เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 460 มาเป็นเพื่อนท่านเย่งั้นหรือ ?
ตอนที่ 460 มาเป็นเพื่อนท่านเย่งั้นหรือ ?
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั่วทั้งบริเวณนี้ราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ก็มิปาน
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด เงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ เงียบถึงขนาดที่ว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
ส่วนเย่ฉางชิง
หลังจากที่เขาได้สติแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลานั้นแม้จะมิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา เพียงนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าภายในใจของเขากลับกระตุกอย่างแรง
‘ชอบบุรุษ ? ’
‘นี่ข้าเอ่ยบ้าอันใดออกไป ! ’
‘มิ ! ’
‘มิใช่ ! ’
‘มิใช่เช่นนั้นนะ ! ’
‘มิใช่แน่นอน ! ’
‘ข้าสาบานได้ว่าข้ามิได้ชอบเพศเดียวกัน ! ’
‘คนที่มีชีวิตอยู่มาสามโลกแต่มิเคยแตะเนื้อต้องตัวสตรีจริง ๆ จัง ๆ มาก่อนเลยสักครั้ง จู่ ๆ จะมาชอบเพศเดียวกันได้เยี่ยงไร ? ’
‘ข้ารับประกันได้ว่ามิใช่เช่นนั้นจริง ๆ ! ’
‘แต่เวลานี้จะอธิบายกับบรรพจารย์ท่านนี้เยี่ยงไรดี ? ’
‘ควรอธิบายดีหรือไม่ ? ’
‘เวลานี้ต้องบอกความจริงว่าเรื่องมันมิใช่เช่นนั้น’
ทว่าขณะที่เย่ฉางชิงกำลังคิดใคร่ครวญซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาแผนการเอาตัวรอดให้กับตนเอง
และในที่สุดเขาก็คิดแผนการออกแล้ว โดยมิต้องพลีร่างกายของตนเองให้นาง และสามารถปฏิเสธหนิงซู่ซู่ได้อย่างละมุนละม่อม ทั้งยังสามารถเอาชีวิตรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้อีกด้วย
นั่นก็คือ การบอกหนิงซู่ซู่กลาย ๆ ว่าตนเองมีรสนิยมที่ต่างจากคนอื่น
แต่สุดท้ายขณะที่เขากำลังตัดสินใจว่าจะบอกหนิงซู่ซู่เยี่ยงไรให้ดูละมุนละม่อม จู่ ๆ เขาก็ถูกขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
จนสุดท้ายต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดเช่นนี้แทน
ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่าในเมื่อเอ่ยปากออกไปแล้ว ตอนนี้คงมิสามารถอธิบายอันใดให้บรรพจารย์ท่านนี้ฟังได้อีก และคงต้องไหลตามน้ำต่อไป
มิเช่นนั้นบรรพจารย์ท่านนี้ จะต้องคิดว่าเขาชื่นชอบนางเป็นแน่
เช่นนี้ก็จะยิ่งอธิบายยากขึ้นไปอีก
มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า สตรีวัยสามสิบเป็นดังเช่นหมาป่า สตรีวัยสี่สิบดังเช่นเสือ สตรีวัยห้าสิบอารมณ์ฉุนเฉียว อีกทั้งยังมิรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่มานานเพียงใดแล้ว
หากเกิดอันใดขึ้นมาจริง ๆ คงมิใช่แค่ยอมพลีร่างกายเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งแรกของนางยังต้องมาเจอกับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ มิแน่ภายภาคหน้าอาจจะหันไปชอบเพศเดียวกันจริง ๆ ก็เป็นได้
ทั้งสองยังคงยืนอยู่เงียบ ๆ เช่นนั้นพักใหญ่
เย่ฉางชิงเหลือบมองหนิงซู่ซู่ที่มีสีหน้าสับสนด้วยแววตาอึดอัดใจ
“ข้า……ความจริงแล้วข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น”
เย่ฉางชิงเบนสายตาไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างลำบากใจ ด้วยน้ำเสียงที่กลืนมิเข้าคายมิออก “การที่ข้าบอกความลับนี้แก่เจ้า ก็เพื่อต้องการให้เจ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้ข้ามิได้มีเจตนามิดี และต้องขออภัยด้วย”
เอ่ยถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปทางเดิม
ทว่าเมื่อเดินไปได้มิกี่ก้าวเขาก็ได้ชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยกับหนิงซู่ซู่ขณะหันหลังให้นางว่า “อีกอย่าง……หวังว่าเจ้าจะเก็บความลับนี้ของข้าเอาไว้ด้วย”
จากนั้นเย่ฉางชิงก็เดินหายเข้าไปในไอหมอกที่หนาทึบอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้หนิงซู่ซู่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไว้เพียงลำพัง
จนเวลาผ่านไปพักใหญ่
ในที่สุดหนิงซู่ซู่ก็ได้สติอีกครั้ง
“เขา……เขาชอบ……บุรุษ”
หนิงซู่ซู่มองไปยังกลุ่มหมอกหนาทึบนั้น ท่าทางเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนพึมพำออกมาอย่างห้ามมิได้
ขณะที่นางเอ่ยคำว่า ‘ชอบบุรุษ’ ออกมา ขนทั้งกายพลันลุกชันขึ้นมาทันที
‘อาย ! ’
‘น่าอับอาย ! ’
‘ช่างน่าอับอายยิ่งนัก ! ’
‘ที่แท้ท่านเย่ก็ดูออกตั้งนานแล้ว ว่านางชื่นชอบเขา ’
‘เพียงแต่ท่านเย่หาได้ชื่นชอบในสตรีไม่’
‘อาจเพราะด้วยเจตนาดี เขาจึงมิได้ปฏิเสธนางตรง ๆ ’
‘แต่เมื่อครู่เนื่องจากเขาบังเอิญได้เพ่งกระแสจิตเข้ามาสำรวจส่วนลึกของสระศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดความเข้าใจผิด จึงจำต้องบอกความลับของเขาให้นางได้รู้’
“สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งข้าจริง ๆ ”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
หนิงซู่ซู่ก็ค่อย ๆ สงบลง อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจ “ข้า หนิงซู่ซู่ นับตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเพียรมา มิเคยเห็นบุรุษใดอยู่ในสายตามาก่อน จนเวลาผ่านมาหลายพันปีในที่สุดข้าก็เกิดหลงใหลในตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับเป็นเช่นนี้ไปได้ ช่างน่าขันสิ้นดี”
“แต่ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วข้าก็ควรตัดใจเสีย ภายภาคหน้าจะได้ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญเพียร จะได้บรรลุระดับตบะบารมีได้โดยเร็ว เพื่อตามหาโอกาสในการขึ้นไปแดนเซียนโบราณ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น หนิงซู่ซู่ก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสัมผัสได้ว่าบัดนี้จิตใจของนางกำลังเกิดการพัฒนาขึ้น
……
……
อีกด้านหนึ่ง
ชวี่เหวินเซี่ยอาศัยหยกชิ้นนั้น พาเจี้ยนอู๋เหินที่มีสภาพไร้เรี่ยวแรงกลับมาทางเดิม เพื่อมาเฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้าหุบเขานั้น
“อาจารย์อาขอรับ หากเกิดอันใดขึ้น ท่านต้องออกหน้าช่วยอธิบายให้ศิษย์ด้วยนะขอรับ ชีวิตน้อย ๆ ของศิษย์ต้องฝากเอาไว้ในมือท่านแล้วนะขอรับ”
เจี้ยนอู๋เหินที่นั่งย่อตัวลงอยู่ริมลำธาร เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ย
ได้ยินดังนั้นชวี่เหวินเซี่ยก็กลอกตามองบนทันที ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความเอือมระอา
เพราะเวลามิถึงครึ่งชั่วยาม
ศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ผู้นี้ ได้พูดประโยคนี้กับนางซ้ำไปซ้ำมานับสิบรอบเข้าไปแล้ว
นี่คืออัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานผู้นั้นจริง ๆ น่ะหรือ ?
ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ หากวันใดได้ขึ้นมาเป็นประมุขสืบทอดนิกายกระบี่สวรรค์ จะมิพบจุดจบโดยถูกสำนักเซียนอื่นครอบงำหรอกหรือ ?
นางควรจะแนะนำอาจารย์ดีหรือไม่ ว่าให้นิกายกระบี่สวรรค์เลือกศิษย์เอกคนใหม่แทน ?
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
ระหว่างที่กำลังเบื่อหน่ายอยู่นั้น ชวี่เหวินเซี่ยก็บังเอิญคิดถึงเรื่องราวตอนที่อยู่สำนักชิงหยางก่อนหน้านี้ขึ้นมา
นักพรตชิงอวิ๋นผู้โลภมาก แต่มีจิตใจที่ดีงาม
ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนที่มิได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่กลับดื้อรั้นอย่างมาก รวมถึงลู่ซานหยางที่วัน ๆ เอาแต่คุยโวโอ้อวด และคนอื่น ๆ ในสำนัก
ชั่วขณะหนึ่งแววตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองเจี้ยนอู๋เหินที่นั่งทอดถอนใจมิหยุด
นักพรตชิงอวิ๋นมีความหวังอันแกร่งกล้า และปรารถนาให้สำนักชิงหยางกลับมารุ่งโรจน์ดังเช่นในอดีต
แต่ความทะเยอทะยานของเขากลับมิได้สูงส่งอันใด เพียงหวังแค่ว่าก่อนตายจะสามารถทำให้สำนักชิงหยาง สามารถเลื่อนขึ้นเป็นสำนักอันดับสามได้ก็พอแล้ว
อีกทั้งเจ้าเด็กตรงหน้าแม้จะขี้ขลาดตาขาว แต่เยี่ยงไรซะก็เป็นศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์
หากให้เขาออกหน้าบางทีแค่คำพูดประโยคเดียว อาจจะทำให้สำนักชิงหยางถูกเลื่อนเป็นสำนักระดับสาม หรือสำนักอันดับสองก็เป็นได้
คิดถึงตรงนี้ชวี่เหวินเซี่ยก็กระแอมขึ้นมาเบา ๆ
เมื่อเจี้ยนอู๋เหินได้ยินร่างของเขาก็สะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ในทันที
“อาจารย์อา ท่านบรรพจารย์หนิงออกมาแล้วหรือขอรับ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินเมื่อมองไปรอบ ๆ แล้วมิเห็นผู้ใด จึงหันไปมองทางชวี่เหวินเซี่ย
“เสี่ยวเจี้ยน เอาเช่นนี้”
มุมปากของชวี่เหวินเซี่ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าช่วยอาจารย์อาทำสิ่งหนึ่ง แล้วอาจารย์จะรับปากเจ้ามิให้ท่านบรรพจารย์หนิงลงโทษเจ้าสถานหนัก เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”
ห๊ะ ?
เจี้ยนอู๋เหินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้แก่ชวี่เหวินเซี่ย “อาจารย์อา เชิญท่านเอ่ยมาได้เลย ศิษย์จะพยายามทำอย่างเต็มที่ขอรับ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้”
ชวี่เหวินเซี่ยพยักหน้าให้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะส่งกระแสจิตไปบอกว่า “ข้าเคยเป็นหนี้บุญคุณสำนักระดับเก้าสำนักหนึ่ง เคยรับปากเอาไว้ว่าจะให้สำนักระดับเก้าสำนักนี้ได้เลื่อนขึ้นเป็นสำนักระดับสอง”
สิ้นเสียงเจี้ยนอู๋เหินก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
‘ให้สำนักระดับเก้าเลื่อนขึ้นเป็นสำนักระดับสอง ? ’
‘แค่นี้เองหรอกหรือ ! ! ! ’
‘อาจารย์อาท่านกล่าวจริงหรือ’
‘ให้ข้าช่วยเรื่องนี้เนี่ยนะ ? ’
“อาจารย์ แค่ต้องการให้สำนักระดับเก้าสำนักหนึ่งเลื่อนขึ้นเป็นสำนักระดับสองหรือขอรับ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินเอ่ยถามอย่างมิอยากจะเชื่อ
ชวี่เหวินเซี่ยยิ้มออกมาบางๆ “เพียงเท่านี้จริง ๆ ”
เจี้ยนอู๋เหินมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบรับโดยมิลังเล “อาจารย์อา ท่านวางใจได้ศิษย์มิเพียงแต่จะให้สำนักนี้เลื่อนขึ้นเป็นสำนักอันดับสอง แต่ยังจะยกให้เป็นสำนักที่สูงที่สุดของสำนักระดับสองด้วยขอรับ”
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเคอ
หนิงซู่ซู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ก็เดินทะลุไอหมอกที่หนาทึบออกมา ก่อนจะปรากฏกายขึ้น
“คารวะอาจารย์”
“ศิษย์เจี้ยนอู๋เหินคารวะท่านบรรพจารย์หนิงขอรับ”
เมื่อเห็นหนิงซู่ซู่เดินออกมา ชวี่เหวินเซี่ยและเจี้ยนอู๋เหินก็รีบคารวะอย่างนอบน้อมในทันที
“เจี้ยนอู๋เหิน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”
หนิงซู่ซู่กวาดตามองเจี้ยนอู๋เหินที่มีท่าทางนอบน้อม ก็อดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมาเบา ๆ
เห็นเจี้ยนอู๋เหินมีท่าทีหวาดระแวง จึงมิกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมา
เป็นชวี่เหวินเซี่ยที่รีบเอ่ยอธิบายแทน “เรียนอาจารย์ เขามาเป็นเพื่อนท่านเย่เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เดินหลงเข้าไปในค่ายกลลึกลับ ศิษย์จึงพาเขาออกมารอตรงนี้เจ้าค่ะ”
มาเป็นเพื่อนท่านเย่เยี่ยงนั้นหรือ ?
หนิงซู่ซู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขนลุกชันขึ้นมาอย่างอดมิได้ พลางสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ
คุณสมบัติวิถีเซียนของเจี้ยนอู๋เหิน นางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
มิหนำซ้ำรูปลักษณ์ของเจี้ยนอู๋เหินยังหล่อเหลาอย่างมากอีกด้วย
แต่เขากลับมาเป็นเพื่อนท่านเย่ เช่นนี้จึงทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดมิน้อย
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก หนิงซู่ซู่ก็มองเจี้ยนอู๋เหินด้วยสายตารังเกียจในทันที จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เหวินเซี่ย พวกเรากลับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงหนิงซู่ซู่ก็พาชวี่เหวินเซี่ยทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว