เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 460 จี้ที่จุดเจ็บปวด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 460 จี้ที่จุดเจ็บปวด
เล่มที่ 16 ตอนที่ 460 จี้ที่จุดเจ็บปวด
“หากมิใช่รับสั่งจากฝ่าบาทผู้ใดจะกล้าทำเช่นนี้ได้!”
ผู้ที่ตอบคำถามของอี้กุ้ยเฟยหาใช่ใครอื่น แต่เป็นหมิ่นกุ้ยเฟยที่เข้ามาอย่างเงียบๆ
นางหมุนกาย ยามที่เครื่องแต่งกายแบบหัวฝูปรากฏต่อหน้าทุกคน ก็เห็นเพียงนางจ้องมองทุกคนอย่างเย็นชาในขณะที่ยืนอยู่ข้างกายฉินรั่วเฉิน “องค์ชายหกทำตามรับสั่ง แล้วพี่สาวจะกล่าวโทษผู้ใดเล่า?”
เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยปรากฏตัว สีหน้าของอี้กุ้ยเฟยก็ซีดเผือดโดยพลัน
“ไม่ทันได้เข้าใจความจริงอย่างกระจ่างก็พาทหารไปจับกุมคน โอรสน้อยที่น่าสงสารเพิ่งจะอายุครบสิบสองเดือนจะทนรับความลำบากในคุกหลวงอันมืดมิดและชื้นแฉะได้อย่างไร? หรือจะบอกว่าข้าไม่ควรกล่าวโทษเขาหรือ?”บราวนี่ออนไลน์
“เฮ้อ เช่นนั้นเหตุใดองค์ชายหกจึงไม่สงสัยผู้อื่น แต่สงสัยองค์ชายสามเพียงผู้เดียวเล่า? พี่สาวน่าจะรู้หลักการที่ว่าหากไม่มีควันย่อมไม่มีไฟ มิใช่เพราะหลังองค์ชายสามถูกปลดออกจากตำแหน่งไท่จื่อแล้วเกิดความโกรธแค้นในใจ จึงได้คิดจะมาลงมือกับฝ่าบาทหรือ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยกลอกตาขาวใส่นางคราหนึ่ง ผลักร่างของนางก่อนจะมายืนในตำแหน่งเดิมของอี้กุ้ยเฟย และจับมือของฮ่องเต้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ “ฝ่าบาทโปรดอภัยที่หม่อมฉันมาช้าด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท พระวรกายของพระองค์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ? เหตุใดจึงเดี๋ยวบอกว่าประชวรเดี๋ยวบอกว่าถูกวางยาพิษเล่าเพคะ ยามนี้ดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เพคะ?”
จ้องมองคนในห้องซึ่งแต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกัน ฮ่องเต้ผู้ชราภาพก็หลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครา พลางทอดถอนใจอย่างไร้เสียง
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นก็ปล่อยคนเสีย”
คำพูดของฮ่องเต้มีค่าดั่งทองคำล้ำค่าดั่งหยก หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเช่นนั้นก็ยินดียิ่ง แม้แต่อี้กุ้ยเฟยก็กำลังคิดจะโขกศีรษะเพื่อขอบพระทัยในความเมตตา แต่ก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของหมิ่นกุ้ยเฟยดังขึ้นมาเสียก่อน
“ปล่อยคนไม่ได้นะเพคะฝ่าบาท!”
หมิ่นกุ้ยเฟยจับมือฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ฝ่าบาทกำลังสับสนเพคะ หมอมากมายเช่นนี้ต่างวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ถูกวางยาพิษ เหตุใดเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเพิ่งเข้ามาเมื่อครู่พิษก็ได้รับการแก้แล้วเล่าเพคะ?”
นางหันกลับไปจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาเฉียบแหลม “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าทำอันใดกับฝ่าบาท?”
นางไม่อาจพูดว่าถอนพิษได้ เพราะเช่นนั้นจะเป็นการยืนยันว่าเมื่อครู่พวกเขาโกหกเพื่อจงใจแก้ต่างให้ไท่จื่อ
“ข้าเป็นหมอเป็นธรรมดาที่ต้องจับชีพจรของฝ่าบาท จากชีพจรย่อมต้องถูกพิษแน่นอน แต่หากตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะสามารถแยกแยะได้ ส่วนสาเหตุที่เหล่าหมอหลวงวินิจฉัยผิดพลาดคิดว่าฝ่าบาททรงประชวรหนักขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทุกคนล้วนสับสนไปเอง หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคิดว่าข้าควรทำเช่นไรหรือ?”
“เหอะ ตำหนักไท่จื่อและตำหนักองค์ชายรองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพื่อช่วยให้ฉินอวี้เหิงพ้นโทษ ไม่แน่เจ้าอาจแอบทำบางสิ่ง” น้ำเสียงแหลมสูงของหมิ่นกุ้ยเฟยฟังดูโหดร้าย
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์ยังคิดจะหาเหตุผลมาแก้ต่าง แต่เห็นแววตาอันชั่วร้ายของนาง หลิงมู่เอ๋อร์จึงถือโอกาสยอมรับอย่างผ่าเผย “ต่อให้ข้าทำอันใดก็นับว่าเป็นผลดีต่อฝ่าบาท อย่างน้อยฝ่าบาทที่เมื่อครู่ทรงหมดสติไปทั้งยังมีสติไม่แจ่มชัด ในยามนี้ก็ฟื้นขึ้นมาแล้วอีกทั้งยังมีสติแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง หรือหมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคิดว่าการที่ข้ารักษาฝ่าบาทเป็นเรื่องที่ผิดเล่า?”
เห็นสีหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนไปมากทั้งยังอยากจะพูดอันใด หลิงมู่เอ๋อร์ก็ก้าวเข้าไปใกล้นาง “หรือจะบอกว่าหมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่อยากให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา เช่นนั้นไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงมีความคิดอันใดอยู่ในใจหรือ?”
“เจ้า…”
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่คิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะมีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้ วันนี้เมื่อนางได้รับข่าวก็เร่งรุดเข้ามาโดยไม่คิดจะปล่อยพวกไท่จื่อไป ถิงเอ๋อร์ของนางก็ไม่อยู่แล้ว นางยังจะต้องสนใจอันใดอีก หากสามารถลากคนอีกสองสามคนลงไปฝังเป็นเพื่อนถิงเอ๋อร์ได้ ก็นับเป็นการทำให้ถิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างล่างคนเดียวเหงาน้อยลง
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีความตั้งใจ ฝ่าบาททรงประชวรหนักมาหลายวันที่ผ่านมาไร้หนหางรักษาให้ดีขึ้น แม้แต่หมอหลวงก็ยังจนปัญญา แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมาถึงก็ทำให้ฝ่าบาทมีท่าทีผ่อนคลายลง สมแล้วที่ถูกเรียกว่าแม้นางเซียนแพทย์” หลังจากอี้กุ้ยเฟยชื่นชมหลิงมู่เอ๋อร์ก็หันกลับไปมองหมิ่นกุ้ยเฟย “ใช่แล้วน้องสาว เจ้ามีความคิดอันใดอยู่หรือ แม้แต่หมอก็ยังไม่อาจให้มารักษาฝ่าบาทได้หรือ? ทำไมเล่า เจ้าบอกว่าเหิงเอ๋อร์ของพวกเราโกรธแค้นที่ถูกฝ่าบาทปลดออกจากตำแหน่งไท่จื่อจึงวางยาพิษฝ่าบาท เช่นนั้นข้าก็สามารถคาดเดาได้ใช่หรือไม่ว่าน้องสาวเจ็บปวดจากการสูญเสียจึงจงใจใส่ความกัน?”
คำพูดประโยคนี้ไม่หนักไม่เบาแต่ก็จี้เข้าไปยังจุดที่เจ็บปวดของหมิ่นกุ้ยเฟยได้พอดี
เห็นสีหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนไปมาก หลิงมู่เอ๋อร์ก็ดึงแขนเสื้อของซั่งกวนเซ่าเฉิน ไม่นานอีกฝ่ายก็เข้าใจโดยพลัน
“หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ไม่ทราบว่าเมื่อเจ็ดวันก่อนเจ้าอยู่ที่ใดหรือ?”
ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินถามเช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน หมิ่นกุ้ยเฟยก็สับสนขึ้นมาโดยพลัน “ที่ใดอันใด แน่นอนว่าเปิ่นกงย่อมอยู่ในตำหนักของเปิ่นกง ดูท่าองค์ชายรองคงต้องการช่วยตำหนักไท่จื่อจัดการเปิ่นกงจริงๆ กระมัง? ข้าจะบอกเจ้าให้ เปิ่นกงหาได้เคยลอบทำร้ายฝ่าบาท กลับกันเป็นพวกเจ้าตำหนักองค์ชายรองต่างหากที่ช่วยคนที่ต้องการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท พูดมาสิว่าพวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกันนานแล้วใช่หรือไม่!”
“ที่เจ้าพูดก็เป็นไปได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าความผิดปกติในคำพูดของนางได้ ยามที่เข้าไปใกล้นางก็แผ่แรงกดดันมหาศาลออกมาทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยหายใจติดขัดโดยพลัน
“แต่คนของข้าเห็นกับตาว่าเจ้าจ้างมือสังหารในยุทธภพมาสังหารคน ไม่ทราบว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจะอธิบายอย่างไร!”
จ้างมือสังหารอันใด?
ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนตกตะลึง
ซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าโอกาสคุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้โดยพลัน “เสด็จพ่อ ในเมื่อพระวรกายของเสด็จพ่อดีขึ้นแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้เสด็จพ่อโปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ที่เพิ่งได้สติแจ่มชัดขึ้นมาเมื่อครู่ถูกพวกเขาทำให้สับสน ก่อนหน้านี้ก็เป็นไท่จื่อหมายจะลอบสังหารเขา ทั้งยังสนมรักของตนไปว่าจ้างมือสังหารอีก เขารู้สึกเพียงว่าปวดเศียรเวียนเกล้า หลับตาลงกำลังคิดจะให้คนเหล่านี้ออกไปให้หมดเพราะเขาอยากพักผ่อน แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับรู้สึกว่านี่เป็นสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อยังจำชาวเมืองผิงเฉิงที่เข้ามาชี้ตัวน้องเจ็ดที่ท้องพระโรงวันนั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ระหว่างทางที่พวกเขาสองคนเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ถูกลอบสังหาร และมือสังหารที่มาลอบสังหารพวกเขาก็เป็นคนของหมิ่นกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่ใช่ข้า!”
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะเปิดโปงการกระทำของนางต่อหน้าฮ่องเต้ หมิ่นกุ้ยเฟยจึงตะโกนเสียงดัง
วันนั้นนางสั่งให้คนไปลอบสังหารสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงจึงไม่ได้กลับวัง เมื่อนางรู้ว่าล้มเหลวก็แอบจับตาดูการเคลื่อนไหวของตำหนักองค์ชายรองมาโดยตลอด เพราะคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมไม่ปล่อยนางไป แต่ถึงอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาชี้ตัวนางตั้งแต่ฮ่องเต้เพิ่งฟื้นคืนสติ
“ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งสูญเสียโอรสผู้เป็นที่รักไปยังไม่ทันได้หลุดพ้นจากความโศกเศร้า จะมาวางแผนชั่วจ้างมือสังหารได้อย่างไรเพคะ!”
หมิ่นกุ้ยเฟยโผเข้าไปเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าบีบน้ำตาออกมาจากที่ใด ทั้งยังบีบน้ำหูน้ำตาร้องทุกข์ให้ตัวเอง
วันนี้เดิมทีนางมาเพื่อเป็นศัตรูกับองค์ชายรองหมายจะหยุดความหยิ่งยโสของพวกเขา แต่คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกดึงเข้าไปพัวพันเช่นนี้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบว่าเหตุใดองค์ชายรองจึงพุ่งเป้ามาเล่นงานหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ เพคะ!”
“หมิ่นกุ้ยเฟยไม่ได้ทำแล้วเหตุใดชาวบ้านสองคนนั้นจึงชี้ตัวว่าเป็นหมิ่นกุ้ยเฟยเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ก้าวออกมาในเวลาที่เหมาะสม มองสีหน้าที่ยิ่งซับซ้อนขึ้นของฮ่องเต้ เสียงของนางไม่ดังไม่เบาแต่ก็ดังเข้าหูของทุกคนพอดี “ในเมื่อหมิ่นกุ้ยเฟยไม่ยอมรับ ดี เช่นนั้นขอฝ่าบาทได้โปรดทรงถ่ายทอดราชโองการให้นำตัวมือสังหารเข้าวังหลวงด้วยเพคะ ในมือของเขามีหลักฐานว่าหมิ่นกุ้ยเฟยเป็นผู้ว่าจ้างอยู่เพคะ”
“เป็นไปไม่ได้!”
หมิ่นกุ้ยเฟยถูกทำให้โกรธเกรี้ยวจนหลุดปากออกมาโดยไม่คิด หลังกล่าวจบตัวเองจึงมานึกเสียใจภายหลัง
แม้แต่สายตาของฮ่องเต้ที่มองมาก็ยังดูเย็นชา นางรีบส่ายศีรษะ “ฝ่าบาท ความหมายของหม่อมฉันคือเป็นไปไม่ได้ที่หม่อมฉันจะทำเช่นนั้นเพคะ ขอฝ่าบาทโปรด…”
“หุบปากให้หมด!”
ฮ่องเต้เดือดดาลแต่เมื่อมีโทสะอย่างไม่ระวังจึงทำให้เริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้เขาแต่กลับถูกปฏิเสธ
“พอแล้ว เจิ้นเพิ่งได้สติก็ต้องมาถูกเรื่องหยุมหยิมของพวกเจ้าทำให้ปวดหัวอีก!”
หมัดของเขาทุบลงไปที่ผ้าห่มข้างตัวอย่างไร้เสียง ก่อนจะหันกลับไปมองทุกคนอีกครา แม้จะป่วยหนักแต่ก็ยังคงมีสีหน้าน่าเกรงขาม “เจ้าหก”
“ลูกอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ฉินรั่วเฉินคาดไม่ถึงว่าหลังจากหลับตาเสด็จพ่อจะเรียกตัวเองเป็นคนแรก จึงทั้งรู้สึกทั้งแปลกใจและไม่สบายใจ เขารีบค้อมกายเข้ามา “เสด็จพ่อ พระวรกายของท่าน…”
“เจ้าบอกว่าไท่จื่อเป็นมือสังหารที่หมายจะปลงพระชนม์เจิ้น แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองกลับบอกว่าเจิ้นไม่ได้ถูกวางยาพิษ ทว่าเจ้ากลับบอกว่าพบยาพิษในตำหนักไท่จื่อ จึงอยากจะถามเจ้าจริงๆ ว่าครอบครัวของฉินอวี้เหิงล้วนกำลังจะออกจากเมืองหลวงแล้ว ยังจะทิ้งหลักฐานสำคัญถึงเพียงนั้นไว้รอให้เจ้าไปเอามาอีกหรือ?”
ฉินอวี้เหิงตกตะลึง คาดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าเสด็จพ่อที่กำลังประชวรหนักจะคิดได้อย่างชัดเจนและมีแบบแผนเช่นนี้ “เสด็จพ่อ นั่นเป็นเพราะ…”
“เอาเถอะ หากเขาอยากทำร้ายเจิ้น เจิ้นก็มีวิธีนับหมื่นจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข แต่ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ”
กล่าวจบฮ่องเต้ก็มองไปทางอี้กุ้ยเฟย “กลับไปบอกโอรสของเจ้าให้ดีว่าเป็นเพราะตัวเขาเองไร้ความสามารถจึงไม่อาจรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ หาได้เป็นเพราะความไร้เมตตาของผู้เป็นบิดา แต่หากเจ้าทนตัดใจให้โอรสของเจ้าจากไปไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็ให้เขาอยู่ต่อเถอะ”
ราวกับพระเจ้าทรงเมตตา แม้ฮ่องเต้จะพูดอย่างไม่ใส่ใจแต่อี้กุ้ยเฟยก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”
ไท่จื่อไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองหลวงก็ได้ แต่เพราะได้รับพระราชทานยศให้เป็นเซียวเหยาหวาง เป็นธรรมดาที่จะได้รับพระราชทานตำหนักอ๋องตามตำแหน่ง แม้จะหาใช่องค์ชายทั้งยังมิได้มีอำนาจแท้จริงแต่ด้วยสถานะเซียวเหยาหวาง มิใช่ว่าอยู่ใต้คนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่นหรือ?
เห็นอี้กุ้ยเฟยและไท่จื่อไม่เพียงแต่ไม่ได้รับโทษเพราะเรื่องนี้ ทว่ากลับยังได้รางวัล หมิ่นกุ้ยเฟยก็โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด
“ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายสามถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วก็ไม่อาจปล่อยให้อยู่ในเมืองหลวงต่อได้นะเพคะ หากเขามีความทะเยอทะยานอย่างชั่วร้ายในใจ นั่นย่อมไม่ส่งผลดีต่อแผ่นดินของฝ่าบาท และต่อตัวพระองค์นะเพคะ!”
“สามหาว!” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยว “สตรีในวังหลังไม่อาจเข้าแทรกแซงงานราชการของแผ่นดินได้ หมิ่นกุ้ยเฟย เจ้าสูญเสียลูกจนเลอะเลือนไปจริงๆ แล้วหรือ?”
ถูกตะคอกเช่นนี้ หมิ่นกุ้ยเฟยก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ทั่วทั้งร่างของนางสั่นเทา ก้มศีรษะไม่กล้ามองตาฮ่องเต้ คำพูดที่นางเพิ่งกล่าวว่า ‘แผ่นดินของฝ่าบาท’ นับว่าทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
“เหอะ ความผิดของเจ้ามีเพียงเท่านี้หรือ!”
ฮ่องเต้เสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“ผู้อื่นไม่รู้แต่เจิ้นจะไม่รู้จักนิสัยเจ้าเชียวหรือ? เคยบอกเจ้านานแล้วว่าถิงเอ๋อร์ตาย เจ้าก็ควรสงบเสียบ้าง แต่เจ้า…เหตุใดถิงเอ๋อร์จึงถูกจับไปขังไว้ในคุกคุมขังนักโทษประหาร ในใจเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด ยามนี้คนก็ไม่อยู่แล้ว ในภายภาคหน้าเจ้าควรทำอย่างไรก็น่าจะรู้มิใช่หรือ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยหันกลับไปมองฮ่องเต้อย่างไม่เข้าใจ ในก้นบึ้งของดวงตายังมีความแค้นอยู่หลายส่วน
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรักและเห็นใจ แต่กับนางกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นการลงโทษ!
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจความคิดของฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันทำอันใดผิดเพคะ? ไหนจะถิงเอ๋อร์อีก ต่อให้เขาทำอันใดผิดแต่เขาก็ไม่อยู่แล้วนะเพคะ!”
“สามหาว!” ถูกอีกฝ่ายมีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ฮ่องเต้ก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “ในฐานะกุ้ยเฟยกลับไม่เลี้ยงดูโอรสของตัวเองให้ดีปล่อยให้เขาทำเรื่องที่ผิด ยามนี้เจ้ายังจะมาสงสัยในการตัดสินใจของเจิ้นอีกหรือ? เดิมเจิ้นคิดจะปกป้องเจ้า ยามนี้ดูท่าเจ้าคงไม่ต้องการแล้ว เช่นนั้นก็ดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหมิ่นกุ้ยเฟยไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจากวังหลังแม้เพียงครึ่งก้าว และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าเจิ้น ทหาร พาตัวไป!”
“ฝ่าบาท!”
หมิ่นกุ้ยเฟยเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินทั้งหมดเมื่อครู่
แม้วังหลังจะใหญ่โตและมิได้จำกัดอิสรภาพของนาง แต่หากไม่ให้นางเข้าเฝ้าฮ่องเต้จะต่างอันใดกับการให้นางไปอยู่ในตำหนักเย็นเล่า?