เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 260 การแสดง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 260 การแสดง
เล่มที่ 9 ตอนที่ 260 การแสดง
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับมายังที่นั่งของตน เหล่าสตรีทั้งหมดก็กลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในงานเลี้ยงยังมีแม่นางผู้หนึ่งกำลังเล่นพิณอยู่
ในวังหลวงมีกลุ่มร่ายรำที่ใช้ในวันพิเศษอยู่แล้วเหตุใดต้องให้สตรีสูงศักดิ์มาทำเรื่องเช่นนี้ด้วยเล่า?
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปยังฝูงชนอย่างใคร่รู้ ก็เห็นเพียงฮ่องเต้กำลังถามความเห็นจากซั่งกวนเซ่าเฉิน
เมื่อสตรีสูงศักดิ์ที่เล่นพิณถอยไปก็เปลี่ยนเป็นแม่นางผู้หนึ่งเข้ามารำกระบี่แทน ยามที่สตรีผู้นี้ขึ้นมาแสดงก็มีขันทีส่งเอกสารให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ก็เห็นฮ่องเต้ถามความเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครา
“เกรงว่าหากเจ้ายังไม่กลับไปคงได้อัดอั้นตันใจจนตายจริงๆ แล้ว” คำพูดเมื่อครู่ของไท่จื่อเฟยดังขึ้นข้างหู หลิงมู่เอ๋อร์แสบจมูกอย่างไม่ทราบสาเหตุในใจมีความโกรธเคืองที่ไม่ทราบที่มาแผ่ซ่านอยู่ช้าๆ
แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีใบหน้าเย็นชาอยู่ตลอดอีกทั้งยังไม่มองไปที่เอกสารแม้แต่น้อย นางก็ยังรู้สึกถึงเปลวไฟเล็กๆ ที่ก้นบึ้งของหัวใจที่กลายเป็นลูกไฟซึ่งระเบิดออกมา
ในยามนี้หลันเชี่ยนหยิ่งบุตรีของจวนมหาเสนาบดีก็ขึ้นแสดงแล้ว
หลังจากเห็นนางเล่นพิณก็มาร่ายรำให้ทุกคนดู ร่างกายที่อ่อนช้อยดวงหน้าที่งามวิจิตรสมกับที่เป็นสตรีที่สวยที่สุดในเมืองหลวง ขมวดคิ้วหนึ่งครายิ้มหนึ่งคราก็ล้วนแต่ดึงดูดสายตาของบุรุษที่กำลังนั่งอยู่ทุกคนให้มองไปได้แล้ว
“เหอะ” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นเสียงเย็นออกมาจากจมูก หลังชำเลืองมองหลันเชี่ยนหยิ่งคราหนึ่งแม้แต่หนังตาก็คร้านจะยกขึ้นอีก
เมื่อครู่เรื่องที่เกิดในอุทยานหลวงอย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร
แม้ซุนชีชีจะถูกจับแล้วแต่หลันเชี่ยนหยิ่งผู้นี้ก็ยังพูดปลอบขวัญประโยคหนึ่ง อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องของน้องชายอันใดอีกประโยคหนึ่ง สตรีผู้นี้คิดอยากกำจัดนางจากใจ รอให้ออกจากวังหลวงก่อนเถอะนางจะได้เห็นดีกันแน่!
“เป็นอย่างที่คิดเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมซึ่งหาได้ยาก มหาเสนาบดีหลันเจ้าช่างสอนลูกสาวได้ถูกทางนัก!”
การแสดงของหลันเชี่ยนหยิ่งโดดเด่นที่สุดในการแสดงทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ล้วนชื่นชมนางซ้ำๆ
ในที่สุดมหาเสนาบดีที่ถูกทำให้เสียหน้าไปก็ถูกลูกสาวกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้บ้าง ใบหน้าชรากร้านโลกมีรอยยิ้มแขวนอยู่หลายส่วน เขาส่ายหัวพลางพูดถ่อมตัวซ้ำๆ “ฝ่าบาทชมกันเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หญิงงามเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครที่คู่ควร” ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกท่าทีราวกับเสียดายยิ่ง แต่เพียงชั่วครู่ดวงตาก็มองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉิน
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่ใช้สายตาไถ่ถามเท่านั้น ส่วนหลันเชี่ยนหยิ่งนั้นเขาถูกใจจริงๆ ถามด้วยเสียงอันดัง “ลูกข้าไม่รู้ว่ากับคุณหนูตระกูลหลันผู้นี้เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”
ถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้โดยพลัน แม้แต่มหาเสนาบดีก็มองไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขากล้ำกลืนความผิดหวังที่มีต่อเสียนหวางแล้ว ไม่อาจขายหน้าต่อองค์ชายรองได้อีก
ซั่งกวนเซ่าเฉินเงยหน้า “เสด็จพ่อถามลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ดวงตาทั้งสองข้างที่มีสีดำสนิทมองไปยังฮ่องเต้ ก่อนจะมองไปยังหลันเชี่ยนหยิ่งที่กำลังแสดงอยู่และเม้มริมฝีปาก “สวยก็นับว่าสวยแต่ในความสวยก็ยังมีข้อบกพร่อง”
เสียงนั้นเบาเป็นอย่างยิ่งแต่น้ำเสียงที่เหยียดหยามนั้น ก็บ่งบอกถึงความคิดเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว
มหาเสนาบดีที่เดิมทีคาดหวังหัวใจก็ถูกทำให้แตก ‘เพล้ง’ เป็นเสี่ยงอีกครา
ส่วนหลันเชี่ยนหยิ่งที่กำลังแสดงไหนเลยจะไม่รู้สึกราวกับถูกตีเข้าอย่างแรง
ถูกเสียนหวางปฏิเสธทั้งยังถูกองค์ชายรองปฏิเสธ ในวันนี้ชื่อเสียงของหลันเชี่ยนหยิ่งถูกทำลายอย่างสิ้นซากแล้ว!
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่ตรงข้ามมีท่าทีสบายอกสบายใจไม่รู้ร้อนรู้หนาวในใจของนางก็บังเกิดความชั่วร้ายในใจ เมื่อมองไปยังด้านข้างกลับเห็นซูเซ่อที่ตาบอดก็ยังคงมองไปยังทิศทางที่หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ นางก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา
พี่เช่อข้าจะต้องได้ท่านมาแน่นอน!
“ในความสวยก็ยังมีข้อบกพร่องได้อย่างไร จากที่เจิ้นเห็นหลันเชี่ยนหยิ่งผู้นี้ล้วนโดดเด่นในทุกด้านลูกจะไม่พิจารณาเสียหน่อยจริงหรือ? ตำหนักองค์ชายรองยังว่างเปล่ายิ่งควรจะเพิ่มสตรีที่เหมาะสมเข้าไปเสียบ้าง”
คำถามของฮ่องเต้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าเขาให้ความสำคัญกับหลันเชี่ยนหยิ่งเป็นอย่างมาก คาดหวังว่าองค์ชายรองจะสามารถรับนางไปเป็นอนุก็ยังดี
แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินไหนเลยจะยอมให้เขามาบงการ? วันนี้เขายังอารมณ์เสียที่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธ อย่าว่าแต่หลันเชี่ยนหยิ่งเลยแม้แต่เทพธิดาเขาก็ไม่สนใจ
ในแววตาฉายไปด้วยความรังเกียจ เขาวางแก้วเหล้าในมืออย่างหมดความอดทนกำลังคิดจะปฏิเสธอย่างรุนแรงอีกครา มหาเสนาบดีที่มองความตั้งใจของเขาก็ออกก็รีบชิงไปอยู่เบื้องหน้า
“กระหม่อมขอบพระทัยในความโปรดปรานของฝ่าบาทยิ่งพ่ะย่ะค่ะ เห็นทีคราวแต่งงานของเชี่ยนหยิ่งจะยังมาไม่ถึงฝ่าบาททรงมีเมตตาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่มหาเสนาบดีก็กัดฟันกรอดขมวดคิ้วแน่น หากคนตรงหน้าไม่ใช่ว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วในวันนี้ เกรงว่าเขาคงเอาศักดิ์ศรีพุ่งเข้าไปสั่งสอนคนที่ทำลายเกียรติของเขาไปแล้ว
สมควรตายนักวันนี้ศักดิ์ศรีทั้งหมดของจวนมหาเสนาบดีถูกองค์ชายรองกับเสียนหวางทำลายจนสิ้น
ลูกสาวเขาที่ก่อนหน้านี้ยังมีความภาคภูมิใจมายามนี้กลายเป็นถูกโยนทิ้งไปมาราวกับขยะ ที่สำคัญคือไม่มีใครต้องการ
แม้เหล่าขุนนางจะล้วนมีท่าทีเห็นใจเขายิ่ง แต่เบื้องหลังความเห็นใจจะมีหน้าไหนที่ไม่เย้ยหยันไม่แอบดูถูกบ้าง?
ความอับอายในวันนี้เขาจะจดจำไว้!
“เหยียแม่นางหลิงมาแล้วขอรับ”
ยามที่จื่อถงพบว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับมาแล้วก็บอกกับซูเช่อก่อนเป็นอันดับแรก
หัวใจที่เดิมทีราวกับถูกแขวนก็วางลงแล้ว เพราะต้องแสร้งทำเป็นตาบอดเขาจึงไม่อาจเปิดเผยหน้ากากได้ เป็นธรรมดาที่จะมองไม่เห็นสภาพของหลิงมู่เอ๋อร์จึงถามอย่างร้อนรน “มีบาดแผลหรือไม่? ส่งคนไปตรวจสอบให้ชัดเจนว่าหลังจากที่พวกนางแยกออกไปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เขาปฏิเสธหลันเชี่ยนหยิ่งต่อหน้าทุกคนสตรีผู้นั้นจะต้องแก้แค้นเป็นแน่ สตรีทั้งหมดล้วนกลับมาแล้วมีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ผู้เดียวที่ไม่ได้กลับมาเขาจึงยิ่งกังวล
“เรียนเหยียตรวจสอบมาชัดเจนแล้วขอรับ”
จื่อถงบอกทุกเรื่องที่ตรวจสอบมาแก่ซูเช่อหลังจากที่ได้ยินเขาก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
“ดีนี่หลันเชี่ยนหยิ่ง กล้ามากที่มาแตะต้องคนของข้า!”
ซูเช่อที่โกรธเกรี้ยวทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยไอสังหารอบอวล จื่อถงรีบโน้มตัว “เหยียมีคำสั่งหรือไม่ขอรับ?”
“เหอะ นางไม่ต้องการฐานะหรือเกียรติเช่นนั้นก็ให้ในสิ่งที่นางต้องการ” ซูเช่อโค้งริมฝีปาก
“เหยียแม่นางหลันลงมือแล้วขอรับ” จื่อถงเอาริมฝีปากไปใกล้ข้างหูซูเช่อ บอกทุกสิ่งที่ตัวเองได้ยินได้เห็นอย่างละเอียด ซูเช่อได้ยินรอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งกว้างขึ้น
“ข้ากำลังคิดว่าจะลงมืออย่างไร แต่นางกลับส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูแล้ว ในเมื่อนางอยากแสดงนักเช่นนั้นก็ต้องให้เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่เสียหน่อย”
ซูเช่อหยัดกายขึ้นทูลฮ่องเต้ว่าร่างกายไม่สู้ดีจึงอยากออกไปพักผ่อนที่ห้องโถงด้านข้าง
ฮ่องเต้ชื่นชมซูเช่อเป็นอย่างมากยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องอาการป่วยอีกจะไม่อนุญาตได้อย่างไร?
ยามที่ซูเช่อลุกขึ้นออกไปเมื่อได้ยินบางสิ่งที่จื่อถงซึ่งอยู่ข้างกายรายงานก็ถอนใจ จื่อถงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าใช้หางตาสังเกตหลันเชี่ยนหยิ่งอย่างเงียบเชียบ นางตามมาอย่างที่คาดขอรับ เหยียข้าน้อยส่งคนไปติดต่อองค์ชายเจ็ดดีหรือไม่ขอรับ?“
ซูเช่อพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรจื่อถงก็ลงมือในทันที
ในงานเลี้ยงเหล่าสตรีสูงศักดิ์ยังออกมาแสดงความสามารถ แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่สนใจผู้ใดแต่ฮ่องเต้ก็หาวิธีเลือกสนมให้องค์ชายรองอย่างโจ่งแจ้งทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สบายใจยิ่ง จึงไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าซูเช่อที่อยู่ข้างตัวและหลันเชี่ยนหยิ่งออกไปแล้ว
“น้ำท่วม ตำหนักอวี้ถิงน้ำท่วมแล้ว”
ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายทุกสายตาจึงหันไปมองข้างนอก
น้ำท่วมตำหนักไม่ใช่เรื่องเล็ก ฮ่องเต้พาหวางโฮ่วและคนอื่นๆ เร่งรุดไปที่นอกตำหนักก็เห็นว่าเฉียงกับตำหนักตรงข้ามมีควันสีเขียวค่อยๆ ลอยขึ้นมา
“ทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น!” อารมณ์ดีๆ ที่มีแต่เดิมถูกทำลายลงฮ่องเต้มีสีหน้าเดือดดาลยิ่ง
มีนายทหารผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามา “ทูลฝ่าบาทตำหนักอวี้ถิงน้ำท่วมข้าน้อยกำลังพยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลังพ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักในวังหลวงน้ำท่วมได้อย่างไร? รีบพาเจิ้นไปดูเร็ว”
ฮ่องเต้รีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางที่มีควันลอยขึ้นมาด้านหลังมีทุกคนตามมาด้วย เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดจะเข้าร่วมความคึกคักนี้ไปด้วย แต่กลับถูกเบียดเสียดจนเข้ามาปะปนในฝูงชนได้อย่างไรไม่ทราบ
เมื่อเห็นว่านางถูกเบียดจนเกือบล้มก็มีแขนแกร่งใช้แรงเกี่ยวเอวบางของนางไว้แน่น เสียงไพเราะของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
เห็นสีหน้าเป็นห่วงของซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ก็หวั่นไหวแต่ก็รีบหยัดกายขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าได้ยินเสียงอันใดหรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้วดวงตาเฉียบแหลมทั้งสองข้างมองไปรอบด้านโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกคำพูดนี้ทำให้ถามออกไป “อะไร อะไรหรือ?”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไปขวางฮ่องเต้ไว้แล้ว “ทูลเสด็จพ่อทางด้านนั้นดูเหมือนจะมีเสียงแปลกๆ เชิญเสด็จพ่อไปที่ตำหนักอวี้ถิงและให้ลูกไปดูทางนั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ในยามนี้ทุกคนกำลังผ่านข้างตำหนักพอดีซึ่งตรงข้ามคือตำหนักอวี้ถิง หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินพูดออกมาเช่นนี้ทุกคนก็หยุดฝีเท้า สถานที่ที่เดิมทีวุ่นวายก็กลายเป็นเงียบสงัดยิ่งทำให้เสียงแปลกๆ ดังมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างชัดเจน
เสียงหอบหายใจของบุรุษและของสตรี…
เพียงชั่วพริบตาทุกคนตรงนั้นก็หน้าแดงอย่างตื่นตระหนก
ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ประหลาดใจจนปิดปากไม่ลงถึงอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินจะเป็นเสียงที่คาดไม่ถึงพวกนี้
“ตำหนักจงชุ่ยหรือ?” ฮ่องเต้ชี้ไปยังที่ที่ต้นเสียงดังมา สีหน้าของเขาไม่น่าดูขึ้นมาโดยพลัน “ตรงนั้นคือที่ใด?”
บ่อยครั้งในวังหลวงการที่มีสาวใช้และองครักษ์ชอบพอกันและเจอกันเป็นการส่วนตัวก็เป็นเรื่องปกติ แต่ฟ้าสว่างเช่นนี้ทั้งยังสร้างเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครเรื่องนี้ก็ล้วนไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ง่ายๆ แล้ว
“ทูลฝ่าบาทนี่คือห้องโถงด้านข้างเพคะก่อนหน้านี้ยังไม่มีคนอยู่แต่นี่…” สีหน้าของหวางโฮ่วไม่สู้ดีนักนางใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางกำนัลโดยพลัน
นางกำนัลทั้งสองเห็นท่าทีนั้นก็เคาะประตูตรงหน้าก่อน เป็นไปตามคาดหลังจากนั้นเสียงการเคลื่อนไหวด้านในก็เงียบลงทันที
แต่เพียงครู่เดียวเสียงของสตรีด้านในก็ดังขึ้น
“อย่าหยุดทำต่อเถิดเชี่ยนหยิ่งยังต้องการอีก…”
เมื่อเสียงนี้หลุดออกมาฝูงชนที่ตามมาดูการแสดงก็ตะลึงงันไปสามวินาที ก่อนจะส่งเสียงอื้ออึงออกมาโดยพลัน
โดยเฉพาะมหาเสนาบดีที่ยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ซึ่งสีหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดไปเป็นเขียวและเปลี่ยนไปมีสีหน้าทะมึน เขาโกรธจนควันแทบออกจากบนหัวแล้ว
ยามนี้เองที่หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตว่าในฝูงชนไม่มีเงาของซูเช่อ เมื่อลองหาดูก็พบว่าไม่เห็นซูเช่อแล้ว
“อย่าขยับยามนี้ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าอวดเก่งดีกว่า” เมื่อรู้สึกได้ว่านางคิดจะไปหาซูเช่อ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จับมือของนางและใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนเตือนที่ข้างหู
“หุบปากอย่าพูด!”
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษในห้องที่ดังออกมาฟังแล้วคุ้นหูอยู่บ้าง
นางกำนัลที่เคาะประตูรีบเปิดปากพูด “ข้างในเป็นผู้ใดออกมาเสีย! หากยังไม่ออกมาอีกพวกเราจะพังประตูเข้าไป!”
ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอก ด้านในก็กลับมาเงียบเชียบอีกคราทุกคนต่างไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่มีเสียงเย้ายวนของสตรีดังขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าทิ้งเชี่ยนหยิ่งข้ายังต้องการ…อืม…”
เสียงหอบหายใจแปลกๆ รวมถึงการรั้งให้อยู่ต่ออย่างยั่วยวนหยาดเยิ้ม เสียงดังเป็นอย่างยิ่งบางทีแม้แต่ตัวนางเองก็อาจไม่รู้สึกตัว
ใบหน้าของฮ่องเต้และหวางโฮ่วไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง คนอื่นอาจจะฟังไม่รู้แต่พวกเขาทั้งสองคนเมื่อได้ยินก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นผู้ใด
“ต่ำช้าในวังหลวงยังทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเจิ้นจะไม่ปล่อยไว้แน่!”
มีรับสั่งจากฮ่องเต้นางกำนัลก็ใช้หนึ่งคนหนึ่งเท้าถีบประตูเปิดออกอย่างไร้ปรานีโดยไม่ลังเล
ผู้คนที่มาดูการแสดงก็ต่างพากันยื่นคอเข้าไปมองด้านใน เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าด้วยความลนลานออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นคนมากมายเบื้องหน้าเขาก็ตกใจขึ้นมาทันที คุกเข่าลงกับพื้นดัง ‘ตุบ’ ก่อนพูด “เสด็จพ่อโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เพิ่งพูดจบด้านหลังของเขาก็มีเงาหนึ่งกระโดดพรวดออกมา สตรีผู้นั้นเกาะอยู่บนร่างของบุรุษราวกับปลาหมึก ที่สำคัญคือนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย