เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 545 แผนการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 545 แผนการ
เล่มที่ 19 ตอนที่ 545 แผนการ
แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ย่อมอยากรู้ว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางคือผู้ใด
นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว นางยังสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าของเหล่านั้นที่สามารถใช้แทนเครื่องมือผ่าตัดในยุคปัจจุบัน อีกฝ่ายสามารถคิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีทักษะแพทย์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุใดนางจึงถูกแคว้นซีอวี้คุมตัวไว้ถึงขั้นอยู่ที่นี่มานานหลายปี จนทอดทิ้งแม้แต่หุบเขาเย่าหวางที่นางสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
สตรีผู้นี้นำพาความสับสนมาให้นางมากเกินไป
“เจ้าจะไปหาที่ใด?”
“เพราะไม่มีเบาะแสจึงมาถามเจ้าว่ามีวิธีหรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์เอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ข้อมูลนี้กะทันหันเกินไป อีกทั้งนางยังไม่มีต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย ทว่านางก็มีวิธีที่อยากลองเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ายามที่ดอกไม้ประจำแคว้นเบ่งบานบางทีนางอาจจะออกมา เจ้าคิดว่านางอยู่ในห้องลับที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้มาโดยตลอด เพราะต้องการรอให้ดอกไม้ประจำแคว้นเบ่งบานหรือ?”
ตงฟางเชวี่ยหาได้มั่นใจถึงเพียงนั้นไม่ “เป็นเพียงการคาดเดา”
“อีกสิบวันดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้จึงจะเบ่งบาน หากนางอยู่ในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้มาโดยตลอด นางก็น่าจะรู้ช่วงเวลานี้ หากเป็นเพราะดอกไม้ประจำแคว้นนางย่อมปรากฏตัวออกมาเป็นแน่ แต่พวกเราจะแยกแยะได้อย่างไรว่าเป็นนาง? นางอยู่ที่นี่มาหลายปีย่อมต้องคุ้นเคยกับห้องลับเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ในนั้นยังมีห้องลับอื่นอยู่อีกหรือไม่?”
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในสมอง หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเป็นครั้งแรกว่ามีสมองไม่มากพอ
นึกถึงภาพวาดรูปนั้นและบันทึกรวมผลงานที่หุบเขาเย่าหวางสร้างขึ้น รวมถึงเครื่องมือมากมายเหล่านั้นที่นางสร้างให้หุบเขาเย่าหวาง ในหัวของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เกิดความคิดอันอาจหาญขึ้นมาโดยพลัน
“ตงฟางเชวี่ย ช่วยหานักเล่าเรื่องมาให้ข้าที”
“เจ้าพูดอันใด?” ตงฟางเชวี่ยคิดว่าตนเองหูแว่วไปเอง “ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เจ้ากลับต้องการฟังเรื่องเล่าหรือ? หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?”
“ผู้ใดบอกกันว่าหากหานักเล่าเรื่องแล้วจะต้องอยากฟังเรื่องเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะรีบเขียนเรื่องราวส่วนหนึ่งลงในกระดาษ “เนื้อหาในนี้เจ้าอาจอ่านไม่เข้าใจ แต่ขอเพียงเจ้าทำตามวิธีของข้าก็พอ”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งกระดาษให้ตงฟางเชวี่ย “ข้าต้องการให้เจ้าแอบหานักเล่าเรื่องมาให้ หากเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งดี ข้ามีเนื้อเรื่องซึ่งสามารถเอาไปให้เขาเล่าได้โดยไม่เสียเงิน รับรองได้ว่าเขาจะต้องทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เงื่อนไขแรกคือสิบวันนี้ต้องเข้ามาเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟัง”
หลิงมู่เอ๋อร์แต่งเรื่องเล่าที่สามารถหวนคืนจากยุคอดีตกลับคืนสู่ยุคปัจจุบันได้ ซึ่งเป็นการเขียนที่เกินจริงเป็นอย่างยิ่งเพราะนางสงสัยว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางเป็นผู้ที่ทะลุมิติมา หากให้นักเล่าเรื่องที่มีชื่อเสียงมาเล่าเรื่องนี้จะไม่สามารถหลอกล่อนางให้ปรากฏตัวออกมาได้เชียวหรือ?
ผู้ที่ทะลุมิติมาจะไม่อยากกลับไปหรือ?
“เนื้อเรื่องไม่ยาวแต่ข้ายังต้องเขียนอย่างละเอียด ดังนั้นนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้เจ้ามาตรวจโรคกับข้าด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปทุกวัน ข้าจะนำเรื่องเล่าใหม่ใส่ไว้ในเทียบยาให้เจ้านำกลับไป ข้าเชื่อว่าปรมาจารย์ผู้นั้นจะต้องปรากฏตัวออกมาเป็นแน่!”
เห็นใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ อีกทั้งเรื่องเล่าสั้นๆ ช่วงหนึ่งของนางก็ยังละเอียดยิ่ง บอกตามตรงว่าฉลาดเฉลียวจนเขาอ่านไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะเชื่อหลิงมู่เอ๋อร์
“เอาเถิด ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็ล้วนไม่วิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ไม่สู้รักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นจะดีกว่า ข้าจะลองดู”
เขาเก็บข้อความไว้ในแขนเสื้อ “แต่ยังมีข่าวดีที่ต้องบอกเจ้าอยู่”
หลังจากมาถึงแคว้นซีอวี้ก็ไม่เคยได้ยินข่าวดีอันใด ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์หาได้ปรากฏความสนใจอันใดไม่
“ว่ามาเถิด ข่าวดีอันใด”
“ผู้ชายของเจ้ากำลังจะมา เป็นอย่างไร นี่ยังไม่พอจะทำให้เจ้ายิ้มให้เปิ่นกงจื่อเห็นอีกหรือ?” ตงฟางเชวี่ยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับจ้องหลิงมู่เอ๋อร์เขม็ง
“เจ้าจะบอกว่าเซ่าเฉินกำลังมาที่แคว้นซีอวี้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดิมทีสงบนิ่งหาได้มีคลื่นอารมณ์อันใดก็แทบจะกระโดดสูงสามฉื่อ มือทั้งสองข้างของนางคว้าแขนเสื้อของตงฟางเชวี่ยแน่นราวกับเด็กหยิบลูกกวาด “จริงหรือ ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”
“จุ๊ๆๆ ระวังท้องของเจ้าเสียหน่อย จะทนรับการกระโดดโลดเต้นของเจ้าเช่นนี้ได้หรือ?” ตงฟางเชวี่ยเหน็บแนมอย่างจองหอง “มิใช่ว่าก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งหรือ มีอันใดน่าแปลกกัน เปิ่นกงจื่อรูปร่างหน้าตาหล่อเหลากว่าเขาเสียอีก ยามที่เจ้าพบข้าเหตุใดจึงไม่เห็นเจ้าจะตื่นเต้นดีใจเช่นนี้เลยเล่า?”
“เพราะเจ้าหาใช่คนในดวงใจของข้า!”
พูดถึงซั่งกวนเซ่าเฉินนางก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์ยกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ “เซ่าเฉินจะมาถึงแคว้นซีอวี้เมื่อใด? เหตุใดเจ้าจึงรู้ข่าวนี้ได้ หากเจ้ารู้อามู่เต๋อก็ย่อมรู้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”
“เปิ่นกงจื่อทั่วหล้าไร้ผู้ต่อกร การจะรู้ข่าวนี้จะมีอันใดยากเล่า?” ตงฟางเชวี่ยส่ายศีรษะอย่างภาคภูมิใจ “แต่เจ้าพูดไม่ผิด อามู่เต๋อย่อมรู้แน่นอนเพราะซั่งกวนเซ่าเฉินมาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของแคว้นเทียนเฉา”
หลิงมู่เอ๋อร์ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนว่าเหตุใดซั่งกวนเซ่าเฉินจึงเป็นตัวแทนของแคว้นเทียนเฉา “อามู่เต๋อบิดเบือนพระราชโองการที่ฮ่องเต้ทิ้งไว้ก่อนสวรรคต อีกไม่นานเขาย่อมขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซีอวี้องค์ใหม่ แคว้นเทียนเฉาในฐานะที่มีการเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตกับแคว้นซีอวี้ย่อมต้องส่งคนมาร่วมอวยพร”
“แต่ยามที่มาอวยพรเขาแค่ส่งทูตผู้หนึ่งมาก็ย่อมได้เหตุใดต้องมาด้วยตนเอง แน่นอนว่าเพื่อมาช่วยเจ้า”
ตงฟางเชวี่ยใช้ไหล่ชนที่ไหล่ของนาง เห็นท่าทางมีความสุขจนข่มกลั้นไว้ไม่ได้ของนาง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็หรี่ลงเป็นเส้นเดียว “จุ๊ๆ ดีใจหรือ ยามนี้คงอารมณ์เบิกบานขึ้นแล้วกระมัง? แต่ขอกล่าวตามตรงว่าเหตุใดตั้งแต่มาที่แคว้นซีอวี้เจ้าจึงไม่เคยป่วยเลยเล่า?”
หากตงฟางเชวี่ยไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด หลิงมู่เอ๋อร์ก็คงลืมไปจนสิ้นแล้วว่าร่างกายของตนเองอยู่ในสภาพแปลกประหลาด
ถูกต้อง ตั้งแต่มาที่แคว้นซีอวี้ร่างกายของนางก็เหมือนจะรู้สึกหนักอึ้งเพียงเท่านั้น แต่นอกจากง่วงนอนเป็นบางคราก็มิเคยป่วยอีกเลยจริงๆ
หรือแคว้นซีอวี้จะเหมาะกับการรักษาสุขภาพของนางมากกว่า?
“เอาเถิด ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายของเจ้าก็กำลังจะมาช่วยเจ้ากลับไปอย่างเที่ยงตรงโปร่งใส ต่อให้ผลจากดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้จะไม่สามารถรักษาโรคประหลาดของเจ้าได้ แต่หากพบท่านปรมาจารย์นางก็คงมีวิธีกระมัง?”
ตงฟางเชวี่ยสูดหายใจเข้าลึก “วันนี้เป็นวันที่ทำให้คนมีความสุขเสียจริง! แต่เจ้ายังต้องระวังเสียหน่อย”
เขากล่าวอย่างระแวดระวัง “อามู่เต๋อย่อมไม่ปล่อยเจ้ากลับไปได้ง่ายๆ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเขาจับเจ้ามาด้วยเป้าหมายอันใดแต่ก็พอจะคาดเดาได้อยู่สามส่วน! ดังนั้นระยะนี้เจ้าก็ระวังเสียหน่อยเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ขอบคุณเจ้าด้วย ตงฟางเชวี่ย”
“ขอบคุณข้าหรือ? เช่นนั้นก็คิดหาทางช่วยข้าหาท่านปรมาจารย์ให้เจอเถิด”
มีหมอนับสิบคนช่วยนางตรวจรักษาด้วย แม้คนจะมากมายแต่ในที่สุดก็ตรวจรักษาได้หมดก่อนค่ำ
“ขอบคุณแม่นางนักบุญเป็นอย่างมาก นี่เป็นไข่ไก่ที่ได้จากไก่บ้านข้าซึ่งสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ในครอบครัวของหญิงเฒ่าเช่นข้าไม่มีเงินมากมายนักจึงขอมอบไข่ไก่เหล่านี้ให้แม่นาง”
หญิงเฒ่าผู้หนึ่งวางตะกร้าไข่ลงเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
“ท่านยายอย่าได้เกรงใจเลย แม้พวกเราจะเปิดโรงหมอแต่การช่วยเหลือคนเจ็บป่วยก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา ในเมื่อครอบครัวหาได้ร่ำรวยเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เงินหรอกเจ้าค่ะ โรงหมอของข้าข้าย่อมมีสิทธิ์พูดได้เจ้าค่ะ”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” หญิงชราตะลึงงัน “ท่านตรวจรักษาแต่ไม่รับเงินก็แล้วไปเถิด แต่ยาเหล่านั้นที่ให้ข้ามาตั้งมากมายจะไม่รับเงินได้อย่างไร?”
“แม้ยาจะมีราคาแพงแต่เทียบกับสุขภาพของท่านยายแล้ว การที่ท่านแข็งแรงย่อมสำคัญกว่าเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มกล่าว “ขอกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ท่านอายุพอๆ กับท่านยายของข้า ยามที่เห็นท่านทำให้ข้านึกถึงท่านยายขึ้นมา ดังนั้นไข่ไก่เหล่านี้ท่านนำกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ท่านมองว่าข้าเหมือนเป็นคนที่ขาดเงินหรือ? อีกทั้งร่างกายของท่านยายต้องบำรุงด้วยไข่ไก่ ท่านจะขาดไข่ไก่เหล่านี้ไปไม่ได้นะเจ้าคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวทั้งยังยัดแท่งเงินลงไปในตะกร้าไข่ไก่ของนางในมุมที่นางมองไม่เห็น
แม้นางจะมิใช่คนของแคว้นซีอวี้แต่ในใต้หล้าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ การไม่มีเงินจนไม่ได้รับการรักษาเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากอย่างถึงที่สุด แม้หญิงชราผู้นี้จะอายุมากแล้วแต่ตราบใดที่รักษาตัวให้ดีการจะมีชีวิตอีกนับสิบปีย่อมหาใช่ปัญหา และนางทนมองผู้คนที่น่าสงสารไม่ได้
“ท่านนักบุญคือพระโพธิสัตว์กลับมาจุติบนโลก หญิงเฒ่าเช่นข้าขอบคุณท่านนักบุญเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
หญิงชราได้ยินเช่นนี้ก็คุกเข่าลงไปบนพื้น การกระทำอันกะทันหันนี้ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปไม่น้อย ก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างรวดเร็วและแพร่กระจายข่าวออกไป หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่ถูกเรียกว่านักบุญทว่ายังถูกคนเรียกติดตลกว่าเป็นพระโพธิสัตว์กลับมาจุติบนโลกอีกด้วย ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
“ดูท่าการให้เจ้ามานั่งอยู่หน้าแท่นตรวจในโรงหมอจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
อามู่เต๋อปรบมือพลางเดินเข้ามาในห้อง ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมในขณะที่มุมปากยกขึ้นอย่างไม่อาจปิดซ่อน
หมอนับสิบคนเห็นเขาเข้ามาก็พากันทำความเคารพก่อนจะถูกเขาไล่ออกไป ในโรงหมอจึงเหลือเพียงอามู่เต๋อและหลิงมู่เอ๋อร์
“เถ้าแก่มาเก็บเงินเร็วถึงเพียงเชียว” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะพลางกล่าว “แต่น่าเสียดายที่ข้าทำตามความคิดของตนเอง ผู้ที่จ่ายค่ารักษาไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่าย วันนี้กำไรจึงไม่มากนัก”
หลิงมู่เอ๋อร์เปิดลิ้นชักที่เก็บเงินไว้โดยที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
“แล้วอย่างไรเล่า?” อามู่เต๋อกำลังอารมณ์ดี ไม่ว่านางจะพูดอันใดก็ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา “เมื่อครู่ข้าล้วนเห็นแล้วว่าเทียบกับเงินเหล่านี้ แน่นอนว่าใจคนย่อมสำคัญกว่า!”
นั่งลงข้างกายนางอย่างสบายอารมณ์ เห็นเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของนางเพราะความเหนื่อยล้า เขาจึงโยนผ้าเช็ดหน้าไว้ในอ้อมแขนของนางด้วยความอารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก “ดูท่าในอนาคตคงต้องกำหนดเวลาตรวจรักษาที่แน่นอนเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นแม่นางนักบุญที่เป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดของพวกเราคงเหนื่อยแย่ แล้วจิตใจข้าจะเป็นเช่นไรเล่า?”
มองอามู่เต๋อที่มีใบหน้าราวกับบัณฑิตแต่กลับมีสีหน้าท่าทางชั่วร้าย หลิงมู่เอ่อร์เว้นระยะห่างจากเขาด้วยความรังเกียจ “ใบหน้าของเจ้าก็รักษาหายดีแล้ว เจ้ายังจะมาทำอันใดที่นี่อีก? เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะให้ข้าอยู่ในโรงหมอ ทำไม หรือคิดจะกลับคำ?”
ยามที่ตงฟางเชวี่ยบอกให้นางระวัง นางก็คาดเดาได้ว่าคืนนี้อามู่เต๋อคงมาหา ซั่งกวนเซ่าเฉินใกล้จะมาถึงแคว้นซีอวี้แล้ว เขาย่อมไม่เปิดโอกาสให้ซั่งกวนเซ่าเฉินมาช่วยเหลือนางเป็นแน่
“ข้าก็หาใช่ว่าเคยกลับคำมาแค่ครั้งสองครั้ง” อามาเต๋อกล่าวอย่างไม่เลี่ยงประเด็นเลยแม้แต่น้อย “ถูกต้อง นับแต่นี้ไปเจ้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว”
“เพราะเหตุใด?”
เดิมอามู่เต๋อไม่อยากตอบ แต่เมื่อนึกถึงเหงื่อที่ไหลรินเพราะความเหนื่อยล้าของนาง คิดไปคิดมาเขาจึงแสดงความเมตตาออกมา “เห็นแก่ที่ทุ่มเทเพื่อข้าถึงเพียงนี้จะบอกเจ้าเสียหน่อยก็ย่อมได้ ซั่งกวนเซ่าเฉินใกล้จะมาถึงแคว้นซีอวี้แล้ว”
เขากล่าว เดิมคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะต้องตื่นเต้นและตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ผ่านไปนานกลับเห็นว่านางไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ตกใจแม้แต่น้อยเลยเล่า? เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด มองเขาที่พุ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวชั้นสองราวกับสายลมหอบหนึ่ง
ถูกต้อง ในห้องมีคนชุดดำผู้นั้นที่แอบฟังพวกนางกำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น
ยามที่นางมาถึงห้องพักส่วนตัวที่ชั้นสองก็เห็นอามู่เต๋อพยายามทุกทางเพื่อช่วยคนชุดดำผู้นั้น
นางยืนพิงประตูอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าเสียแรงเปล่าเลย ต่อให้เขาฟื้นก็จำไม่ได้หรอกว่าได้ยินสิ่งใดบ้าง”
ได้ยินคำพูดนี้อามู่เต๋อก็ผลักลูกน้องออกไป ก่อนจะพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์และคว้าคางของนางไว้แน่น “บอกมาว่าผู้ใดมาส่งข่าวให้เจ้า? เจ้ายังรู้สิ่งใดอีก!”
“เจ้าทำข้าเจ็บ” หลิงมู่เอ๋อร์ดิ้นรนขัดขืน “ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่รู้สิ่งใดทั้งนั้น!”
“เจ้าไม่รู้หรือ?” อามู่เต๋อแค่นเสียงเย็นและชี้ไปทางคนชุดดำที่หมดสติอยู่ “หากเขาไม่ได้ยินอันใด เจ้าจะสกัดจุดเขาบังคับให้เขาสูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปหรือ? หลิงมู่เอ๋อร์ ทางที่ดีเจ้าบอกความจริงมาเสียเถิด เจ้าจงใจแยกคนของข้าออกและปล่อยให้ตงฟางเชวี่ยหนีไป ทั้งยังจงใจถูกจับกลับมาอีกเช่นนี้จะต้องมีแผนอันใดเป็นแน่! บอกมาว่าตงฟางเชวี่ยพบสิ่งใด ใช่ความลับในห้องลับแห่งนั้นหรือไม่?”