เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 562 จบบริบูรณ์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 562 จบบริบูรณ์
เล่มที่ 19 ตอนที่ 562 จบบริบูรณ์
หลิงมู่เอ๋อร์อาศัยเหล้าอิงเข้าไปในอ้อมกอดของหยางซื่อและจงใจถามหยั่งเชิง
“เรื่องนี้ เรื่องนี้เกิดมาตั้งนานเพียงใดแล้ว เหตุใดจึงนึกถามขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้” หยางซื่อชะงักไปก่อนจะรีบเบนสายตาไปทางอื่นอย่างตื่นตระหนก “ใช่ ใช่ ไม่ดีมากทีเดียว สภาพอากาศที่มีสายฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวันจะดีได้อย่างไรเล่า แต่ผู้ใดบอกว่ามู่เอ๋อร์ของพวกเราดวงชะตาไม่ดีกัน จะมีผู้ใดในหมู่บ้านตระกูลหลิงเชื่อว่าเด็กสาวมอมแมมผอมแห้งใกล้ตายผู้นั้นจะกลายมาเป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียง โชคชะตาของมู่เอ๋อร์ของพวกเราดีมากจริงๆ”
ไม่ข้องเกี่ยวกับคำถามยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เกิดอีกทั้งยังจงใจเบี่ยงประเด็นและไม่สบสายตา โดยที่คิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่ทันสังเกตเห็นถึงความตื่นตระหนกนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม แม้จะไม่พูดอีกแต่ในใจก็มีคำตอบอยู่แล้ว
นางเกิดในฤดูหนาว ท่านแม่บอกอย่างชัดเจนว่านางเกิดในดูหนาวแล้วเหตุใดจึงมีสายฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวันได้?
แต่นางไม่อาจถามได้อีก
นางมีมารดาเพียงผู้เดียวก็คือท่านแม่ผู้นี้ซึ่งอยู่ตรงหน้านาง
เดิมอยากอยู่ที่จวนตระกูลหลิงให้นานเสียหน่อย แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินเพิ่งขึ้นครองราชย์ทั้งยังผ่านสงครามใหญ่มา สิ่งสำคัญคือการปลอบขวัญเหล่าขุนนางและประชาชน หลิงมู่เอ๋อร์ตามเขากลับวังหลวงอย่างรู้สึกไม่เต็มใจ แต่คาดไม่ถึงว่าเพิ่งกลับไปก็ต้องพบเจอกับการแยกจากอีกครา
“เจ้าจะไปจริงหรือ?”
มองตงฟางเชวี่ยผู้สวมชุดขาวอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางราวกับพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ท่าทางสง่างามเป็นอิสระราวกับเทพตกสวรรค์ซึ่งลงมาจุติบนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะยังมีความรู้สึกน่าขันยามที่แต่งเป็นสตรี?
“มิใช่ว่าช่วยพวกเจ้ามาหลายคราแล้วหรือ คิดจะวางแผนให้ข้าตกไปอยู่ในราชสำนักจริงหรือ?” ตงฟางเชวี่ยรู้สึกขัน
“หากมิได้ผ่านความเป็นความตายมากับพวกเจ้า ข้าคงจากไปโดยมิบอกลาแล้ว” เขากล่าวพลางสูดหายใจลึก มองวังหลวงอันกว้างใหญ่และงดงามเบื้องหน้า เกรงว่าเขาคงเป็นผู้ที่ไม่สนใจเรื่องการแก่งแย่งทางโลกมากที่สุดผู้หนึ่งจึงไม่มีความอาวรณ์อันใดต่อที่นี่
“ไปหรืออยู่เป็นอิสระของเจ้า แน่นอนว่าพวกเราย่อมไม่บังคับเจ้า หากเจ้าสามารถอยู่ช่วยเหลือพวกเราต่อได้พวกเราย่อมรู้สึกขอบคุณ แต่หากอยากกลับไปยังยุทธภพแน่นอนว่าย่อมเป็นชีวิตที่ข้าอิจฉายิ่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์มองทุกสิ่งตรงหน้าอยู่ข้างกายเขา มองวังหลวงที่ทุกคนต่างอิจฉา นางรู้ว่ากลับมาด้วยกันกับซั่งกวนเซ่าเฉินครานี้นางย่อมไม่อาจมีชีวิตที่อิสระหรือทำตามอำเภอใจได้อีก
“หลิงมู่เอ๋อร์หนอหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่านอกวังมีคนกี่มากน้อยที่อิจฉาสถานะของเจ้า หวางโฮ่ว อยู่ใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น หรือเจ้าจะบอกว่าอิจฉาคนไร้คู่ผู้โดดเดี่ยวเล่า?”
ตงฟางเชวี่ยเดาะลิ้นรู้สึกเพียงว่าน่าขัน
“เมื่อเข้ามาในวังหลวงที่ราวกับทะเลลึก เหล่าสตรีภายนอกย่อมมองสถานการณ์ภายในไม่ออก พวกนางอยากเข้ามาในวังหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เพื่อเสวยสุขไปกับความมั่งคั่ง หารู้ไม่ว่าที่นี่คือกรง และสิ่งที่อยู่ภายในมิใช่ว่าคือนกคีรีบูนหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มแต่ที่นี่มีผู้ที่นางอาวรณ์ นางจึงเต็มใจยอมเป็นนกคีรีบูนตัวหนึ่ง
“เอาเถิด หากคำพูดนี้ถูกคนผู้นั้นซึ่งอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้ได้ยินเข้า เขาคงคิดว่าข้ายุยงให้หวางโฮ่วของเขาตามไปร่อนเร่ในยุทธภพกับข้า ไม่แน่อาจส่งคนมาไล่สังหารข้าก็เป็นได้ ข้าไม่อยากตายเร็วถึงเพียงนั้น”
ตงฟางเชวี่ยไหวไหล่หันกลับไปและกล่าวลานางอย่างเป็นทางการ “กล่าวตามจริงข้าก็ทำใจไม่ได้ที่ต้องแยกจากพวกเจ้า แม้จะคบค้าสมาคมกันมาได้ไม่ถึงสองเดือน แต่กลับเป็นสองเดือนที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า”
หวนนึกถึงทุกสิ่งที่ประสบร่วมกับพวกเขา เขาก็รู้สึกมีความสุขกับความรู้สึกนี้
“มิน่าเล่าคราแรกข้าจึงพ่ายแพ้จนต้องยกหุบเขาเย่าหวางให้เจ้า ที่แท้มารดาผู้ให้กำเนิดเจ้าก็คือปรมาจารย์ของข้า! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากยอมรับความสัมพันธ์นั้น แต่ท่านปรมาจารย์ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วนิรันดร์ไปแล้ว ทว่าหุบเขาเย่าหวางถูกกำหนดให้เป็นของเจ้า เจ้าย่อมปัดความรับผิดชอบไม่พ้น”
กล่าวจบตงฟางเชวี่ยก็หยิบป้ายออกคำสั่งออกมาจากอกและมอบให้นาง
“ด้วยทักษะแพทย์ของเจ้าทั้งชีวิตนี้คงไม่ต้องการ แต่นี่คือป้ายผ่านทางของหุบเขาเย่าหวาง หากมีสิ่งนี้เจ้าย่อมสามารถเข้าออกหุบเขาเย่าหวางได้อย่างอิสระทั้งยังสามารถเรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
“มีค่าถึงเพียงนี้เชียว?”
หลิงมู่เอ๋อร์ลังเลแต่ก็ยังเก็บซ่อนมันไว้ในกระเป๋าราวกับสมบัติล้ำค่า “ในเมื่อผู้นำตงฟางมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าจะเสียมารยาทปฏิเสธไม่ยอมรับได้อย่างไร? เพียงแต่ไม่รู้ว่าจากกันวันนี้จะได้พบกันอีกเมื่อใด”
“อยากเจอข้าย่อมไม่ง่าย แต่ตราบใดที่เจ้าขึ้นรับตำแหน่งผู้นำหุบเขาเย่าหวางก็จะสามารถพบข้าได้ทุกเมื่อ”
คำพูดนี้ของตงฟางเชวี่ยไม่รู้ว่าล้อเล่นหรือจริงจัง
หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปาก “ไม่สู้พวกเรามาพนันกันสักคราจะดีกว่ากระมัง”
“ที่แท้หวางโฮ่วองค์ปัจจุบันก็ติดพนัน” ตงฟางเชวี่ยขมวดคิ้วแน่นอย่างเหยียดหยาม แต่ไม่นานก็ยิ้มออกมา “ได้ พนันอันใดเล่า?”
“ภายในสิบปีหากเจ้าทำให้หุบเขาเย่าหวางกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้เหมือนในวันวาน ข้าจะยอมรับคำขอข้อหนึ่งของเจ้าเป็นอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสริม “ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า ไม่ว่าจะเป็นคำขอใดข้าก็จะล้วนตอบรับเจ้า”
“ได้!” ตงฟางเชวี่ยตอบรับอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพูด ถึงครานั้นหากสิ่งที่ข้าต้องการคือตำแหน่งฮ่องเต้ของผู้ชายของเจ้า…”
“เจ้าก็ลองดู” หลิงมู่เอ๋อร์ยกมุมปากอย่างมั่นใจในตนเอง
สิบปีนับว่านานแต่ก็สั้นเช่นกัน
การทำความรู้จักกับคนผู้หนึ่งอาจต้องใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา แต่การจะทำให้มิตรภาพของคนผู้หนึ่งมั่นคงตลอดไปกลับต้องทุ่มเทจากใจจริง
นี่อาจเป็นโชคชะตาที่ถูกลิขิตซึ่งอยู่เหนือการควบคุมดังนั้นจึงมีความคิดที่ตรงกันกับผู้นำหุบเขาเย่าหวางเช่นนี้
“เจ้าวางใจเถิด หลังจากครานี้โชคดีได้พบท่านปรมาจารย์ ข้าก็คิดได้อย่างถ่องแท้ ท่านอาจารย์ส่งต่อหุบเขาเย่าหวางให้ข้า แน่นอนว่าข้าต้องรับผิดชอบทำให้มันยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงต้องรู้สึกละอายใจต่อบุญคุณที่ท่านอาจารย์เลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นแน่”
ตงฟางเชวี่ยจริงจังอย่างหาได้ยาก “ชีวิตนี้ข้าเคยคิดว่าจะได้เจอหน้าท่านอาจารย์เสียเมื่อไหร่ แม้ว่าท่านอาจารย์จะเก่งกาจถึงเพียงนั้นแต่ก็หาได้มีวาสนาจะได้รับการอวยพรจากสวรรค์ ดังนั้นข้าจะทำผิดต่อความรักและความเมตตาที่ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้มอบให้ได้อย่างไร แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ค่อยรับผิดชอบอันใดก็ตาม”
ตงฟางเชวี่ยโบกมือถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากสบสายตาและยิ้มให้หลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็หมุนกายไปเพียงลำพัง “ขอตัว อย่าลืมสัญญาสิบปีของพวกเราเล่า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอันใดอีกและโบกมือลาเขา แสงอาทิตย์ทำให้เงาของนางยิ่งทอดยาว ตงฟางเชวี่ยเห็นเงาที่กำลังโบกมืออยู่บนพื้นมุมปากก็โค้งขึ้นอย่างมีความสุข
อืม สิบปีค่อยเจอกันใหม่ หลังจากนี้สิบปีหวังว่าร่างกายของเจ้าจะได้รับการดูแลจากเจ้าเป็นอย่างดีแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ให้ข้าช่วยเจ้าดูแลเถิด
“เขาไปแล้วหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่รู้มาปรากฏตัวข้างหลังตั้งแต่เมื่อใด
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอิงเข้าไปในอ้อมแขนของเขาราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง “ก่อนหน้านี้ก็พี่เซิงเอ๋อร์ไหนจะตงฟางเชวี่ยอีก พวกเขาจากข้างกายข้าไปทีละคนแต่ข้าช่างโชคดียิ่งที่ชีวิตนี้ได้รู้จักกับพวกเขา เซ่าเฉิน ท่านว่ามันเป็นการอวยพรจากสวรรค์หรือโชคชะตาที่ไม่ดีของข้า เหตุใดผู้ที่ข้าต้องการให้อยู่ข้างกายสุดท้ายจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“เป็นข้าที่โชคดีมากกว่า ชีวิตก่อนคงไปช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ไว้ทำให้ชาตินี้ได้พบเจ้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินวางคางไว้บนไหล่ของนาง ใช้แขนทั้งสองข้างกักนางไว้ในอ้อมกอดอย่างวางอำนาจ “ผู้ที่สามารถอยู่ข้างกายได้ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนไม่จากไป ส่วนผู้ที่จากไปเหตุใดต้องเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยเล่า?”
กล่าวจบเขาก็ส่งสาส์นฉบับหนึ่งจากในอกไปเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ “อามู่ทั่วซึ่งอยู่ห่างออกไปแปดร้อยลี้เร่งให้คนส่งสิ่งนี้มาให้”
“เขียนให้ข้าหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัย
ยามที่กำลังจะเปิดก็พบว่าสาส์นฉบับนี้ยังมิได้ถูกเปิด ด้วยการให้เกียรติที่มาจากสามีของตนทำให้อารมณ์หดหู่เมื่อครู่ของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ข้อความในสาส์นมิได้ยาวนัก นอกจากคำกล่าวขอบคุณก็ยังมีคำพูดที่แสดงความเกรงอกเกรงใจ มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์ยกขึ้นอย่างอ่อนโยน
“เขียนสิ่งใดไว้หรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินแม้จะสงสัยแต่กลับไม่กล้าแอบมอง
“สงสัยถึงเพียงนี้อ่านเองก็จะรู้”
ส่งสาส์นไปที่มือของเขาแสดงท่าทีให้ว่าเขาสามารถอ่านได้ตามสบาย
เมื่อสนมรักตกลงเขายังจะมีอันใดที่ต้องหลบซ่อนอีก ซั่งกวนเซ่าเฉินวางสาส์นไว้ในฝ่ามืออย่างใจกว้างและอ่านอย่างรวดเร็วภายในคราวเดียว
“อามู่ทั่วรู้สึกขอบคุณที่เจ้าช่วยภรรยาของเขาไว้หรือ?”
“ท่านคงคาดไม่ถึงเป็นแน่ว่าภรรยาของเขาคือพี่เซิงเอ๋อร์”
“ที่แท้บนโลกก็มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายถึงเพียงนี้” ในก้นบึ้งดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินมีความประหลาดใจแต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “อามู่ทั่วจัดพิธีศพให้ท่านปรมาจารย์อย่างยิ่งใหญ่ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มตำแหน่งให้นางเป็นสนมรักของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้องค์ก่อน ทั้งยังยกเรื่องตัวตนของเจ้าขึ้นมากล่าวด้วย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินปิดสาส์นและเชยคางหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยมือข้างเดียว “คาดไม่ถึงว่าสนมรักของข้าจะเป็นองค์หญิงแคว้นซีอวี้ ดูท่าเจิ้นจะต้องทำดีต่อเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นหากวันหนึ่งสนมรักโกรธจนกลับแคว้นซีอวี้ไป เช่นนั้นเจิ้นมิใช่ว่าต้องอยู่เฝ้าห้องที่ว่างเปล่าเพียงลำพังหรือ?”
ได้ยินคำพูดกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจังของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็แค่นเสียงแสร้งทำเป็นโกรธ “ผู้ใดยินยอมจะเป็นองค์หญิงแคว้นซีอวี้กัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่อยากเป็นหวางโฮ่วอันใดแล้ว!”
ใช่ เมื่อครู่ยามที่บอกลาตงฟางเชวี่ย นางก็ตัดสินใจแล้วว่านางไม่ต้องการเป็นหวางโฮ่วอันใด หากเป็นหวางโฮ่วนางก็ต้องแบ่งปันบุรุษข้างกายให้สตรีอื่นทั้งยังไม่มีอิสระอีก นางไม่อยากเป็นนกคีรีบูนที่อ้างว้างที่สุดในกรง นางอยากโบยบินไปในอากาศอย่างอิสระ
“เช่นนั้นก็มิต้องเป็นหวางโฮ่ว เป็นเพียงสนมรักของเจิ้นผู้เดียวก็พอ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาล้อเล่น แต่คาดไม่ถึงว่าวันต่อมาจะมีข่าวลือแพร่ไปทั่วอยู่ในวังหลวง ว่าฮ่องเต้ยกเลิกตำแหน่งหวางโฮ่วทั้งยังมีรับสั่งไม่ให้เหล่าขุนนางเสนอเรื่องรับสนม ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษร้ายแรง
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันกับการตัดสินใจเช่นนี้ ยามที่นางกำลังคิดจะเข้าวังหลวงเพื่อไปหารือเรื่องนี้กับฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการอีกหนึ่งฉบับส่งมา
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาแต่งตั้งให้หลิงมู่เอ๋อร์เป็นเซียวเหยากุ้ยเฟย แต่สามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามแต่ใจ ทั้งยังสามารถหารือเสนอแนะเรื่องของแคว้นได้และมีอำนาจควบคุมทั้งหกตำหนักเพียงผู้เดียว จบราชโองการ!”
ขันทีวางราชโองการไว้ในมือของนาง มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในความตกตะลึงอีกครา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ฝ่าบาทยังทรงตรัสอีกว่าชั่วชีวิตนี้จะเคียงคู่แค่เพียงกับท่าน! เหนียงเหนียง ท่านช่างมีวาสนาเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ราชโองการในมือราวกับเป็นเผือกร้อน ผ่านไปนานหลิงมู่เอ๋อร์ก็โค้งริมฝีปากและยิ้มบางออกมาอย่างสงบ
ในเมื่อนี่คือความโปรดปรานที่ซั่งกวนเซ่าเฉินมอบให้นาง นางย่อมสามารถตอบแทนกลับไปด้วยการใช้ชีวิตที่เหลือชื่นชมความงดงามของโลกหล้าร่วมกันกับเขา และช่วยเขาสร้างยุคสมัยอันแสนมั่งคั่งและสงบสุขขึ้นมา!
หนึ่งเดือนต่อมา
ซั่งกวนเซ่าเฉินขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการได้รับตำแหน่งฮ่องเต้องค์ใหม่ จึงทำการพระราชทานอภัยโทษและงดการเรียกเก็บภาษีของแคว้นเป็นเวลาสามปี ทำให้เหล่าประชาชนต่างพากันยินดีและขอบคุณในความเมตตาของฮ่องเต้
ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้มาแสดงความยินดีด้วยตนเอง รวมถึงส่งของขวัญมากมายมาให้ในฐานะพี่ชายของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง นามว่าเซียวเหยากุ้ยเฟยรวมถึงสมญานามองค์หญิงแคว้นซีอวี้ไม่นานก็แพร่กระจายออกไป
ผู้ใดบอกว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีสถานะเป็นเพียงสามัญชนไม่คู่ควรกับฮ่องเต้?
“ยามนี้เจ้าเป็นน้องสาวของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้แล้ว ข้าย่อมทำให้สถานะของเจ้ายิ่งเท่าเทียมกับฮ่องเต้ได้”
อามู่ทั่วประกาศตัวตนของหลิงมู่เอ๋อร์ให้แก่ทุกคนในราชสำนักอีกคราเพื่อทำให้นางสูงส่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ห้าปีต่อมา
ปีที่สามร้อยสิบเจ็ดของเมืองหลวง ภายใต้การปกครองของซั่งกวนเซ่าเฉินทำให้ทั้งห้าแคว้นยอมจำนน
ในปีเดียวกันเซียวเหยากุ้ยเฟยก็มีข่าวมงคลได้ให้ประสูติองค์ชายให้ฮ่องเต้ซึ่งเขาได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ
ในวังหลวงเต็มไปด้วยความยินดีทั้งยังจัดงานฉลองการประสูติของไท่จื่อ
ทว่าหน้าประตูจวนมหาเสนาบดีซูกลับอ้างว้างและเงียบสงบ
จื่อถงยืนถือของขวัญแสดงความยินดีอยู่ข้างหลังซูเช่อ “นายท่าน ต้องการไปส่งของขวัญด้วยตนเองจริงหรือขอรับ? วันนี้เป็นวันเกิดของท่าน วันนี้เสนาบดีกรมพิธีการส่งจดหมายมาบอกว่าอยากพาบุตรีมาอวยพรวันเกิดให้ท่าน ท่านไม่คิดจะไปเจอสักคราจริงหรือขอรับ?”
“บุตรีคนรองของเสนาบดีกรมพิธีการมีนามว่าชวีหลิงหลง ได้ยินว่าเป็นสตรีมีความสามารถอ่อนโยนทั้งยังสง่างาม แต่น่าเสียดาย…กฎเกณฑ์ของตระกูลซูคือบุรุษตระกูลซูจะตั้งมั่นเพียงรักเดียวไปตลอดชีวิต เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
……
(จบบริบูรณ์)