่งที่โลกนี้ขาดไปมหาศาล มีสิ่งที่ดีกว่ามากมาย
ก็จริงที่หลายคน ทันทีที่เกิดมาก็ถูกผูกมัดกับภาระหน้าที่เลย ไม่ต่างกับหนิง แต่คนพวกนั้นเลือกที่จะผลักทุกอย่างออกไปได้หรือสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้เรื่อยๆ เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนแล้ว คนที่ถูกผูกมัดกับหน้าที่น่ะมีน้อยกว่า
นั่นเป็นเพราะทุกคนเกิดมามีอิสระขั้นพื้นฐานล่ะมั้ง ความรุนแรงทำอะไรไม่ได้ เพราะมันผิดกฎของโลก ต่างกับโลกนี้
ในโลกนิยายสุดแฟนตาซีในฝันแห่งนี้ พลังอำนาจคือที่มาของอิสระ ความรุนแรงคือทางออกของปัญหาซะส่วนมาก
ตั้งแต่เนื้อเรื่องในนิยาย หรือสิ่งที่ตัวผมเจอ ณ ปัจจุบัน ทุกปัญหาผมก็ต้องใช้ความรุนแรงในการต่อกร ..เรื่องที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาน่ะ มันเรื่องหลังจากนี้อีกเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาอ้างอ่ะนะ
เพราะทุกคนเอาแต่คิดแบบเดียวกับผม และปล่อยปัญหาไว้มันเลยนไม่มีทางจบ ก็จริงว่ามันต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี ทว่า ถ้าไม่มีก้าวแรกมันก็ไม่มีก้าวที่สอง
“หลังจบการศึกษา”
หลังจบเรื่องราวบนหน้านิยาย
“ฉันก็อาจจะทำงานที่ให้ประโยชน์กับสังคม ทำงานในองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนให้โลกไปทางที่ดีขึ้นน่ะนะ”
“เป็นเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมมากครับ”
ยูจิกำหมัดพยักหน้าพึมพำเห็นด้วยอย่างน่ารัก ทั้งหมดมีแต่ใจจริง ถ้ามีคนบอกว่ายูจิเข้าด้านมืดผมไม่มีทางเชื่อแน่ เพราะเจ้าตัวดูบริสุทธิ์ซะตั้งขนาดนี้
“ลำพังฉันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แน่ แต่บนโลกนี้มีคนที่คิดแบบเดียวกับฉันอีกเยอะ แล้วก็ไม่สามารถแก้ได้ภายในร้อยปีแน่ แต่คนที่คิดแบบเดียวกันจะสืบทอดแนวคิดต่อๆกันไปเรื่อยๆ ..ในสักวัน โลกนี้อาจจะดีขึ้นสักนิดก็ได้”
ตั้งแต่มาโลกนี้ก็แอบคิดถึงโลกเก่าอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะศิลปะการชกมวยเพื่อแข่งขันที่ไม่ได้มีไว้เพื่อฆ่ากันแบบในโลกนี้
“ความฝันเล็กๆของฉันคืออยากเห็นมวยเพื่อศิลปะน่ะ”
“วิชาต่อสู้กับศิลปะหรือครับ? ประมาณนักดาบสินะครับ น่าสนใจนะครับ แต่หมัดนี่มัน..”
บนโลกนี้การใช้หมัดน่าจะป่าเถื่อนไม่น้อยเลย ต่างกับดาบที่มีความสวยงามอยู่บ้าง ถึงมันจะมีไว้ฆ่าคนเหมือนๆกันก็เหอะ
“เพราะยังไม่เป็นจริงเลยเป็นความฝันไงล่ะ”
“ถ้าเป็นคุณเรเซอร์ ต้องทำได้แน่ครับ”
ผมกอดอกพยักหน้ากับตัวเอง ขณะที่ยูจิยืนยิ้มอย่างเป็นกันเอง
ตัวร้ายคุยกับพระเอกแบบสนิทสนมขนาดนี้เนี่ยใช้ไม่ได้เลยเนอะ
“นายอยากให้อาณาจักร ไม่สิ ..อยากให้โลกนี้ดีขึ้นสินะ”
ยูจิพยักหน้าให้
“ไม่ได้ฝันไว้ว่าจะเป็นนักพัฒนาอุปกรณ์เวทย์หรือไง?”
..ยูจิเงียบไป ดูอ้ำๆอึ้งๆนิดหน่อย แต่ก็กลับมายิ้มให้ได้
“ทำควบไปก็ได้นี่ครับ”
นั่นสินะ สำหรับตอนนี้ก็ประมาณนี้
“..อ๊ะ มาสักที”
คุยกันได้พักหนึ่ง หนิงก็โผล่มาแล้ว
หล่อนมาในสภาพที่..ตาแดงเลย ร้องไห้มาแหงๆ
อา ถ้าชักถามขึ้นมาโดนดุใส่แน่ นั้นเงียบไว้ดีกว่า
แต่ยูจิหาได้เข้าใจ เจ้าตัววิ่งไปหาหนิงด้วยความเป็นห่วง
“โดนราชาอัลเบโด้ทำร้ายเข้าเหรอครับ”
เอ่อ ยูจิครับ ยูจิ! ตามันไม่ได้แดงอย่างน้านนนนน!!
หนิงใช้นิ้วแตะตาตัวเองและหัวเราะเบาๆ
“นี่เหรอ แค่ฝุ่นเข้าตาน่ะ”
แค่ฝุ่นมันเข้าตาสินะ ทำเอานึกถึงเพลงสมัยก่อนเลย
“เหรอครับ ไม่เป็นไรครับนะครับ เดินไหวรึเปล่าครับ ให้ช่วยพยุงได้นะ”
หนิงจ้องยูจิที่พยายามดูแลแบบเอาเป็นเอาตาย ..ให้เดาคงเผลอคิดขึ้นมาในใจว่า ‘เขาแอบชอบฉันแน่เลย’ แหงๆ
เหอะ! แต่เสียใจด้วย สำหรับตอนนี้ยูจิไม่มีอารมณ์ความรักกับใครทั้งนั้นหรอก หล่อนแค่คิดเองเออเอง แค่มโนเพ้อเจ้อไปเอง เหมือนหนุ่งซิงที่โดนผู้หญิงชวนคุยหน่อยใจก็ไปแล้ว แต่หล่อนเป็นผู้หญิง คงกรณีเดียวกับสาวจิ้นที่โดนผู้ชายชวนคุยด้วยสามครั้งในวันเดียวแล้วใจไปล่ะมั้ง ประมาณนี้เลย เป็นแค่ยัยขี้มโนอย่าหวังว่าจะได้ตัวยูจิไปคนเดียวเชียวนะ นังหนิง
ผมหัวเราะพึมพำคนเดียว ดูไม่เป็นมิตรสุดๆ ซึ่งหนิงน่าจะจับสัมผัสไม่เป็นมิตรได้เลยส่งสายตาเหมือนแมวขู่หมามา
ยูจิทำหน้าเหมือนสองคนนี้เอาอีกแล้ว(ทะเลาะ)อย่างหน่ายใจ
“คิดอะไรไม่ดีอยู่สินะ”
“แค่โดนเขาเทคแคร์หน่อยก็คิดไปว่าเขาหลงตัวเองแหงๆแล้ว ยัยสาวจิ้นเอ้ย อย่ามโนไปหน่อยเลย!!”
พูดออกไปแม่งตรงๆนี้แหละ!
“ว้ะ ระ รู้ได้ไง ว่าแต่แก ปากเสียเป็นบ้า!”
“หนวกหูน่า อย่าคิดว่าจะได้ยูจิไปคนเดียวนาเฟ้ย ยูจิเป็นของกลางเฟ้ย! แค่ถูกช่วยนิดๆหน่อยๆอย่าทำเป็นได้ใจไป ถ้าเดี๊ยนเจอแบบหล่อน ยูจิเขาก็มาช่วยเดี๊ยนเหมือนกันแหละ!”
หนิงโมโหสุดขีดและแหกปากออกมา
“ของฉันต่างหาก!!!!!”
ตะ…ตายแล้ว ตะโกนอะไรอย่างนั้น
หนิงพึ่งรู้ตัวว่าตะโกนอะไรไป แถมเจ้าตัวที่บอกว่าเป็นของฉันก็อยู่ข้างๆด้วย ..ยูจิจ้องหน้าหนิงด้วยแววตาใส่ซื่อบริสุทธิ์ ก่อนจะเอ๊ะใจได้
“นั่นสินะครับ ผมเป็นของคุณหนิงจริงๆนั่นแหละครับ”
การตอบกันสุดเซอร์วิสนั่นมันอะไรฟร้ะ ..
“เยสสสสสส!!!!!”
หนิงลงไปโพสต์ท่าดีใจนักฟุตบอลกับพื้น ทำท่าสไลด์พื้นล่ะ ส่วนผมก็กลายเป็นนางร้ายขี้อิจฉาในพริบตาเดียว
“เป็นของคุณเรเซอร์ด้วยครับ”
“ยูจิคนหลายใจ!”
ผมทำแอ๊บเสียงตะโกนอย่างเขินอาย ส่วนหนิงก็หน้าทิ่มพื้นทันทีทันใด สภาพเหมือนนักฟุตบอลที่เตะประตูเข้าแล้วตรวจจับได้ว่าล้ำหน้า
“..นั่นสินะ..ยูจิน่ะเนื้อหอม..จะมีเพิ่มมาสักคนสองคนก็ไม่แปลก การมีคนรักหลายคนไม่ใช่เรื่องที่ผิดด้วย แต่..ถ้ามีแม่ฆ่าไม่เลี้ยงแน่”
จิตสังหารพวยพุ่งมาจากหนิงเต็มที่ ยัยนี่เวลานี้ดูอันตรายสุดๆ ทำเอาผมแอบตัวสั่นเลย
ยูจิมองพวกเราสองคน และยิ้มให้
“ผมเป็นของทุกคน ..เป็น ‘เพื่อน’ ของทุกคนครับ ฮิฮิ” ยูจิหัวเราะอย่างน่ารักน่าชัง
เฟรนโซนล่ะ
หนิงหน้าทิ่มพื้นอีกรอบ จู่ๆก็ลื่นเองเลย ส่วนผมก็พอใจกับสถานะนี้อยู่แล้วเลยยืนหัวเราะเยาะหนิง
“หวังอะไรลมๆแล้งๆ” ผมหยักไหล่ “ปะ ไปกันเถอะ เดี่ยวต้องไปตามเอเธอร์ที่เล่นสนุกกับคาลอสอยู่ด้วย”
ไม่รู้ฝั่งนั้นฆ่ากันตายหรือยังนะ อย่างน้อยก็ขอเก็บกู้เกราะอิจิสไปคืนอัลเบโด้ล่ะกัน
“นั่นสินะครับ ทางคุณคาลอส..”
“คาลอสสู้กับเอเธอร์อยู่เหรอ”
“อ่า ไม่รู้ว่าเป็นยังไงกับบ้างนะ”
หนิงพยักหน้ารับ และกำลังจะทำท่าโดดจากประสาท ดีที่ก่อนโดมีหันมาบอกก่อน
“เดี่ยวโดดตามกันมาเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว จะว่าไปยูจิกลัวความสูงสินะ”
ผมถามยูจิก่อนตกลงโดดกัน
“ก็..ครับ”
“จับมือหนิงไว้ล่ะกัน”
หน้าหนิงพลันแดงก่ำ หล่อนมองซ้ายทีขวาทีอย่างลกๆ
“จะ จับมือ จับมือเนี่ยนะ!?”
“เออสิ หยุดบ่นแล้วรีบโดดได้แล้ว ทางตูไม่ได้ว่างหรอกนะ”
“รู้แล้วน่า!”
หนิงคว้ามือยูจิไว้และโดดลงไป ผมเห็นก็โดดตามหลังมาติดๆ
“อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!”
ยูจิร้องลั่น สภาพตัวเองที่ลอยแบบไม่มีอะไรกั้นนี่หลอนสุดๆ
ผมเองก็ใจสั่นนิดหน่อย แค่นิดหน่อยน่ะนะ แต่มั่นใจว่ามีหนิงคอยช่วยอยู่แล้ว
พวกเราดิ่งพสุธา และได้รับเพลิงที่อบอุ่นของหนิงห่อหุ่มไว้ทันทีที่จะถึงพื้น ไม่มีความเสียหายย้อนหลังใดๆตามมาทั้งนั้น เพราะพลังมหามังกรอย่างการเผามานา
ช่างน่ายินดี
ผมกระโดดลงพื้นถึงคนแรก ตามมาด้วยหนิงและยูจิที่ขาสั่นอย่างกับลูกกวางพึ่งเกิด
“เอาล่ะ คาลอส คาลอส คาลอ..เอาจริงดิ”
เห็นคาลอสแล้วแต่ภาพที่เห็นมันชวนหดหู่ใจพิลึก
ก็คาลอสตอนนี้ร่างท่วมไปด้วยเลือด จากเกราะสีขาวแวววับ ตอนนี้กลายเป็นเกราะสีเลือดที่มาจากเลือดสดๆแล้วล่ะ
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังผลักกันรุกรับไปมาอยู่ โดยที่เอเธอร์ตัวไม่ได้เปื้อนแม้แต่เลือดเลย
สู้กันอะไรขนาดนั้น บ้าไปแล้วรึไงนะ
หนิงตื่นตระหนกรีบวิ่งไปหาสองคนนั้น เอเธอร์ที่สังเกตุเห็นก็ดีดตัวออกก่อน ปล่อยให้คาลอสที่สภาพเละสุดๆนอนใช้ขาชันพื้นไว้
“คาลอส!”
หนิงพุ่งไปใช้มือแตะร่างคาลอส และพยายามใช้เพลิงช่วยเยียวยาคาลอส ทว่าไม่เป็นผล ไม่มีผลรักษาใดๆทั้งนั้นเกิดมาทั้งสิ้น
แบบนี้นี่เอง
ไม่มีทางที่หนิงจะใช้เพลิงที่มีคุณสมบัติเผามานาเพื่อรักษาคนไม่ได้ เพราะไม่มีทางนั่นแหละเลยเดาได้ไม่ยากว่าคาลอสตอนนี้สูญเสียมานาในตัวไปแล้ว
กล่าวคือร่างตอนนี้ไม่ต่างกับร่างไร้ชีวิต ที่ยังสู้ได้ต่อเป็นเพราะเกราะอิจิสล้วนๆเลย
“..ไม่จริง”
หล่อนดูจะเป็นห่วงคาลอสเล็กน้อย ก่อนหน้านี้น่าจะคุยกันได้ดีล่ะมั้ง
เอเธอร์เดินมามุงดูด้วยความสนอกสนใจ
“สนิทกันเหรอครับ”
หนิงมองเอเธอร์ด้วยแววตาอาฆาต แต่ไม่ได้ทำอะไรต่อ แค่มองโดยไม่ตอบอะไรเฉยๆ ..ยังไงเอเธอร์ก็อยู่ฝั่งเดียวกับพวกผม จะหาเรื่องโดยไม่จำเป็นก็ไม่ใช่เรื่องน่ะนะ
ถึงจะสนิทกับคาลอสระดับหนึ่ง แต่คาลอสคือศัตรู ถ้าคาลอสชนะ เอเธอร์ก็ตายแทน นี่แหละความเท่าเทียมที่เข้าใจกันได้
ผมเดินไปอยู่ข้างๆหนิง คาลอสมองหนิงและสลับมามองผม
“ลูกชาย..ของตระกูลดราแคล์รึ ..แกคงเป็นผู้สยบมหามังกร..” คาลอสสังเกตุเห็นยูจิ “มาจริงๆด้วยสินะ หึ ..ประสาทเทล่าเทลโดนกลุ่มวัยรุ่นบุกแบบนี้ ..น่าอัปยศนัก”
คาลอสหายใจแรง สภาพน่าจะสุดจะทนแล้ว ต้องชมด้วยซ้ำที่มาได้ตั้งขนาดนี้
ถ้าลำพังแค่ผมกับพวกยูจิ ผมอาจจะฆ่าได้แค่คาลอสก่อนจะแพ้ให้หนิงก็ได้ ในกรณีที่เลวร้ายถ้าโดนรุมพร้อมกันเลย ผมได้ตายโดยที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างแน่นอน
คาลอสแค่สู้กับเอเธอร์ แค่จับคู่กับสัตว์ประหลาดของโลกเลยกำลังจะตายเท่านั้น
“ถ้าไม่มีเอเธอร์ก็บุกไม่ไหวหรอกนะ”
“ไม่มีข้ออ้างสำหรับผู้แพ้ …เอาสิ รีบฆ่าฉันซะ”
“สภาพแบบนี้จะให้ซ้ำเติมอะไรอีก”
ปล่อยไปก็ตายแล้วแท้ๆ
“เหรอ ..เข้าใจแล้ว”
กล่าวจบคาลอสก็ลุกขึ้นยืนขึ้น และหันไปหาหนิง
“ท่านหนิง ..โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วย”
คาลอสยื่นจดหมายที่เปื้อนเลือดระหว่างการต่อสู้ให้
“เช่นนั้น ..ขอตัวก่อน”
คาลอสลากดาบไปกับพื้น ตรงไปที่ประสาทเทล่าเทล คาดว่าคาลอสจะช่วยหยุดประสาทเทล่าเทลไม่ให้หล่นลงพื้น
จนวินาทีสุดท้ายก็จะทำเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์แห่งนี้สินะ สมกับเป็นคาลอสดี คนที่รักอาณาจักรฟัฟนิร์ที่สุดในโลก
ไม่อยากให้คนดีๆแบบนี้ตายเลยนะ เรียกเบลลามีให้มาช่วยดีมั้ยนะ?
“คาลอสเหลือเวลาอีกเท่าไหร่เหรอ” ผมถามเอเธอร์
“ไม่เกินห้าวิหรอกครับ”
“ไม่ทันสินะ”
“ทันสิครับ”
เอเธอร์ล้วงเอาขวดสีทองจากกระเป๋าตัวเองออกมา และโยนให้คาลอส
เจ้าตัวก็รับได้ทั้งๆที่หันหลังให้ด้วยนะ
“ใช้สิครับคาลอส ถือว่าเป็นของตอบแทนที่ช่วนประลองฝีมือ”
ขวดสีทองที่ใช้ช่วยให้คาลอสรอดจากความตายได้ ดูพิลึกสุดๆ ..เห้ย
“ยะ อย่าบอกนะว่า!?”
“รู้จักโพชั่นด้วยสินะ”
“หนึ่งในของที่หายากที่สุดบนโลกเลยนะเฟ้ย ให้ของแบบนั้นไปเฉยๆนี่บ้าแล้วรึไง”
“ผมแค่ไม่อยากให้คาลอสต่ายเท่านั้น ไม่คิดว่ามันแปลกหรอกนะ”
ถ้าไม่อยากให้ตายก็จะอย่าฆ่าพี่แกตั้งแต่แรกสิเห้ย..หมอนี่ คิดบ้าอะไรอยู่ในหัวบ้างว่ะนั่น
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองส่งคาลอสที่เอาโพชั่นราดตัวเอง
เหมือนกินถั่วเซียน คาลอสกลับมาแข็งแรงและเดินตรงไปที่ประสาทเทล่าเทลอย่างแน่วแน่
“ตอนแรกก็ว่าจะให้เบลลามีช่วยรักษาคาลอสน่ะนะ แต่ไม่ทัน น่าเสียดายที่ต้องเสียโพชั่นไปตั้งหนึ่งขวด แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงมันก็จบเรื่องแล้ว ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ เคลียร์ใสๆ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจนเกิน …อ๊ะ”
รู้สึกเหมือนลืมอะไรสักอย่างไว้เลย เป็นสิ่งที่สำคัญสุดๆไม่แพ้ตัวหนิง แต่ดันลืมซะได้ พึ่งมานึกได้เอาป่านนี้
ตาย—-แล้ว นี่เราลืมไปได้ไงกัน
“มีอะไรหรือครับ ทำหน้าเหมือนลืมใครไ…เอ๊ะ”
ยูจิตัวแข็งทื่อ หนิงมองพวกผมอย่างงงๆ
“จะว่าไป ..เอ๋? หายไปคนหนึ่งรึเปล่านะ”
ตริ่งๆ ตริ่งๆ
เสียงจากเวทย์สื่อสารดังขึ้น
‘พะ พอระบุตำแหน่งได้อยู่รีบไปเถอะ’
เคียวยะเองก็น่าจะลืม ดูจากน้ำเสียงได้
‘เรายังรักษาได้อยู่นะ’
เบลลามีเตรียมตัวใช้พลังไว้แล้ว
ในที่นี้มีแค่เอเธอร์ที่ดูจะยังไม่รู้ว่าลืมอะไรไว้กัน
“ลืมของไว้หรือครับ?” เอเธอร์ถาม
“ไม่ใช่ของเฟ้ย ลืมคนไว้เลยต่างหากล่ะ!!!”
เอเธอร์ทำหน้า อ๋อ แล้วก็เอากำปั้นทุบฝ่ามือโชว์
“ในเมื่อระบุตำแหน่งได้ ให้ผมไปรับดีมั้ยครับ”
“ฝากด้วย!!!”
เหมือนว่าพวกเราจะ..ลืมเรย์ซะสนิทเลย
****
เรย์นอนอยู่ใต้เศษซากกำแพงในสภาพร่างที่บาดเจ็บสาหัส
“..กำลังเสริม..จะมากันชาติไหนฟร้ะ”
เรย์ร้องออกมาเบาหวิวเพื่อไม่ให้ทหารแถวนั้นได้ยิน …
****
โชคดีที่เอเธอร์นั้นเร็วเอามากๆ เร็วยิ่งกว่าพวกนักดาบชั้นเทพอาทิเช่นคาลอสอีก ทำให้ช่วยเรย์ไว้ได้ทัน จากตอนแรกที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังของเบลลามีแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งเบลลามีอยู่ดี
..หลังจบเรื่องนี้ ผมจะตามใจเรย์หนึ่งวัน ขอสาบานเลย