เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 18 ตอนที่ 529 องค์ชายใหญ่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 18 ตอนที่ 529 องค์ชายใหญ่
เล่มที่ 18 ตอนที่ 529 องค์ชายใหญ่
“พูดมา เมื่อคืนเป็นเจ้าที่พานางออกไปใช่หรือไม่?”
อาปี้ที่ได้รับบาดเจ็บไปทั่วกาย ฝืนบังคับขวางเส้นทางเดินของตงฟางเชวี่ย ราวกับว่านางจะไม่มีวันปล่อยเขาไปจนกว่าเขาจะบอกนาง
“พี่สาวกำลังเอ่ยอันใดกัน น้องเป็นคนที่พี่สาวเลือกมาด้วยตนเอง พี่สาวจะโยนความผิดมาไว้ที่น้องเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” ตงฟางเชวี่ยเอ่ยไปพลางเสแสร้งแกล้งบีบน้ำตา แขนเสื้ออันใหญ่นั้นปิดบังใบหน้าของเขามิดพอดี ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังลอบหัวเราะอยู่ต่างหาก
“เหอะ เจ้าเพิ่งจะได้รับใช้ข้างกายนาง ทว่านางกลับพาเจ้าออกไปด้วย หากมิใช่เจ้าที่ยุยงปลุกปั่น นางจะทำเรื่องเช่นนี้เองได้อย่างไร?”
อาปี้ยิ่งพูดก็ยิ่งใส่อารมณ์จนไม่ทันระวังถูกบาดแผลเข้า นางเจ็บจนต้องกัดฟันเบ้ปาก “บอกข้ามาตามตรง ตกลงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!”
ตงฟางเชวี่ยปล่อยแขนเสื้อลงทันที นางใช้สีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทอดสายตามองอาปี้ด้วย ‘ดวงหน้าเลอโฉม’ “พี่สาวคิดเช่นนี้กับน้องได้อย่างไรกันเจ้าคะ น้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เมื่อวานพี่สาวได้รับบาดเจ็บจากโทษโบยใช่หรือไม่ ยามนี้คงเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว มิสู้ให้น้องช่วยดูเป็นอย่างไร”
ยามที่เอ่ยปาก ตงฟางเชวี่ยก็ขยับมือคล่องแคล่วรวดเร็วยกกระโปรงของอาปี้ขึ้นมาทันที
แม้ปากจะเอ่ยว่าล้วนเป็น ‘สตรี’ กันทั้งสิ้น ทว่าพฤติกรรมอนาจารเช่นนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
อาปี้รีบร้อนหลบหลีกทันควัน “อย่ามาแตะต้องข้า!”
“หากไม่ดูบาดแผลจะรู้ได้อย่างไรว่าพี่สาวบาดเจ็บหนักแค่ไหน? พี่สาวโปรดวางใจ น้องเรียนวิชานวดมาจากท่านอาจารย์ถึงสามปี ให้ข้าช่วยนวดให้ท่านย่อมหายไวขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
เอ่ยไปพลาง ตงฟางเชวี่ยก็ยื่นมือลามกออกไปหานางอีกครา
อาปี้ตกใจจนกระโดดสูงสามฉื่อ นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชักดาบออกมาเพื่อขู่ว่า “หากเจ้าเข้ามาใกล้กว่านี้อีกนิด อย่าได้โทษที่ข้าไม่เกรงใจเล่า!”
วิชาการนวดอันใดกัน เอ่ยตามตรงก็คือการนวดก้นของนางมิใช่หรือ? เฮ้อ แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
“ไม่อยากนวดก็มิต้องนวด เหตุใดพี่สาวถึงต้องเอาดาบมาขู่ฆ่าตนเองด้วย?”
ตงฟางเชวี่ยแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ร่างทั้งร่างทรุดนั่งลงบนพื้น ร้องไห้กระจองอแง กรีดร้องเสียงดังว่า “พี่สาวยังอายุน้อยนัก อย่าได้คิดสั้นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ พี่สาว ตกลงเป็นเพราะเรื่องอันใดกันแน่ที่ทำให้ท่านยอมละทิ้งชีวิตทางโลก ขอไปรายงานตัวกับท่านยมบาลเสียยังดีกว่า? พี่อาปี้…”
“พอได้แล้ว!”
อาปี้อดรนทนไม่ไหวกับท่าทีแสร้งปัญญาอ่อนสมองทึบของตงฟางเชวี่ยแล้วจริงๆ นางคำรามเสียงกร้าว ตั้งใจจะอบรมสั่งสอนเขา ทว่ายามที่เห็นใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ไม่คิดร้ายก็ให้รู้สึกว่าหรือเป็นตนเองที่เข้าใจนางผิดไป
ยิ่งมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งกำลังนั่งหัวเราะงอหงายอยู่บนตั่ง มุมปากของนางก็ยิ่งกระตุก ท้ายที่สุดอาปี้ก็ใช้สายตาจ้องตงฟางเชวี่ยและเอ่ยว่า “หม่าเซียะ เจ้าคือคนที่ข้าเลือกมาด้วยตนเอง ทางที่ดีเจ้าอย่าได้มีความคิดอันไม่ชอบ หากข้าถูกลงโทษ เจ้าเองก็มิได้รับผลดีอันใดเช่นกัน เหอะ!”
ด้วยร่างกายที่อ่อนแอของนาง อาปี้ยอมปล่อยให้สหายพยุงนางออกไปจากห้อง จนกระทั่งเงาร่างของนางหายไปไม่เห็นในสายตา สีหน้าไร้เดียงสาไม่เป็นอันตรายของตงฟางเชวี่ยก็ค่อยๆ หายไปอย่างสมบูรณ์
“ชิ ไร้อารมณ์ขันสิ้นดี”
ยามที่หันเหสายตากลับมาเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยังคงกลั้นยิ้ม เขาแบะปากเอ่ย “หัวเราะๆๆ มีอันใดน่าหัวเราะขนาดนั้นกัน หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าผู้สืบทอด ทายาทผู้สูงส่งของหุบเขาเย่าหวางจะต้องปลอมตัวมาในสภาพเช่นนี้หรือ?”
เอ่ยไปพลางมองเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนด้วยสีหน้าท่าทางรังเกียจ จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจในภายหลังเล็กน้อยแล้วหรือ?
“เจ้ามิใช่บอกว่าหากไร้ความงามที่แท้จริง ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างเจ้าหรือ? ทำไมหรือ ยามนี้มารู้สึกเสียใจในภายหลังแล้ว?” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นเสียงหัวเราะ ‘พรืด’ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจนเต็มเสียง
“หากอาปี้รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นบุรุษ และเมื่อครู่ยังจงใจเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา นางจะต้องโกรธจนตายแน่นอน! ตงฟางเชวี่ยเอ๋ยตงฟางเชวี่ย เจ้าชนะแล้ว!”
คนที่มีใบหน้าดำคล้ำเคร่งคว้าขวดกระเบื้องลายน้ำเงินขาวที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาคิดจะฟาดมันลงไปที่ใบหน้างดงามด้านข้างของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าทันใดนั้นในหูก็แว่วเสียงเล็กดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“ใคร!”
แจกันถูกวางลง ตงฟางเชวี่ยเตรียมพร้อม ดวงตาแหลมคมราวกับเสือเลี่ยเป่าคู่นั้นก็จดจ้องไปในทิศทางหนึ่งด้วยท่าทีจริงจัง
ผ่านไปชั่วครู่ ในห้องไม่ได้เกิดการเคลื่อนไหวใด
เพราะเมื่อครู่หลิงมู่เอ๋อร์จมอยู่ในความเบิกบานจนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ นางขมวดคิ้ว “ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าหูฟาดไป?”
“หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสยาพิษแห่งหุบเขาเย่าหวางที่ข้าลอบปรุงมันขึ้นมาเอง!”
ตงฟางเชวี่ยเพิกเฉยต่อคำกล่าวของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่ากลับเอ่ยปากขู่ด้วยท่าทีเย็นชาเคร่งเครียด หลังจากที่เอ่ยจบ มือขวาของเขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วเรียบร้อย
มิใช่ว่าเขาตั้งใจเปิดเผยตัวตนของตนเอง ทว่าเกรงว่านักย่องเบาผู้นี้คงอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อได้ยินทุกอย่างแล้ว เช่นนั้นยังมีเหตุผลใดให้ต้องหลบซ่อนในเงาความมืดอีก
ฟิ้ว
เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่ร่อนลงมาจากคานด้านบน ฝีเท้าแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง ร่างนั้นปรากฏตัวขึ้นตรงข้ามเป็นแนวทแยงมุมด้วยท่วงท่าสง่างาม
ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวล้วน ท่วงท่ากิริยางดงามคล่องแคล่ว พาให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่มองเห็นเขาในแวบแรกรู้สึกว่าเขาดูคล้ายกับซูเช่ออยู่บ้าง ทว่าเมื่อมองให้ละเอียดอีกคราก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแล้ว
“เจ้าเป็นใคร?”
“เฮ้อ เหตุใดถึงได้ปฏิบัติต่อแขกอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้?” ตงฟางเชวี่ยวางฝ่ามือใหญ่ลงบนไหล่ของหลิงมู่เอ๋อร์ ตบเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้นางสงบสติอารมณ์
ทว่าเขากลับใช้สายตาแหลมคมลึกล้ำมองประเมินคนตรงหน้าอย่างละเอียด “เมื่อพิจารณาจากองคาพยพทั้งห้า รูปลักษณ์ กลิ่นอายและฝีมือแล้ว เจ้าต้องมิใช่คนธรรมดาแน่นอน! อีกทั้งยังคุ้นเคยกับเรือนแห่งนี้ดี สามารถซ่อนตัวบนขื่อคานเพื่อลอบฟังบทสนทนาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ดูท่าแล้วคงจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของเรือนแห่งนี้เป็นแน่ หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็นองค์ชายใหญ่กระมัง?”
เวลาประจวบเหมาะกับที่ตงฟางเชวี่ยเอ่ยจบ หลิงมู่เอ๋อร์มองคนตรงหน้าเขาด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
หากเอ่ยเช่นนี้ ก็นับว่าเขาละม้ายคล้างคลึงกับอามู่เต๋ออยู่หลายส่วน
แปะๆๆ ผู้มาเยือนปรบมือ เขามองตงฟางเชวี่ยด้วยสายตาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง “ไม่เสียแรงที่เป็นถึงผู้สืบทอดรุ่นที่สามสิบแปดของหุบเขาเย่าหวางแห่งแคว้นเทียนเฉา ที่แท้แล้วก็พิเศษแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ”
เอ่ยจบ ผู้มาเยือนก็ค้อมกายโค้งต่ำคำนับให้แก่ตงฟางเชวี่ย รวมถึงหลิงมู่เอ๋อร์ด้วย “ยังมิได้มาทักทายเลยสักครา ข้ามาด้วยตนเองมิได้ถูกเชิญมา และไม่ทันระวังจนได้ยินเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรได้ยินเข้า ต้องขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่ง ตัวข้ามีนามว่าอามู่ทั่ว องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นซีอวี้”
เขาแนะนำตัวด้วยท่วงท่าผึ่งผายมีพลัง น้ำเสียงไม่หยิ่งยโสไม่ต่ำต้อย หาได้มีความโอหังหรือไร้มารยาทดั่งเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ นับว่าชวนให้คนรู้สึกไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับการปรากฏตัวโดยมิได้รับเชิญของเขา
“ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่เสด็จมาหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดกันเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม แม้ว่าภายนอกจะดูใจดีมีเมตตา ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบไร้อารมณ์ที่ไม่จำเป็นอื่นใด
“เดิมทีข้าคิดว่าแม่นางหลิงคงไม่พอใจกับการมาถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตของข้า ทว่ายามนี้ดูที แม่นางหลิงเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาและใจดีเช่นกัน” อามู่ทั่วพยักหน้า เขาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามด้วยตนเอง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ขอพูดจาอ้อมค้อมอีกแล้ว”
“แม่นางหลิงคือพระชายาขององค์ชายรองแห่งแคว้นเทียนเฉา ทว่ากลับถูกอามู่เต๋อลักพาตัวมายังแคว้นซีอวี้ หากเอ่ยตามหลักเหตุผลแล้ว เราซึ่งเป็นองค์ชายแคว้นซีอวี้ควรจะขอโทษเจ้าจึงจะถูก ทว่าคิดดูแล้วเจ้าเองก็คงจะรู้จุดประสงค์ที่อามู่เต๋อลักพาตัวเจ้ามา และข้าก็ได้ยินมาไม่มากก็น้อยว่าแม่นางเองก็รั้งอยู่ในซีอวี้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงเช่นกัน มิสู้เจ้ากับข้ามาร่วมมือกันปะไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยได้ตรงเช่นนี้ นางสบประสานสายตากับตงฟางเชวี่ย ทั้งสองลอบพยักหน้าให้กันเงียบๆ ตั้งใจที่จะรอดูท่าทีก่อนตอบ
“ในเมื่อองค์ชายใหญ่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นมีอันใดก็บอกมาตามตรง ไม่ทราบว่าพระองค์ต้องการร่วมมืออันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ครอบครองดอกไม้ประจำแคว้น ส่วนเจ้าก็ช่วยข้าสังหารอามู่เต๋อ!”
น้ำเสียงไม่ดังเกินไปหรือเบาเกินไป มันพอดีที่จะส่งไปถึงหูของทั้งสองคน
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็พลันแปรเปลี่ยนไปทันที “ไม่ทราบว่ามู่เอ๋อร์ได้สร้างความแค้นกับองค์ชายใหญ่ไว้ตั้งแต่เมื่อใด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หม่อมฉันได้ทำอะไรที่ทำร้ายองค์ชายใหญ่หรือเพคะ ขอพระองค์ทรงตรัสมาตามตรงด้วย”
อามู่ทั่วผุดลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจริงจัง”
“เจ้าจะจริงจังหรือไม่จริงจัง แล้วเกี่ยวอันใดกับแม่นางหลิงของพวกเรากัน?” ตงฟางเชวี่ยยืนอยู่ตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เขาบังนางเอาไว้ข้างหลังโดยสมบูรณ์
แม้ว่าจะเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทว่าก็เพียงพอที่จะทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ประทับใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
ยิ่งมองดูสีหน้าของอามู่ทั่วที่มิได้ดูดีเหมือนกันนัก ตงฟางเชวี่ยกลับเอ่ยด้วยท่าทีไร้ความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว “พวกเจ้าสองพี่น้องต้องการเข่นฆ่ากันเอง แต่กลับใช้แม่นางหลิงของพวกเราเป็นเครื่องมือ เรื่องนี้มิใช่ไร้เหตุผลมโนธรรมหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายใหญ่คงมิได้ลืมไปแล้วกระมัง พวกเราก็เป็นเพียงแค่นักโทษคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
อามู่ทั่วขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าตงฟางเชวี่ยจะเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
ทว่าเมื่อคิดถึงแผนของเขา ชายหนุ่มก็อดกลั้นเอาไว้ “แม่นางหลิง เจ้าสำนักตงฟาง บางทีพวกเจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของข้านัก ที่ข้าอยากจะเอ่ยก็คือ พวกเราร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุความปรารถนาของกันและกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนดีต่อพวกเราทุกคน”
เมื่อเห็นตงฟางเชวี่ยยังต้องการจะเอ่ยอันใด องค์ชายใหญ่ก็รีบกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าดี ทว่าหากมีความช่วยเหลือจากข้า พลังของพวกเจ้าย่อมพุ่งพรวดราวกับเสือติดปีก ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนต้องการการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันมิใช่หรือ?”
เขาเหยียดแขนทั้งสองข้างออก สีหน้าดูสงบและผ่อนคลาย ราวกับว่ากำลังอธิบายเรื่องราวง่ายๆ ในครัวเรือน แทนที่จะเอ่ยถึงเรื่องการสังหารปลิดชีพมนุษย์
“หากข้าเดาไม่ผิดละก็ อามู่เต๋อคงจะใช้ดอกไม้ประจำแคว้นเพื่อข่มขู่แม่นางหลิง ทั้งยังบอกอีกว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เปิดกับดักอะไรสักอย่างได้ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงักงัน “ในเมื่อองค์ชายใหญ่ทรงรู้ทุกอย่าง อีกทั้งยังมีความสามารถมากมายเพียงนั้น เหตุใดถึงไม่ลงมือทำเองเล่าเพคะ?”
“เขาคอยระวังตัวกับข้าอยู่เสมอ ทว่าเขาหาได้ระวังกับแม่นางหลิงไม่ เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าใกล้เขาได้”
อามู่ทั่วเอ่ยตรงเหลือเกิน “แท้จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง บางทีพวกเจ้าอาจจะยังถูกปิดตาอยู่ในเงามืด! อามู่เต๋อสังหารเสด็จพ่อของพวกเราด้วยมือของเขาเอง อีกทั้งยังแก้ไขพระราชโองการ ดังนั้น ข้าถึงต้องการชีวิตของเขา!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ท่าทีของอามู่ทั่วก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์
“แม่นางหลิง แค่เห็นหน้าเจ้าเพียงคราเดียวข้าก็รู้ได้ว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เห็นวิธีการที่อำมหิตของอามู่เต๋อเช่นนี้แล้วเจ้ายังคิดที่จะช่วยเขาอีกหรือ? หากเขาไม่แก้ไขพระราชโองการก่อนเสด็จพ่อสวรรคตละก็ ฮ่องเต้ที่แท้จริงของแคว้นซีอวี้ก็ย่อมเป็นข้า และหากข้าได้ครอบครองบัลลังก์ฮ่องเต้ ข้าจะมอบดอกไม้ประจำแคว้นให้เจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น เจ้ายังไม่ยอมช่วยข้าอีกหรือ?”
ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่านี่เป็นข้อเสนอที่เยี่ยมยอด
ทว่าคำถามย่อมมีอีกครา “พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าอามู่เต๋อเปลี่ยนแปลงพระราชโองการ? และในเมื่อรู้แล้ว เหตุใดถึงไม่เผยแพร่เรื่องนี้ให้ทั่วทั้งแคว้นซีอวี้ได้ประจักษ์ การที่พระองค์ทรงมาตรัสกับข้าเช่นนี้ ไม่คิดว่าเป็นการสีซอให้ควายฟังหรือเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองประเมินอามู่ทั่วอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นอีกครา
ความจริงที่ว่าเขาสามารถบุกมายังเรือนแห่งนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ถูกผู้ใดค้นพบ นั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเขามีวิทยายุทธ์ที่สูงส่งแข็งแกร่ง
มีความสามารถขนาดที่รู้ว่าอามู่เต๋อสังหารฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้และแก้ไขพระราชโองการ บ่งบอกได้ว่าสติปัญญาของเขาเองก็มิได้อ่อนด้อยเช่นกัน
ทว่าช่างน่าสงสัย ผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้กลับเสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่สำคัญล้ำค่า โดยสั่งให้นางสังหารอามู่เต๋อ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“ขอเอ่ยตามตรงไม่ปิดบัง หลังจากที่แคว้นซีอวี้ของเราเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเทียนเฉา ข้าให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของแคว้นเทียนเฉา ข้ารู้ว่าแม่นางหลิงมีความสามารถ หากได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า แผนของพวกเราก็เหลือเพียงผลลัพธ์เดียวคือประสบความสำเร็จเท่านั้น และแน่นอนว่าอามู่เต๋อมีนิสัยแปลกประหลาด อารมณ์ฉุนเฉียวร้อนง่าย วิธีการของเขาโหดเหี้ยมเพียงใด ข้าคิดว่าแม่นางหลิงเองก็คงรู้ซึ้งดีเช่นกัน ข้ากลัวแต่ว่าข่าวคราวยังไม่ทันเผย เขาก็คงชิงกัดข้าก่อน เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์ของข้ามีแต่จะยิ่งอันตรายเท่านั้น ดังนั้น ข้ามิอาจทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงได้”
“องค์ชายใหญ่ไม่คิดทำให้เรื่องวุ่นวาย กลัวว่าจะกลายเป็นศัตรูของสาธารณชนแห่งแคว้นซีอวี้ ทว่าพระองค์กลับทรงขอให้หม่อมฉันสังหารศัตรูของพระองค์ เช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นฆาตกร และถูกคนทั่วทั้งแคว้นล่า ขอบังอาจทูลถามองค์ชายใหญ่ หรือว่าหน้าตาของหม่อมฉันดูโง่เง่านักเพคะ?”
แท้จริงแล้วฟังไม่ออกเลยว่าคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์นั้นจริงจังหรือว่ากำลังหยอกล้อเล่นอยู่
สีหน้าของอามู่ทั่วค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรำคาญใกล้หมดความอดทน ท่าทีถ่อมตัวแสนสุภาพพลันถูกแทนที่ด้วยโทสะ
“ดังนั้นแล้ว แม่นางหลิงต้องการจะปฏิเสธหรือ?”
“ดอกไม้ประจำแคว้นนั้น หม่อมฉันย่อมมีวิธีที่จะได้มันมาครอบครองด้วยตนเองเพคะ” นางมิได้เอ่ยตอบคำถามของเขา ทว่ากลับดูเหมือนว่าจะมีคำตอบให้เขาแล้ว
อามู่ทั่วเงียบไปนาน ท้ายที่สุดก็พยักหน้า “ได้ ในเมื่อแม่นางหลิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ดูสิว่าเจ้ามีความสามารถที่แท้จริงหรือไม่!”