เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 18 ตอนที่ 518 ลุ่มหลง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 18 ตอนที่ 518 ลุ่มหลง
เล่มที่ 18 ตอนที่ 518 ลุ่มหลง
“เจ้าอย่าได้มาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าข้า!”
มั่วจวินเหยาไม่อาจทนการคุกคามของนางได้
มองเหล่าสัตว์มีพิษทั้งหมดที่นางสั่งให้คนไปจับมาอย่างยากลำบากซึ่งหนีเตลิดไปรอบทิศเพราะความตกใจกลัวของนาง แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในใจของนางจึงยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด
“ในเมื่อสัตว์พิษเหล่านี้ไม่อาจทำร้ายเจ้าได้ เช่นนั้นเปิ่นกงจู่จะจัดการเจ้าด้วยตนเอง!”
มั่วจวินเหยาโรยผงสีขาวในมือจำนวนหนึ่งออกไปโดยพลันด้วยความรวดเร็ว
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะหลบเลี่ยงด้วยความรวดเร็ว แต่ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็ยังถูกผงเหล่านั้นเข้าไปจนลืมตาไม่ขึ้น
รู้สึกได้ถึงสายลมอันเย็นยะเยือกที่พัดเข้ามา นางก็หลบเลี่ยงไปตามสัญชาตญาณแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ในที่ลับแต่ตนอยู่ในที่แจ้ง แขนของนางจึงถูกแทงอย่างโชคไม่ดี
“ฟู่…” หลิงมู่เอ๋อร์เจ็บปวดจนอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา มั่วจวินเหยาเห็นเช่นนั้นก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“หลิงมู่เอ๋อร์นางหญิงสารเลว ตายเสียเถิด!”
มั่วจวินเหยาถือดาบพุ่งเข้าไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยามที่เห็นดาบในมือกำลังจะแทงไปที่ลำคอของนาง ประตูที่ปิดสนิทก็ถูกคนเปิดออกโดยพลัน
“หยุด!”
อามู่เต๋อตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เตะมั่วจวินเหยาออกไปคราหนึ่งก่อนจะจับหลิงมู่เอ๋อร์ที่อาศัยเพียงการได้ยินเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ไปไว้ข้างหลัง
สายตามองมั่วจวินเหยาที่ยืนขึ้นมาอย่างยากลำบาก มือข้างหนึ่งของอามู่เต๋อก็จับข้อมือนางไว้ “เจ้าจะทำอันใด!”
“เสด็จพี่ ท่านให้ข้าฆ่านางเสีย ท่านปล่อยมือ ให้ข้าฆ่านางเสีย!”
“ข้ามิใช่บอกเจ้าแล้วหรือว่านางยังมีประโยชน์ต่อข้าอยู่ เหยาเหยา หากเจ้ายังสร้างความวุ่นวายอีกข้าจะนำเจ้าไปขังไว้เช่นกัน!”
อามู่เต๋อกล่าวทิ้งท้ายอย่างดุดันก่อนจะสะบัดแขนยาวของนางออก
เพราะพละกำลังอันแข็งแกร่งของเขามั่วจวินเหยาจึงถูกทำให้ล้มลงไปบนพื้น เห็นท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุดของนาง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าคิดจะปลอบใจแต่แขนข้างหนึ่งถูกแมลงพิษตัวหนึ่งไต่ขึ้นมาเสียก่อน
อามู่เต๋อพบความผิดปกติโดยพลัน
สัตว์พิษเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นเขาที่ตั้งใจเลี้ยงดูมาซึ่งแต่ละตัวต่างมีพิษร้ายแรงและถูกเลี้ยงไว้ในห้องลับของเขา หากไม่มีกุญแจของเขาไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมไม่อาจเข้าไปได้ยิ่งมิต้องพูดถึงการนำพวกมันออกมาเลย
ทว่ามั่วจวินเหยาไม่เพียงแต่นำพวกมันออกมายังถึงขั้นต้องการใช้พวกมันสังหารหลิงมู่เอ๋อร์ การกระทำเช่นนี้เปรียบได้กับการทำลายแผนการทั้งหมดของเขา
“มั่วจวินเหยา เจ้าอย่าคิดว่าอาศัยเพียงความรักที่เสด็จพ่อมีต่อเจ้าแล้วจะสามารถทำอันใดก็ได้ เจ้าควรรู้ไว้ว่าหากกล้ามาทำลายแผนการของข้าย่อมมีจุดจบเพียงอย่างเดียว”
…นั่นคือความตาย!
“เสด็จพี่!”
น้อยครั้งที่จะเห็นเสด็จพี่มีท่าทางเผยไอสังหารออกมาเช่นนี้ มั่วจวินเหยาที่เดิมยังคิดอยากตะโกนออกไปอย่างโกรธเกรี้ยวก็ถูกทำให้ตกใจกลัว นางส่ายศีรษะพลางถอยหลังไปไม่หยุด “ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว ขอเสด็จพี่โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดเพคะ”
สายตาเห็นอามู่เต๋อก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ฝ่ามือใหญ่ของเขาบีบคอของนางอย่างไร้ปรานี มั่วจวินเหยาตกใจกลัวจนรูม่านตาเบิกกว้าง มือทั้งสองข้างของนางคว้ามือเขาไว้อย่างยากลำบากค่อยๆ หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ “เสด็จพี่ โปรดปล่อยข้า ปล่อยข้า…”
“ไสหัวไป!”
สะบัดมั่วจวินเหยาออกอย่างไร้ปรานีราวกับสิ่งที่คว้าอยู่ในมือหาใช่มนุษย์ที่ยังมีชีวิต แต่เป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งที่ไม่อยากจะมอง!
มั่วจวินเหยาที่ถูกอามู่เต๋อเหวี่ยงทิ้งร่างกายจึงไปกระแทกเข้ากับโต๊ะฝั่งตรงข้ามตรงๆ ทำให้หลังของนางรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหลรินลงมา
“เสด็จพี่ ท่าน…”
“พวกเจ้าสองพี่น้องร้องเล่นกันพอแล้วหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่มุมห้องทำเพียงหลับตาและอาศัยเพียงการได้ยินกล่าวตำหนิออกมาด้วยเสียงเย็นชา
มือขวาของนางค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่นโดยที่ระหว่างนิ้วมือเห็นแสงสีเงินสว่างวาบ เท้าเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยทำให้แสงกระทบตัวมั่วจวินเหยา “ในเมื่อเจ้าบอกว่าทนไม่ไหวแล้ว เช่นนั้นข้าย่อมไม่ถือสาที่จะส่งเจ้าไปแดนสุขาวดี!”
“หลิงมู่เอ๋อร์!”
เห็นนางต้องการจะลงมือ อามู่เต๋อก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนของนางโดยพลันก่อนจะหันกลับไปมองมั่วจวินเหยา “กลับไปปิดประตูห้องแล้วคิดทบทวนให้ดี หากไม่มีคำสั่งจากข้าภายในสิบวันนี้ห้ามก้าวออกมาจากเรือนนอนแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้าอีกแล้ว!”
“พวกเจ้า…” มั่วจวินเหยาโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด นางรู้สึกเพียงว่ายามนี้เสด็จพี่ปกป้องเพียงสตรีต่ำช้าหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้น “เหอะ ข้าจะไม่ยอมรามือแค่นี้แน่”
จนกระทั่งได้ยินเสียงดังปังคราหนึ่งอีกทั้งเสียงลมหายใจในห้องก็หายไปหนึ่งเสียง หลิงมู่เอ๋อร์จึงรู้ว่ามั่วจวินเหยาออกไปแล้วจริงๆ
ข้อมือของนางขยับเล็กน้อยเข็มเงินซึ่งอยู่ระหว่างซอกนิ้วจึงเปลี่ยนทิศทาง กำลังคิดจะซัดเข็มเงินใส่อามู่เต๋อ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของนางออกนานแล้ว
“ถึงอย่างไรเมื่อครู่ข้าก็เพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไว้แต่เจ้ากลับอยากสังหารข้า อย่างที่คิดพิษที่ร้ายกาจก็คือจิตใจของสตรี”
เสียงกวนโทสะของอามู่เต๋อดังขึ้นก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะรู้สึกเย็นสบายที่ดวงตา
ที่แท้เขาก็โรยผงยาถอนพิษใส่ใบหน้าของนาง
“เหยาเหยาอิจฉาที่เสียนหวางทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเจ้ามาโดยตลอด เจ้าถือเป็นศัตรูของนางดังนั้นย่อมไม่อาจโทษที่นางปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้ได้เสียทีเดียว อย่าได้ถือสาเอาความเด็กเลย”
“เด็กหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงแค่ว่าน่าขัน “คนที่เคยผ่านการแต่งงานมีครอบครัวมาแล้วคราหนึ่งกลับถูกเปรียบว่าเป็นเพียงเด็ก ที่แท้ราชวงศ์ซีอวี้ก็ไร้ซึ่งความเป็นธรรมเช่นนี้”
อามู่เต๋อถูกทำให้พูดไม่ออก คำพูดหลายคำติดอยู่ที่มุมปากแต่ก็ล้วนทำได้เพียงเปล่งเสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ มองท่าทางกระฟัดกระเฟียดของหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา เขาก็รู้สึกว่าน่ารักอยู่หลายส่วน
“มิน่าเล่าซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อจึงล้วนถูกเจ้าทำให้ลุ่มหลงมัวเมา นิสัยตรงไปตรงมาของเจ้าน่ารักมากจริงๆ ทำอย่างไรดีเล่า ข้าเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วว่าไม่อยากปล่อยเจ้าไป”
ได้ยินคำพูดนี้ สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จ้องเขม็งไปอย่างเดือดดาลโดยพลัน “ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้าจับข้ามาที่นี่เจ้าก็ไม่เคยคิดจะปล่อยข้าไปอยู่แล้ว อามู่เต๋อ อย่าได้พูดอย่างใจกว้างถึงเพียงนั้น หลายวันมานี้เจ้าหายไปไม่เห็นหน้าค่าตาแต่จู่ๆ กลับมาปรากฏตัวเช่นนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าไปหารือกับมั่วจวินเหยาจงใจแสร้งทำเป็นเล่นละครตบตาหรือไม่เล่า”
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำจริงๆ” อามู่เต๋อไม่รู้เพราะเหตุใดจึงอยากอธิบายให้ชัดเจนอย่างกะทันหัน แต่คิดไปคิดมาเรื่องสำคัญเหล่านั้นนางยังไม่รู้ย่อมเป็นการดีกว่า
“ไม่ได้กลับมาแคว้นซีอวี้เสียนานมีเรื่องมากมายที่รอให้ข้าไปจัดการ เจ้าคิดว่าข้าจะเหมือนองค์ชายรองแคว้นเทียนเฉาของพวกเจ้าหรือที่ไม่มีงานมีการทำทั้งวัน และรู้จักแต่เพียงการเกาะติดอยู่กับสตรี?”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ “นั่นเป็นเพราะข้างกายเซ่าเฉินมีสตรีให้เกาะติด แต่เจ้าไม่ว่าจะนิสัยหรือใบหน้าที่น่ากลัวเกรงว่าสตรีย่อมล้วนไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อยกระมัง”
“สตรีเช่นเจ้านี่มัน!”
อามู่เต๋อโกรธจนอยากเข้าไปบีบคอนางแค่กลับถูกหลิงมู่เอ๋อร์หลบเลี่ยงได้อย่างช่ำชอง
“ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นบนพื้นล้วนเป็นของเจ้าก็เก็บไปเสียเถิด ไม่เช่นนั้นข้าย่อมไม่รับรองว่าจะใช้ผงพิษสังหารพวกมันหรือไม่ ถึงครานั้นเจ้าก็อย่าได้มาเสียดายจนร่ำไห้เล่า!” นางชี้ไปที่เหล่าแมลงพิษซึ่งคลานอยู่บนพื้น
ยามนี้อามู่เต๋อจึงเพิ่งพบว่าแมลงพิษเหล่านี้ล้วนทำเพียงวนเวียนอยู่รอบตัวหลิงมู่เอ๋อร์แต่กลับไม่เข้าไปใกล้นาง
เพราะเหตุใดกัน?
แม้เหล่าแมลงพิษจะมีดวงตาแต่ก็ไม่อาจแยกแยะว่าจะทำร้ายผู้ใดได้ สตรีผู้นี้ยังมีเวทมนตร์อันใดซ่อนอยู่อีก?
“สายลับที่ฉินรั่วเฉินส่งเข้าไปในตำหนักองค์ชายรองรายงานว่าเลือดของเจ้าสามารถทำให้ร้อยพิษไม่กล้ำกราย หรือเป็นเพราะเหตุนี้แมลงพิษของข้าจึงไม่เข้าใกล้เจ้าทั้งยังไม่ทำร้ายเจ้า?” อามู่เต๋อถามตนเองแต่ก็ราวกับถามหลิงมู่เอ๋อร์ด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินก็ชะงักไป “ฉินรั่วเฉินผู้นี้ช่างเจ้าแผนการนัก เขาไม่ยอมปล่อยตำหนักองค์ชายรองไปดังคาด เหอะ แต่ต่อให้เขารู้ว่าเลือดของข้าแตกต่างจากคนทั่วไปแล้วอย่างไรเล่า? หากต้องการเลือดของข้าข้าก็ต้องตาย หากข้าตายสมบัติของข้าก็ย่อมหายไป อามู่เต๋อ เจ้าไปร่วมมือกับผู้ที่อำมหิตทั้งยังสับปลับเช่นนั้นไม่กลัวเขาจะข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานจนแตกหักกันไปข้างหรือ ไม่แน่วันใดเขาอาจต้องการชีวิตเจ้าก็เป็นได้!”
“นี่คือเจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?” อามู่เต๋อมองพิจารณาด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“เอาเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าหาได้ห่วงใยข้าถึงเพียงนั้น ส่วนเรื่องที่ข้าร่วมมือกับฉินรั่วเฉินเป็นเพียงการที่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ต่อกันเท่านั้น ถึงเขาจะเตรียมตัวรับมือข้าแล้วแต่ข้าจะไม่มีแผนการอื่นได้อย่างไร?”
เรื่องนี้อามู่เต๋อหาได้กังวลแม้แต่น้อย หันไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อีกคราเขาก็มองพิจารณานางจากบนลงล่างอีกครั้ง “จำต้องกล่าวว่าหลังจากเจ้าตั้งครรภ์ลักษณะเฉพาะตัวของเจ้าก็โดดเด่นขึ้นไม่น้อย ความอ่อนเยาว์หายไปทั้งยังมีเสน่ห์ของผู้ใหญ่มากขึ้น จิ๊ๆๆ ทำอย่างไรดีเล่า แม้แต่ข้าก็ยังล้วนถูกเจ้าทำให้ลุ่มหลงอยู่บ้างเสียแล้ว”
น้ำเสียงของเขาค่อยๆ ชั่วร้ายมากขึ้นในขณะที่สายตาก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะไม่กลัวแม้แต่น้อยที่จะซ่อนตัวเข้าไปในมิติต่อหน้าเขาทำให้หานางไม่พบ แต่อามู่เต๋อที่เป็นเช่นนี้อันตรายเกินไป
“ส่งดอกไม้ประจำแคว้นมาให้ข้า ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!”
“บังเอิญเสียจริง ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเช่นกัน” อามู่เต๋อกล่าว ไม่รู้เพราะเหตุใดคนจึงมาถึงที่ประตูแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขากำลังจะออกไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะหมุนกายกลับมาอย่างกะทันหัน “มาถึงแคว้นซีอวี้ระยะหนึ่งแล้วก็ควรให้เจ้าได้เห็นของล้ำค่าของแคว้นซีอวี้เสียหน่อย ทำไมเล่า จะไม่ตามข้ามาหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้อามู่เต๋อจึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่พูดจาดีถึงเพียงนี้ทั้งยังเสนอจะให้นางได้เห็นดอกไม้ประจำแคว้นด้วยตนเองอีกด้วย
นางจะยอมพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร หากนางใช้มิติทำให้ดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้ตกมาอยู่ในมือได้เล่า?
นางอดทนอยู่ที่แคว้นซีอวี้มานานถึงเพียงนี้ มิใช่เพื่อให้ได้ของที่ต้องการเพื่อมารักษาอาการป่วยอันแปลกประหลาดที่นางเป็นขึ้นมาอย่างกะทันหันหรือ? ไม่รู้ว่าหลังจากคนในครอบครัวและเซ่าเฉินรู้ว่านางหายตัวไปจะเป็นกังวลจนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ทั้งยังไม่รู้ว่าฉินรั่วเฉินผู้เจ้าแผนการผู้นั้นจะใช้ลูกไม้อันใดอยู่ที่เมืองหลวงอีก กล่าวคือเวลาของนางมีไม่มากแล้ว
ตั้งแต่ออกเดินทางจากป้อมปราการที่นางอยู่มาสามวัน อามู่เต๋อให้นางขึ้นรถม้าคันหนึ่งโดยที่ระหว่างทางหาได้มีคำพูดใด หลิงมู่เอ๋อร์ก็เบื่อจะมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเช่นกัน หลังจากนั่งเงียบอยู่ในรถม้าประมาณครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง
นางรีบลงจากรถม้าก่อนจะเพิ่งเห็นว่าตรงหน้าคือวังอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกต้อง เป็นวังแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือ…วังหลวงของแคว้นซีอวี้หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์คาดเดาอย่างใจกล้า
“ฉลาดทีเดียว” อามู่เต๋อกล่าวชมเชย มือทั้งสองข้างไพล่หลังเดินนำไปข้างหน้า
ประตูวังหลวงยิ่งใหญ่โอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองฝั่งมีองครักษ์ยืนอยู่ประมาณสามสิบกว่านาย ยามที่เห็นอามู่เต๋อปรากฏตัวก็พากันคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น ก่อนจะพูดอันใดไม่ทราบซึ่งคาดว่าคงเป็นภาษาของแคว้นซีอวี้
ไม่นานองครักษ์ก็เปิดประตูวังออก อามู่เต๋อซึ่งอยู่ข้างกายทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญนาง “ระยะนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากมายต้องสะสาง วันนี้อารมณ์ดีจึงพาเจ้ามาเยี่ยมชมแต่เวลาของข้ามีจำกัด รออีกไม่กี่วันเมื่อมีเวลาว่างจะพาเจ้ามาดูรอบวังหลวงแคว้นซีอวี้อีกครา ยามนี้ก็รีบหน่อยเถิด”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะอยากรู้โครงสร้างของวังหลวงแคว้นซีอวี้เป็นอย่างยิ่ง แต่เขากล่าวถูกต้อง สิ่งสำคัญคือต้องได้ดอกไม้ประจำแคว้นมา
“มั่วจวินเหยาบอกว่าเรือนที่ข้าอาศัยอยู่เคยเป็นที่พักอาศัยของแม่เจ้ายามที่ยังมีชีวิต ข้าจึงคิดว่าที่นั่นคือวังหลวง คาดไม่ถึงว่าวังหลวงแท้จริงแล้วจะเป็นที่นี่หรือ?” แม้จะบอกว่ามีความสัมพันธ์ในฐานะศัตรู แต่จำต้องทอดถอนใจเพราะภูมิปัญญาของคนแคว้นซีอวี้ช่างแกร่งกล้าจริงๆ การจะสร้างสถานที่อันยิ่งใหญ่โอ่อ่าเช่นนี้ด้วยมือย่อมมิอาจทำได้ด้วยสติปัญญาที่ธรรมดา
“นั่นคือเรือนของเสด็จแม่ก่อนที่จะตบแต่งกับเสด็จพ่อแม้หลังจากนั้นจะถูกข้าสร้างขึ้นใหม่ก็ตาม ส่วนเมื่อหนึ่งปีก่อนยามที่แคว้นซีอวี้และแคว้นเทียนเฉาเกิดสงคราม สถานที่ที่เจ้ากับซูเช่อถูกคุมขังไว้คือจวนแม้ทัพใหญ่ของข้า ดังนั้นหากกล่าวเช่นนี้แล้วหลิงมู่เอ๋อร์ ข้าสุภาพกับเจ้ามากจริงๆ อาณาเขตทั้งหมดของข้าล้วนให้เจ้าได้เห็นแล้ว มิใช่ว่าเจ้าก็ควรแสดงความจริงใจของเจ้าออกมาด้วยเช่นกันหรือ?”
อามู่เต๋อหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน
หลิงมู่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเขาจะหยุดเดินอย่างกะทันหันทำให้เกือบชนแผ่นหลังของเขา มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ จากมุมนี้สามารถมองเห็นซีกหน้าอันสมบูรณ์แบบของเข้าได้พอดี
ภายใต้แสงจันทร์ท่ามกลางหิมะ ตรงหน้าคือชายผู้ราวกับบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่งที่มีรอยยิ้มไร้พิษภัยซึ่งเป็นภาพที่งดงามอยู่บ้าง
แต่น่าเสียดายที่มุมปากของเขาโค้งอย่างชั่วร้ายจึงทำลายภาพอันงดงามนี้
“ครึ่งหนึ่งดูท่าทางราวกับบัณฑิตอ่อนแอส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็อัปลักษณ์หาใดเปรียบ ข้าสงสัยเสียจริงว่ายามที่เจ้าเดินเข้ามาที่วังหลวงอันงดงามถึงเพียงนี้ด้วยใบหน้าที่แตกต่างกันสองซีก ไม่ทำให้คนที่นี่ตกใจกลัวบ้างหรือ? ไม่สู้ให้ข้าช่วยพวกเขาด้วยการใช้พิษทำลายใบหน้าอีกครึ่งซีกที่ยังสมบูรณ์ของเจ้าด้วยจะดีกว่ากระมัง เช่นนี้เจ้าจะได้สวมหน้ากากอันสมบูรณ์ได้ทั้งยังทำให้คนตกใจกลัวน้อยลงด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตาขาวเดินผ่านเขาไปเบื้องหน้า แต่นางก็พบว่าเบื้องหน้าเป็นทางแยก
นางที่มาเยือนเป็นคราแรกทำได้เพียงพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “ต้องไปทางใด?”
“ขอร้องข้าแล้วข้าจะบอกเจ้า”