เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 480 ยุติธรรม
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 480 ยุติธรรม
เล่มที่ 16 ตอนที่ 480 ยุติธรรม
“ได้ยินมาว่าผู้นำหุบเขาเย่าหวางคนก่อนตายเพราะยาพิษที่ตนเองเป็นคนคิดค้นขึ้น การตายอย่างกะทันหันด้วยเหตุที่ไม่คาดฝันนั้นทำให้ตงฟางเชวี่ยร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ไม่สมบูรณ์” ซูเช่ออธิบายแต่ก็เห็นได้ว่าเขาเองก็รู้ไม่มากนัก “ตงฟางเชวี่ยผู้นี้ในยุทธภพมีข่าวลือของเขาไม่มาก ได้ยินเพียงว่าเขามีกำลังภายในยอดเยี่ยม แต่ถ้าเทียบกับสงอิงแล้วทักษะแพทย์ของเขา…”
“ข้ารู้เพียงว่า หุบเขาเย่าหวางจะเลือกลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ลูกศิษย์ของหุบเขาเย่าหวางมีมากมายแต่การจะถูกเลือกให้เป็นลูกศิษย์สายตรง และกลายเป็นผู้สืบทอดจำเป็นต้องผ่านการคัดเลือกหลายครั้งทั้งยังใช้เวลาหลายปี ในเมื่อตงฟางเชวี่ยมีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งนั้นได้ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเหนือกว่าคนทั่วไป”
“สมแล้วที่เป็นเสียนหวางที่มีเครือข่ายข่าวกรองอันทรงอำนาจ แม้แต่ข้อมูลที่ปิดบังเอาไว้ก็ล้วนรู้หมด เปิ่นกงจื่อเลื่อมใสนัก!”
ยามที่ตงฟางเชวี่ยปรากฏตัวอีกคราก็เปลี่ยนไปสวมชุดสีน้ำเงินเข้ม ราวกับเครื่องแบบของหุบเขาเย่าหวาง บุคลิกทั้งร่างคนราวกับเปลี่ยนจากขี้เล่นเมื่อครู่ไปเป็นสงบนิ่ง
เขาสามารถตอบได้เช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของซูเช่อ แต่สีหน้าของเขาหาได้มีความไม่พอใจแม้แต่น้อยกลับมีเพียงความเสียใจอยู่บ้าง
“ท่านอาจารย์คิดค้นยาอายุวัฒนะมาทั้งชีวิต น่าเสียดายที่สูตรยานั่นมีเอกลักษณ์ยิ่ง ไม่เพียงแต่จำต้องมียาบำรุงจึงจะสำเร็จ ทว่ายังต้องมียาพิษหลายชนิดมากลั่นรวมกันด้วย คาดไม่ถึงว่าคิดค้นมาสิบปีเต็มสุดท้ายยังต้องมาตายในห้องกลั่นยาของตนเอง” เขาทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ “แต่เซียนแพทย์หลิง เจ้าอย่าคิดว่าข้ายังร่ำเรียนวิชาจากท่านอาจารย์ไม่สมบูรณ์แล้วจะมาดูแคลนข้าได้ ไม่สู้ยามนี้พวกเรามาแข่งกันเพื่อดูว่าผู้ใดมีทักษะแพทย์เหนือชั้นกว่าจะดีกว่ากระมัง?”
“ได้ ในเมื่อผู้นำหุบเขาตงฟางสนใจเรื่องนี้ ข้าก็เต็มใจสนองให้!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบรับคำท้าทายของเขาอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่นานนางก็เห็นสีหน้าไม่น่าดูของตงฟางเชวี่ย
“ในฐานะเซียนแพทย์นี่ว่างขนาดนี้เชียวหรือ ผู้อื่นมาท้าทายเจ้าก็ออกหน้ารับมือ พร้อมใจโอ้อวดตนเองเช่นนี้ช่างเป็นผู้ที่ชอบเอาหน้าเสียจริง”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกคับอกคับใจจนอดไม่ได้ที่จะซัดเข็มเงินในมือใส่ศีรษะของเขา
“ผู้ที่ต้องการประลองฝีมือคือเจ้า ผู้ที่ถูกดูหมิ่นก็คือเจ้าเช่นกัน ตงฟางเชวี่ยเจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่?”
“บังเอิญเสียจริง เช่นนั้นวันนี้พวกเรามาพิสูจน์ความเป็นชายกันเป็นอย่างไร! มาแข่งกันเลยเถิด”
สีหน้าของตงฟางเชวี่ยจริงจังขึ้นมา มองไม่เห็นแววหยอกล้อแม้แต่น้อย ราวกับผู้ที่มีท่าทางไม่เป็นโล้เป็นพายเมื่อครู่หาใช่เขาไม่
หลิงมู่เอ๋อร์ถึงขั้นเกิดภาพลวงตาว่าตงฟางเชวี่ยตัวจริงกลัวการประลองจึงอ้างว่าไปเปลี่ยนชุดแต่กลับซ่อนตัวอยู่ ทั้งยังให้พี่ชายฝาแฝดของตนเองเปลี่ยนตัวออกมา ไม่เช่นนั้นเขาจะมีท่าทีจริงจังเช่นนี้ได้อย่างไร?
“มั่วจื่อ” ตงฟางเชวี่ยเรียกเสียงเบา
ไม่นานร่างอันสั่นเทาก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีไม่มั่นคง เห็นเพียงเขาไม่กล้ามองตาผู้ใด ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่ก้มศีรษะราวกับกวางน้อยที่ตื่นตระหนก “ท่าน ท่านอาจารย์อา?”
“ดูเจ้าสิช่างไร้ความสามารถนัก!” ตงฟางเชวี่ยใช้เท้าเตะก้นเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
มั่วจื่อที่มิได้ตั้งตัวคุกเข่านอนคว่ำลงไปบนพื้นซึ่งไปอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณพอดี เขาตกใจจนปิดปากร้องอย่างตกใจ “อ๊า! ท่านอาจารย์อาช่วยข้าด้วยขอรับ!”
“คนก็ล้วนตายไปแล้วจะยังลุกขึ้นมากินเจ้าได้อีกหรือ?” ตงฟางเชวี่ยกลอกตาขาว
“หากเขาแกล้งตายเล่าขอรับ?” มั่วจื่อพึมพำรีบตะเกียกตะกายมาอยู่ข้างหลังตงฟางเชวี่ย จับชายเสื้อของเขาเอาไว้อย่างระมัดระวังราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต
ตงฟางเชวี่ยเหลือบมองเขาคราหนึ่งเผยท่าทีราวกับอันธพาลที่ไม่แยแสสิ่งใดทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตระหนักได้ เขามิใช่แมวสับเปลี่ยนองค์ชาย [1] เขายังคงเป็นตงฟางเชวี่ยซึ่งมีท่าทีไม่สุภาพผู้นั้น
“นี่คือศิษย์หลานตัวน้อยของข้าอายุสิบแปดแล้ว มีนิสัยขี้ขลาดเหมือนหนูทำให้เซียนแพทย์หลิงต้องหัวเราะแล้ว” ตงฟางเชวี่ยมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างยิ้มๆ ทั้งยังหัวเราะฮ่าๆ
“ถูกเรียกว่าเซียนแพทย์หลิงต่อหน้าผู้นำหุบเขาช่างให้เกียรติกันเสียจริง เรียกข้าว่ามู่เอ๋อร์ก็พอ”
“ได้ สิ่งที่ข้าชื่นชอบที่สุดคือการได้ใกล้ชิดแม่นางผู้งดงาม” ตงฟางเชวี่ยไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนาง แต่ไม่นานสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไป “แต่อีกเดี๋ยวหากเจ้าแพ้ก็อย่ามาร้องไห้บอกว่าข้ารังแกเจ้าเล่า”
กล่าวจบ มือข้างหนึ่งของเขาก็หิ้วมั่วจื่อขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ “อย่าหาว่าข้ารังเจ้าที่เพิ่งหายจากอาการป่วยร้ายแรง แต่เพราะเห็นใจเจ้าที่ตั้งครรภ์ทั้งยังมีโรคประหลาด เดิมข้าคิดจะแข่งขันสามคราก็เปลี่ยนเป็นแข่งขันเพียงรอบเดียวเท่านั้น”
เขากดมั่วจื่อลงบนเก้าอี้ “ศิษย์หลานผู้นี้ของข้าร่างกายอ่อนแอทั้งยังป่วยบ่อยมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายและกระดูกก็ไม่สู้ดี ท่านอาจารย์รักษาเขาอยู่นานเรียกได้ว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาป่วยเป็นโรคที่มีมาแต่เกิดจึงไม่มีหนทางรักษา เช่นนั้นวันนี้พวกเรามาแข่งกันสักคราดูว่าผู้ใดจะสามารถหาสาเหตุอาการป่วยที่แท้จริงของเขาได้รวมถึงการรักษาด้วย ระยะเวลาสามชั่วยามเป็นอย่างไร?”
“นี่มันไม่ยุติธรรม!”
ซูเช่อรีบขัดจังหวะตงฟางเชวี่ยบราวนี่ออนไลน์
“เขาเป็นคนของหุบเขาเย่าหวาง เมื่อครู่เจ้ายังบอกอีกว่าอาจารย์ของเจ้าศึกษาเขาอยู่หลายครา พวกเจ้ารู้จักมั่วจื่อเป็นอย่างดี เจ้าย่อมรู้ว่าเขามีโครงสร้างร่างกายอย่างไร จุดศูนย์รวมของโรคอยู่ที่ใด แต่แม่นางหลิงกล่าวได้ว่าไม่คุ้นเคยกับเขาและไม่รู้จักกันเลย ผู้นำหุบเขาตงฟาง การแข่งขันเช่นนี้ออกจะไม่ยุติธรรมไปเสียหน่อยกระมัง!”
“ยุติธรรม อันใดคือยุติธรรม? นางเป็นเซียนแพทย์แต่ข้าเป็นศิษย์ที่ยังร่ำเรียนกับอาจารย์ไม่เสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่ามีเพียงชนะภายใต้สถานการณ์มากเล่ห์เช่นนี้จึงจะนับว่ายุติธรรมต่อข้า!”
ตงฟางเชวี่ยหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง “ที่นี่คือหุบเขาเย่าหวาง กฎเกณฑ์ย่อมเป็นข้าที่ตั้งขึ้น”
เห็นเขามีท่าทางไม่ให้เกียรติหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่น้อย ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จับมือนางคิดจะพานางออกไป คาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับตอบรับ “ได้ ข้ารับคำท้าของเจ้า”
“เช่นนั้นภายในสามชั่วยามนี้ศิษย์หลานของข้าเป็นของเจ้าแล้ว ผู้ใดใช้ให้ข้าคุ้นเคยกับร่างกายและชีพจรไปจนถึงภายในกระดูกของเขามานานแล้วเล่า”
ตงฟางเชวี่ยผลักมั่วจื่อไปข้างกายนาง ก่อนจะหันหลังกลับไปจมจ่ออยู่ในกระบวนการศึกษาค้นคว้า
หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาได้รีบร้อนค่อยๆ จับชีพจรมั่วจื่ออย่างระมัดระวัง
มั่วจื่อตื่นตระหนกเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเพิ่งผ่านประสบการณ์การถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมมา หากมิใช่เพราะคุณชายซูให้เขาแกล้งตายเกรงว่าเขาคงตายจริงๆ ไปแล้ว ยามนี้หัวใจของเขาเต้นเร็วอย่างรุนแรง ความตึงเครียดนี้ทำให้อาการป่วยมากมายภายในร่างกายซึ่งหลบซ่อนอยู่เผยออกมา
เขาย่อมรู้สภาพร่างกายของตนเอง กลืนน้ำลายก่อนจะมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างลำบากใจ “พี่ พี่สาวเซียนแพทย์ ร่างกายของมั่วจื่อมีความเฉพาะตัวมาตั้งแต่เด็ก หากพี่สาวบอกว่าไร้หนทางก็มิต้องแข่งหรอกขอรับ ท่านอาจารย์อาเขา…”
“เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ว่าควรรักษาร่างกายของเจ้าอย่างไร”
หลิงมู่เอ๋อร์ตบไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยนแสดงท่าทีให้เขานั่งลงด้านข้างดีๆ นางมายืนอยู่ในตำแหน่งของตงฟางเชวี่ยในปัจจุบันซึ่งอยู่ข้างตู้ยาสูง
ทั่วทั้งหุบเขาเย่าหวาง นางชอบที่นี่มากที่สุด ในชั้นบนผนังทั้งหมดล้วนเป็นสมุนไพรทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีของหายากจำนวนมาก
ตงฟางเชวี่ยเห็นนางเข้าใจสภาพร่างกายของมั่วจื่อได้อย่างรวดเร็ว ในสายตาก็เผยความชื่นชมอยู่หลายส่วน “เคลื่อนไหวรวดเร็วมากทีเดียว”
“เจ้าก็เช่นกัน”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะพูดเช่นนี้แต่การเคลื่อนไหวก็มิได้เชื่องช้าลง และเร่งรีบหาสมุนไพรที่นางต้องการ
เทียบกับตงฟางเชวี่ยที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กจนโตซึ่งแทบจะปิดตาก็ล้วนรู้ว่าสมุนไพรเหล่านี้วางอยู่ที่ใด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมจึงไม่จำเป็นต้องปีนบันได ในขณะที่นางจำต้องเสียเวลาในการหาสมุนไพรที่นางต้องการทั้งหมดไปมากทีเดียว
“ช่างเถิด ก่อนที่สายตาบุรุษของเจ้าจะฆ่าข้า ข้าจะให้ตัวช่วยเจ้าเสียหน่อย”
ตงฟางเชวี่ยงอนิ้วเรียกมั่วจื่อ “ศิษย์หลานตัวน้อยแม้ว่าทักษะแพทย์จะธรรมดา แต่ก็จัดวางสมุนไพรที่นี่เป็นจำนวนมาก เอาเช่นนี้เถิด หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกให้เขาช่วยไปหามาให้เจ้าจะได้ประหยัดเวลาของเจ้าได้มาก”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นวิธีที่ดี “ขอบคุณมาก”
“เหอะ ชนะข้าก่อนค่อยพูดเถิด”
ตงฟางเชวี่ยกล่าวจบก็เหมือนจะหาสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการพบแล้ว จึงทะยานร่างไปรอบด้านทำให้ของเหล่านั้นร่วงหล่นมาอยู่ข้างเตายาไม่ไกล
เพื่อไม่เป็นการรบกวนคนที่กลั่นยา หลิงมู่เอ๋อร์จึงเขียนสมุนไพรที่ต้องการลงบนกระดาษ จำต้องยอมรับว่าวิธีนี้ของตงฟางเชวี่ยดีเป็นอย่างมาก ด้วยการช่วยเหลือของมั่วจื่อทำให้นางย่นระยะเวลาไปได้กว่าครึ่ง
หลังผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็สามารถหาสมุนไพรที่ต้องการทั้งหมดได้ ก่อนจะนั่งลงข้างตงฟางเชวี่ยอีกครา
“ท่านไม่เป็นห่วงร่างกายของนางหรือ?” ซูเช่อมองซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยความเคร่งเครียด เห็นนางเดินไปมาหัวหมุนอยู่กับงาน หัวใจของเขาก็ราวกับไปแขวนอยู่ที่ลำคอ เหตุใดซั่งกวนเซ่าเฉินจึงมีท่าทีนิ่งเฉยนัก “ยาเป็นหนึ่งในสิ่งที่นางชอบมากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากป่วยหนักนางก็ไม่เคยได้ข้องเกี่ยวกับสมุนไพรมานานแล้ว ย่อมเป็นการยืนยันว่าทักษะของนางยังมีอยู่เช่นเดิม นี่เป็นการแข่งขันที่ดียิ่ง ข้าควรเคารพนาง”
ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ละสายตาไปจากหลิงมู่เอ๋อร์ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ก้นบึ้งในใจของเขาจะเป็นห่วงว่านางจะหมดสติไปอีกคราเพราะความเหนื่อยล้า แต่สีหน้าสตรีของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ นั่นเป็นความสุขที่แม้แต่เขาก็ล้วนมอบให้ไม่ได้ แล้วเขาจะหักใจเข้าไปขัดขวางได้อย่างไร?
“นี่ ดูท่าข้าจะประเมินเซียนแพทย์หลิงต่ำเกินไปจริงๆ ความเร็วนับว่าเหนือกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่เจ้าเหมือนกับข้าในยามนั้นที่อาศัยเพียงการจับชีพจรก็คิดว่าเข้าใจสภาพร่างกายของเขาทั้งยังรีบร้อนคิดค้นยา ผลคือถูกความฉลาดเฉลียวทำให้เข้าใจผิด ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเขาแต่ยังเกือบฆ่าเขาอีกด้วย”
ตงฟางเชวี่ยพัดเพื่อจุดไฟพลางเตือนนางด้วยเจตนาดี
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดอยากบอกเขาว่าอย่าเล่นตุกติกแต่เมื่อฟังอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ของเขามีเหตุผล
แม้พวกเขาจะแข่งกันอยู่แต่สิ่งที่ใช้ทดลองก็คือคนตัวเป็นๆ หาใช่ตุ๊กตา นางไม่อาจประมาทเลินเล่อได้
ยิ่งไปกว่านั้นตงฟางเชวี่ยแม้จะเป็นคนขวางโลกแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จู่โจมศัตรูด้วยคำพูด หรือว่านางจะทำขั้นตอนใดผิดพลาดไปจริงๆ?
หลิงมู่เอ๋อร์ปล่อยวางขั้นตอนการปรุงยาลง และเริ่มวิเคราะห์สมุนไพรที่นางหามาอย่างละเอียด ก่อนจะเริ่มใคร่ครวญในใจว่ามีความผิดพลาดหรือไม่ ผลคือ…
“ข้าแพ้แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์วางสมุนไพรลง
“นี่ ยามนี้เจ้ามารู้จักยอมแพ้ บุรุษร่างใหญ่สองคนข้างนอกจะไม่บอกว่าข้ารังแกเจ้าหรือ?” ตงฟางเชวี่ยผลักเตายาที่ตนเองจุดไปข้างหน้านาง “เอาเถิด ผู้ใดใช้ให้ข้ารู้จักมั่วจื่อดีกว่าเจ้าถึงสิบแปดปีเล่า เช่นนี้คงยุติธรรมแล้วกระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะปฏิเสธแต่ตงฟางเชวี่ยก็ลุกขึ้นไปอยู่ข้างเตาไฟเตาที่สอง เห็นนางมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเกรงใจ เขาก็ใช้สายตาชี้ไปทางนาฬิกาทราย “อย่าแสร้งทำตัวเป็นนักบุญเลย เวลาของเจ้ามีไม่มากแล้ว”
“การเดิมพันของเจ้าคือหากข้าแพ้ต้องเอาหุบเขาเย่าหวางทั้งหมดให้เจ้า แต่สิ่งเดิมพันของข้ายังมิได้บอกเลย” น้ำเสียงของตงฟางเชวี่ยดังขึ้นมาอย่างชั่วร้าย “หากเจ้าแพ้ก็อยู่เป็นตัวทดลองของข้าเสีย ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าตามตรงว่าอาการป่วยที่ทำให้หมดสติทั้งยังทำให้ไร้ซึ่งชีพจร ทั้งชีวิตของข้าเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ข้าสนใจเจ้ามากทีเดียวดังนั้นหากเจ้าแพ้ก็อยู่ให้ข้าศึกษาต่อเถิด แน่นอนว่าข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นมนุษย์ยาเอาใส่ไว้ในหม้อต้มเพื่อศึกษาสักสามสิบห้าสิบปี ถึงยามนั้นเจ้าจะต้องเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตาย อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นเล่า ข้าตงฟางเชวี่ยหากเอาจริงขึ้นมาแม้แต่ตนเองก็ยังกลัว”
เชิงอรรถ
[1] แมวสับเปลี่ยนองค์ชาย หมายถึง การแอบสับเปลี่ยนบางสิ่งโดยการเอาของปลอมไปสับเปลี่ยนกับของจริง