เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 433 แบบอย่าง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 433 แบบอย่าง
เล่มที่ 15 ตอนที่ 433 แบบอย่าง
ซั่งกวนเซ่าเฉินสั่งให้คนพาสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงกลับไปที่ตำหนักองค์ชายรอง ส่วนบุญคุณที่ซูเช่อช่วยชีวิตเอาไว้ นอกจากคำว่าซาบซึ้งในบุญคุณพวกเขาก็หาคำอื่นมากล่าวไม่ได้จริงๆ
ซูเช่อกลับทำเพียงแค่ส่ายศีรษะให้พวกเขาไปจัดการเรื่องของตัวเอง ยามที่จากไปก็ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “หากต้องการความช่วยเหลือของเสียนหวางก็บอกได้เสมอ ถึงอย่างไรท่านกับกระหม่อมก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินประสานมือให้เขาอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะหันกลับไปขึ้นรถม้ากับหลิงมู่เอ๋อร์และหนานกงอี้จือ
“อี้จือ”
เพิ่งนั่งลงน้ำเสียงเย็นชาของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดังขึ้น
“ไปตรวจสอบให้ชัดเจนว่ายามที่สงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงถูกโจมตี เจ้าหกมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
“ท่านสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉินรั่วเฉินหรือ?” ยามที่หนานกงอี้จือกล่าวเช่นนี้ ขนทั่วทั้งร่างของเขาก็ลุกขึ้นมาโดยพลัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเมืองหลวงในยามนี้หาใช่สถานที่ปลอดภัยแล้วเล่า
ท่าทีของซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนไปเป็นล้ำลึก “คนชุดดำกลุ่มนั้นล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แต่คนผู้นั้นเพิ่งถูกไต่สวนเป็นคราแรกมิใช่หรือ? หากเปลี่ยนเป็นเจ้าที่คิดจะจ้างวานมือสังหารจะบอกสถานะแท้จริงของเจ้าให้มือสังหารรู้หรือ?”
“เห็นข้าโง่หรือ!” หนานกงอี้จือกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง แต่แทบจะทันทีที่สิ้นคำพูด เขาก็ตอบสนองออกมาโดยพลัน “มีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้ทั้งหมิ่นกุ้ยเฟยและฉินรั่วเฉินทั้งสองฝ่ายต่างส่งคนมา ทว่าเป้าหมายสูงสุดของพวกคนของฉินรั่วเฉินก็คือการชี้เป้าไปที่หมิ่นกุ้ยเฟย!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้พูดอันใด เห็นได้ชัดว่ายอมรับการคาดเดาของเขา
คนชุดดำที่ซูเช่อจับมาเป็นมือสังหารในยุทธภพซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขององค์กร ยามนั้นเขาให้หนานกงอี้จือก็ไปตรวจสอบดู ผลคือหนานกงอี้จือรู้จักองค์กรนี้ดียิ่ง
ได้ยินข่าวลือมาว่ามือสังหารขององค์กรนี้ทั้งหมดล้วนผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนยังล้วนทำธุรกิจที่ต้องเห็นเลือด
คนในยุทธภพแขวนชีวิตไว้กับปลายดาบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไหนเลยจะมิได้เตรียมตัวตายไว้แล้ว? แต่คนผู้นั้นถูกไต่สวนคราแรกก็เรียกได้ว่าตัวสั่นโดยสิ้นเชิง แล้วจะไม่ให้คนสงสัยได้อย่างไร?
“ความจริงทั้งหมดหากตรวจสอบแล้วก็จะรู้เอง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจิตใจสงบนิ่ง แววตาแสดงท่าทีให้หนานกงอี้จือมิต้องรีบร้อน
ฉินรั่วเฉิน เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันแต่ยามนี้ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
“เป็นอันใดไปหรือ? เหตุใดสีหน้าจึงดูไม่ดีเช่นนี้?” ซั่งกวนเซ่าเฉินสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย ทั้งตัวคนราวกับมะเขือม่วงต้องน้ำค้าง [1] ที่ไร้ชีวิตชีวา
รู้จักนางมาหลายปีเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง
“อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยมาก รอให้แก้แค้นให้พวกสงฉี่กวง และจัดการหมิ่นกุ้ยเฟยได้แล้วข้าจะพักให้มากเสียหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการหายใจยากลำบากอยู่บ้าง นางสูดหายใจอยู่หลายคราก่อนจะเอนไปพิงไหล่ของชายข้างกาย
หนานกงอี้จือเดิมทีคิดจะมาหยอกล้อนาง แต่เห็นนางเหนื่อยมากแล้วจริงๆ คิดไปคิดมาจึงอดทนไว้
ก้นบึ้งในดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในใจของเขาคิดว่านางถูกหมิ่นกุ้ยเฟยลงมือทำร้ายจนจิตใจเหนื่อยล้าเกินไปจึงมิได้คิดให้มากความอีก
ยามที่จับจูงนิ้วมือทั้งห้าอันขาวซีดก็ฉวยโอกาสตรวจชีพจรของนางไปด้วยจึงพบว่ามันอ่อนลงจริงๆ ทว่าน่าเสียดายที่เขามิใช่หมอจึงดูไม่ออกว่านางต่างออกไปอย่างไร จึงทำได้เพียงเอนกายเข้ามาครึ่งหนึ่งให้นางสามารถพิงได้สบายขึ้นอีกหน่อย
“ฮ่ะ” รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหันและรุนแรงทำให้พวกเขาที่อยู่ในรถม้าถูกเหวี่ยงไปตามการเคลื่อนไหว
ยามที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ร้องอย่างตกใจไปตามสัญชาตญาณ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กล่าวอย่างเดือดดาล “เกิดอันใดขึ้น!”
“ทูลเหยีย เป็นองค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ” ข้างนอกม่านรถม้ามีเสียงคนบังคับรถม้าที่สั่นเทาอยู่บ้างดังขึ้นมา
ท่าทีของซั่งกวนเซ่าเฉินชะงักไปเล็กน้อยใช้สายตาส่งสัญญาณให้หนานกงอี้จือ หลังจากให้เขาดูแลหลิงมู่เอ๋อร์แล้วจึงลงมาจากรถม้าคนเดียว
เขาจงใจเปิดม่านของรถม้าให้แคบเพื่อให้ฉินรั่วเฉินมองไม่ออกว่ามีผู้ใดอยู่ในรถม้าบ้าง
ถึงแม้เขาจะพยายามมองเข้ามาผ่านรอยแยกก็ยังไม่อาจมองเห็นผ่านเข้าไปในรอยแยกนั้นได้
“เสด็จพี่รอง ช่างบังเอิญทีเดียว” ฉินรั่วเฉินยิ้มทักทาย รอยยิ้มน่ามองที่ทำให้หางตาเกิดรอยย่น ท่าทางราวกับพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อันดีเป็นอย่างยิ่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองประตูจวนเสียนหวางที่อยู่ไม่ไกล จวนเสียนหวางแม้จะอยู่บนถนนสายหลักแต่บริเวณโดยรอบก็หาได้มีสิ่งใดที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของฉินรั่วเฉินได้ จึงอธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่าเขามาหาซูเช่อ
“ใช่ ช่างบังเอิญนัก น้องหกก็มาหาเสียนหวางเหมือนกันหรือ?”
“เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้ากับเสด็จพี่รองบริหารบ้านเมือง น้องรู้ตัวว่ามิได้ฉลาดเฉลียวเท่าเสด็จพี่ แต่หน้าที่อันหนักหนาเช่นนี้ไหนเลยน้องจะกล้าไปถ่วงแข้งถ่วงขาเสด็จพี่ ขอเพียงนกบินออกจากรังก่อนย่อมทำสิ่งที่สามารถทำได้มากมาย บังเอิญว่าเรื่องต่อไปที่ต้องจัดการคือเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของเมืองหลวงและแคว้นซีอวี้พอดี จึงได้มาหาเสียนหวางเพื่อพูดคุยด้วยตัวเองเสียหน่อย” ฉินรั่วเฉินอธิบาย ซึ่งไม่เพียงแต่ยกย่องตัวเองทว่ายังยกย่องผู้อื่นด้วย
ช่างมีวาทศิลป์เสียจริง
“แต่เหตุใดเสด็จพี่รองจึงมาที่จวนเสียนหวางเหมือนกันเล่า ไม่ทราบว่าเสด็จพี่รองมาหาเสียนหวางด้วยเรื่องอันใดหรือ?”
เห็นท่าทางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รู้สึกราวกับการเคลื่อนไหวของเขาล้วนถูกฉินรั่วเฉินจับตามองอยู่
นั่นจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
“เปิ่นหวางจื่อและเสียนหวางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีเวลาว่างจึงมาเป็นแขกที่จวนเสียนหวางเป็นเรื่องปกติ น้องหกไม่รู้หรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินหาข้ออ้างขึ้นมาลวกๆ
“หืม?” ฉินรั่วเฉินพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ความจริง ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องที่เสียนหวางและพี่สะใภ้รองลอบมีความสัมพันธ์กัน ข้ายังได้ยินว่าเสียนหวางทุ่มเทความรักให้พี่สะใภ้รองอีกด้วย แม้ว่าเสียนหวางหาได้มีวาสนาจะได้ตบแต่งกับพี่สะใภ้รอง แต่ค้าขายไม่สำเร็จมิตรภาพยังคงอยู่เป็นสหายกันนับว่าดีที่สุดแล้ว”
ฉินรั่วเฉินพูดไม่กี่คำก็ยุแยงความสัมพันธ์ของทั้งสามคนได้แล้ว
ทั้งยังทำให้อับอายได้อย่างไร้ช่องโหว่
หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้าถูกทำให้หน้าซีดจากความทุกข์ใจอย่างกะทันหัน แต่ได้ยินคำพูดนี้นางก็อดไม่ได้ที่อยากจะพุ่งออกไป
“อย่าหุนหัน” หนานกงอี้จือกดแขนนางไว้ได้ทันเวลา ก่อนจะใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามขัดขืนครู่หนึ่ง แต่ด้วยความอ่อนแอของร่างกายจึงหาใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทว่าฉินรั่วเฉินผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้จะคิดอย่างไร
“ไม่รู้น้องหกไปได้ยินข่าวลวงพวกนี้มาจากที่ใด เสียนหวางกับมู่เอ๋อร์เพียงแค่มีมิตรภาพอันดีต่อกันเท่านั้น ยามนั้นเสียนหวางได้รับบาดเจ็บจนเกือบถึงแก่ชีวิตทว่ามู่อ๋อร์ช่วยชีวิตเขาไว้คราหนึ่ง เสียนหวางเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้จึงดูแลมู่เอ๋อร์เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเสียนหวางแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นซีอวี้แล้ว น้องหกคงมิได้ลืมไปแล้วกระมัง?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเลิกคิ้ว สายตาเฉยชาที่พุ่งเข้ามาราวกับมีไอสังหารทะลุผ่าน
ฉินรั่วเฉินรู้สึกสันหลังเย็นยะเยือกอย่างอธิบายไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ตรงหน้าเพียงแค่ดูเย็นชาเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเย็นเฉียบที่คอราวกับมีคมดาบที่มองไม่เห็นจะผ่าตัวเขาออกอยู่ตลอดเวลา
“ฮ่าๆๆ เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น เหตุใดเสด็จพี่จะต้องจริงจังด้วยเล่า? ข่าวเรื่องความรักที่เสด็จพี่รองและพี่สะใภ้รองมีต่อกันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว จนแม้แต่น้องที่ปกติหาได้สนใจเรื่องพวกนี้ก็ยังได้ยินข่าวนี้มา แล้วจะสงสัยในนิสัยใจคอของพี่สะใภ้ได้อย่างไรเล่า”
ฉินรั่วเฉินจงใจหัวเราะออกมา
แต่เขายิ่งพูดเช่นนี้กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควร
ในรถม้า มือทั้งสองข้างของหลิงมู่เอ๋อร์กำเป็นหมัดแน่น เล็บยาวจิกฝ่ามือจนเจ็บ ครานี้กลายเป็นหนานกงอี้จือที่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
“จะทำอันใด?”
เห็นเขาจะพุ่งออกไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็กระซิบ
“แม่งเอ๊ย เจ้าหมอนี่จะรังแกคนเกินไปแล้ว!” หนานกงอี้จืออดด่าอย่างหยาบคายไม่ได้ “พี่สะใภ้ของเปิ่นซื่อจื่อมีแค่ข้าที่รังแกได้ ผู้อื่นอย่าได้กล้า! เขามาทำให้เจ้าอับอายเช่นนี้คอยดูข้าไม่ไว้หน้าเขาบ้างเถอะ!”
พูดจบเขาก็ถกแขนเสื้อกำลังจะลงจากรถม้าไป ท่าทางราวกับ ‘ข้าจะไปสู้ตายเพื่อเจ้า ส่วนเจ้ารออยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ’
หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นแขนยาวออกไปขวางทางเขาไว้ “ท่านมิได้ปรากฏตัวออกไปยามที่องค์ชายหกอยู่นอกรถม้า กลับจะลงไปโต้เถียงกับเขายามนี้ เกรงว่าท่านจะหาเรื่องให้ฉินรั่วเฉินทำข้าอับอายอีกครามากกว่ากระมัง?”
“…”
หนานกงอี้จือยังอยากจะพูดอันใดแต่ทันใดนั้นก็พูดไม่ออก
ใช่ เมื่อครู่เขาไม่ออกไปทำความเคารพองค์ชายหก ออกไปยามนี้ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มเหตุผลอันไม่เหมาะสมให้ฉินรั่วเฉินทำนางอับอายมากขึ้นเท่านั้น เชื่อว่าไม่ถึงหนึ่งชั่วยามทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้ยินข่าวลือว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง และหนานกงซื่อจื่อมีความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสมต่อกัน ไม่รู้ว่าข่าวลือจะแพร่กระจายไปเกินจริงอย่างไรบ้าง
“แม้เจ้าจะอดทนต่อคำพูดนี้ได้แต่ข้าทนไม่ได้!” หนานกงอี้จือยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด “ฉินรั่วเฉินผู้นี้กำลังทำบ้าอันใดอยู่กันแน่”
“เซ่าเฉินจะต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่” หลิงมู่เอ๋อร์เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง
“หลิงมู่เอ๋อร์นิสัยใจคอดีทั้งตรงไปตรงมาและยึดมั่นในคุณธรรม ทว่ามีจุดอ่อนแปลกๆ อยู่ที่หากผู้ใดดูถูกนาง นางจะใช้วิธีพิเศษในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของฝ่ายตรงข้าม น้องหกอยากรู้หรือไม่ว่าเป็นวิธีพิเศษอันใด?”
หลังจากน้ำเสียงชั่วร้ายของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดังขึ้น เขาเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาที่มองลงไปยังฉินรั่วเฉินมีความเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยพลัน
“หืม? ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้รองมีจุดอ่อนอันใด น้องอยากลองฟังทีเดียว”
“นางจะวางยาพิษพิเศษให้คนผู้นั้นไม่รู้ตัว และข้าก็จะช่วยนางอีกแรงด้วย!”
คำพูดที่เย็นชานี้ น้ำเสียงท้ายประโยคแฝงความคุกคามไว้อย่างเข้มข้น ราวกับจะส่งสัญญาณลับบางอย่างให้คนในรถม้า!
ฉินรั่วเฉินได้ยินเช่นนี้สายตาก็มองผ่านซั่งกวนเซ่าเฉินไปทางรถม้าข้างหลังเขาโดยพลัน
เมื่อครู่การเคลื่อนไหวยามที่เสด็จพี่รองลงจากรถม้าเป็นการจงใจปิดบัง เห็นได้ชัดว่าซ่อนผู้ใดไว้อยู่ และในรถม้าของเขานอกจากหลิงมู่เอ๋อร์แล้วจะยังเป็นผู้ใดไปได้อีก?
เหตุใดเสด็จพี่รองต้องปกปิดสนมที่ตบแต่งกันอย่างเป็นทางการแล้วไว้ด้วย มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือหลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้ไม่อยู่ในสภาพที่เหมาะจะพบคน! แล้วเหตุใดต้องให้เสด็จพี่รองแอบซ่อนไว้เช่นนี้ด้วย? ก่อนหน้านี้สายลับมารายงานเขาว่าร่างกายของพี่สะใภ้รองมีความพิเศษ เลือดของนาง…
เขาอยากเข้าไปตรวจสอบแต่เขาก็ยังกลัวยาพิษในกระเป๋าของนาง
เสด็จพี่รองกล่าวไม่ผิด สตรีผู้นั้นมีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมสูงส่งจนไม่อาจคาดเดา ได้ยินว่าเคยชิงตัวคนมาจากพญายมอยู่หลายครา ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้พิษ เขาไม่อยากเป็นองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์คนที่สอง
“เสด็จพี่และพี่สะใภ้ช่างเป็นคู่รักที่หวานชื่นทั้งยังมีอารมณ์ขันอีกด้วย ได้ข่าวว่าไม่ว่าพี่สะใภ้จะทำอันใด เสด็จพี่รองก็ล้วนสนับสนุนถึงขั้นคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย เสด็จพี่รักใคร่ภรรยาเช่นนี้นับว่าเป็นแบบอย่างให้พวกน้องๆ อย่างแท้จริง” ฉินรั่วเฉินรีบยกยอ
หันกลับไปเห็นป้ายหน้าจวนเสียนหวาง เขาก็โค้งริมฝีปาก “เทียบกับเสด็จพี่แล้ว ได้ยินว่าปกติเสียนหวางผู้นี้หาได้มีไมตรีต่อเสียนหวางเฟยเลย ทว่าแม้เขาจะมิได้สนใจอันใดเสียนหวางเฟยแต่ก็มีเรื่องที่ต้องเอาใจใส่มากมายทีเดียว ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเขาพาคนสองคนกลับมาจากนอกเมืองหลวง เสด็จพี่รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?”
“คาดไม่ถึงว่าน้องหกจะสนใจเสียนหวางมากถึงเพียงนี้?” เห็นสายตาหยั่งเชิงของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ขมวดคิ้วถาม น้ำเสียงหาได้เป็นมิตรมากนัก
“เปิ่นหวางจื่อแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับเสียนหวาง แต่เรื่องส่วนตัวของเสียนหวางก็หาได้เข้าไปก้าวก่าย หากน้องหกไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัว” ซั่งกวนเซ่าเฉินหมุนกายไม่คิดจะคุยกับเขาให้มากความอีก น้ำเสียงฟังดูห่างเหินราวกับพวกเขาหาใช่พี่น้องที่อาศัยอยู่ในวังหลวงแห่งเดียวกัน
“เสด็จพี่รอง…” น้ำเสียงของฉินรั่วเฉินฟังดูเกียจคร้าน มองแผ่นหลังของเขาพลางตะโกน “เสด็จพี่เหตุใดจึงห่างเหินกับข้าเช่นนี้? หรือท่านไม่ชอบของขวัญที่ข้าส่งไปให้ท่านเมื่อวันก่อน?”
เชิงอรรถ
[1] มะเขือม่วงต้องน้ำค้าง หมายถึง อาการเหี่ยวเฉา หรือไร้ชีวิตชีวา เหมือนกับมะเขือม่วงที่ต้องน้ำค้างจนผลเหี่ยวเฉา