เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 424 คุ้มครอง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 424 คุ้มครอง
เล่มที่ 15 ตอนที่ 424 คุ้มครอง
ตกลงแล้วเป็นฉินรั่วเฉินที่ส่งคนไปสังหารฉินเสียนถิงจริงหรือ?
ไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินทำความเข้าใจกับข้อมูลนี้เสร็จ ฉินรั่วเฉินกลับยิ้มพลางไหวไหล่ “เสด็จพี่รองเหตุใดจึงไม่ตอบน้องเล่า? อ่า น้องรู้แล้ว ต้องเป็นเพราะเสด็จพี่รองรู้สึกว่าน้องยังมีความสามารถไม่มากพอรังแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาท่านเป็นแน่ เช่นนั้นเอาเช่นนี้เถิด ท่านกับข้าแยกกันสืบสวนหากผู้ใดได้รับข้อมูลก่อนก็ส่งคนไปแจ้งที่ตำหนัก ไม่ทราบว่าเสด็จพี่รองคิดเห็นเช่นไร?”
“น้องหก?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองพินิจดวงตาของเขาและคิดอยากจะพูดบางสิ่ง
“เสด็จพี่รองไม่พูดก็นับว่าเป็นการเห็นชอบแล้ว เช่นนั้นน้องจะไปทำการสืบสวนเดี๋ยวนี้ ถึงอย่างไรผู้ที่ตายไปในคุกก็ยังเป็นน้องของพวกเรา”
กล่าวคำพูดนี้จบด้วยรอยยิ้ม ฉินรั่วเฉินก็จากไปอย่างผ่าเผยราวกับมิได้มาที่นี่มาก่อน
ยามที่เขาเดินอ้อมผ่านหมิ่นกุ้ยเฟยไปก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง “หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย”
แม้จะเป็นคำพูดปลอบใจ แต่การที่ยิ้มไปด้วยในสถานการณ์เช่นนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่หลายส่วน มุมปากของหมิ่นกุ้ยเฟยกระตุกเพราะโทสะ ยกมือขึ้นหมายจะฟาดฝ่ามือลงไป
“อ่า กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคิดจะตีผู้ใดกัน แม้เสด็จพ่อจะทรงประชวรหนักแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีพระชนม์อยู่ หากกุ้ยเฟยทำร้ายองค์ชายตามกฎของราชวงศ์แล้วควรจะลงโทษเช่นไรเล่า?” ฉินรั่วเฉินจงใจถามกลับ
“พวกเจ้า พวกเจ้าคอยดูเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าแต่ละคนได้อยู่เป็นสุขแน่!” หมิ่นกุ้ยเฟยสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธเกรี้ยวอย่างไม่เต็มใจ
มองผู้ที่เขาไม่อยากพบเจอออกไปจากสายตาด้วยความพอใจ ยามที่เดินผ่านหน้าไปองค์ชายหกก็ขยิบตาให้ซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างภาคภูมิใจราวกับจะกล่าวว่า ‘ข้าช่วยพวกท่านอีกคราแล้ว’
“ฉินรั่วเฉินผู้นี้เขาหมายความว่าเช่นไรกัน?” แม้แต่หนานกงอี้จือก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“เกรงว่าเมื่อก่อนพวกเราล้วนประมาทการมีอยู่ของเขามากเกินไป” ซั่งกวนเซ่าเฉินทอดถอนใจ “อี้จือ!”
“รับทราบ!”
ไม่รอให้เขาออกคำสั่ง หนานกงอี้จือก็ตีหน้าอกตัวเอง “เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง วางใจเถอะ เปิ่นซื่อจื่อรับรองได้ว่าจะตรวจสอบทุกเรื่องตั้งแต่เขาเกิดจนถึงปัจจุบันมาให้ชัดเจน”
“ให้เร็วที่สุดด้วย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว นึกถึงข้อมูลที่องค์ชายหกกล่าวออกมาเมื่อครู่ รวมถึงสายตาชั่วร้ายนั้นก็ทำให้เขาจะต้องระแวดระวังขึ้นมา
“ในวังหลวงเป็นที่รู้กันทั่วว่าเจ้าหกมีความทะเยอทะยาน แต่เพราะพื้นเพต่ำต้อยที่ผ่านมาจึงไม่เคยได้รับหน้าที่สำคัญ แต่ยามนี้ดูท่าเขาจะหาได้หยุดอยู่แค่ที่ความทะเยอทะยานธรรมดาเสียแล้ว!”
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหนานกงอี้จือ สายตาก็ซับซ้อนอยู่หลายส่วน “จัดการอย่างระมัดระวังตัวเล่า”
“วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี”
หนานกงอี้จือผู้นี้แม้ท่าทางจะดูเหมือนคนขวางโลกไร้มารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ยามที่ถึงเวลาจริงจังเขาก็ล้วนจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร นี่เป็นสิ่งที่ซั่งกวนเซ่าเฉินเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายเจ็ดตายแล้ว ตามหลักพวกเขาควรจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะในที่สุดศัตรูเก่าแก่ก็หายไป คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งกับการตั้งโต๊ะฉลองมิใช่หรือ? ทว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนมิได้รู้สึกยินดี
เพราะการตายของเขามีเงื่อนงำมากเกินไป ทั้งยังง่ายดายเกินไป!
ฉินเสียนถิงลอบสังหารพวกเขาอยู่หลายครั้งหลายครา แม้ทุกครั้งจะจบลงด้วยความล้มเหลว ทว่าแผนการแต่ละครั้งล้วนต่างกันออกไป วิธีการของเขาทำให้คนรู้สึกแปลกใจ และสติปัญญาของเขาก็ทำให้คนต้องชื่นชม
บางครั้งซั่งกวนเซ่าเฉินก็คิดว่าหากต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ เขาจะใช่คู่มือของเจ้าเจ็ดหรือไม่ แต่ตัวตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้กลับมาตายอย่างง่ายดาย ทำให้เห็นว่าผู้ที่ลงมือมีฝีมือแกร่งกล้ามากเพียงใด
ข้างกายพวกเขามีตัวละครที่แข็งแกร่งเช่นนี้หลบซ่อนตัวอยู่มาโดยตลอด จะให้พวกเขาผ่อนคลายได้อย่างไร?
“เวลาสามวันมิได้มากมายทั้งยังไม่มีต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย ดูท่าสองสามวันนี้ข้าคงไร้หนทางจะอยู่ข้างกายเจ้าได้ แต่เจ้าวางใจเถอะ เรื่องของเซิงเอ๋อร์ข้าสั่งให้คนออกค้นหาแล้วจะต้องหานางพบเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้ากลับไปอยู่ที่จวนตระกูลหลิงสักสองสามวันดีหรือไม่?” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินอ่อนโยน คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์
ตั้งแต่ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกจับไปก็วุ่นอยู่กับการหาหลักฐานมาโดยตลอด เป็นความจริงที่หลายวันมานี้นางมิได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวดีๆ เลย
“ได้ ท่านแม่กับท่านยายก็คงคิดถึงข้ามากเป็นแน่ ที่โรงหมอก็มิได้ไปมาหลายวันแล้วควรกลับไปจัดการให้เรียบร้อยเสียหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างง่ายดายก่อนที่รอยยิ้มของซั่งกวนเซ่าเฉินจะจางลง นางลูบฝ่ามือของเขาและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านวางใจเถอะ ข้าปกป้องตัวเองได้”
แม้ผู้อื่นไม่เข้าใจซั่งกวนเซ่าเฉินแต่นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขาไม่อยากให้นางต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่องค์ชายเจ็ดถูกฆาตกรรมและอยากปกป้องนาง
เกรงว่าครานี้ที่เขาจัดการคนเดียว ซั่งกวนเซ่าเฉินจะต้องทิ้งองครักษ์ทั้งหมดข้างกายตัวเองไว้ให้อยู่ข้างกายนางเป็นแน่
แต่พูดมากความไปก็ไร้ประโยชน์ ชายผู้นี้หัวรั้นเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วต่อให้ใช้วัวเก้าตัวมาฉุดก็ดึงกลับมาไม่ได้ [1] เช่นนั้นแทนที่จะปะทะฝีปากกับเขาจนสุดท้ายทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ไม่สู้รับฟังอย่างว่าง่ายทำให้เขาวางใจไปจัดการเรื่องของตัวเองจะดีกว่า
“ผู้ที่รู้ใจข้าก็คือมู่เอ๋อร์”
เขาจุมพิตที่แก้มของหลิงมู่เอ๋อร์โดยไม่สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย ทำให้หนานกงอี้จือรู้สึกรังเกียจอยู่บ้างแต่ก็ทำได้เพียงอดทนไม่กล้าพูดอันใด
หลังออกจากวังหลวง ทั้งสามคนก็ออกไปทางทิศทางตรงกันข้าม แต่มีเพียงข้างหลังหลิงมู่เอ๋อร์ที่มีองครักษ์เงาจำนวนมากตามมาด้วย
จนกระทั่งเดินออกมาไกลมากจนมองไม่เห็นเงาของวังหลวง หลิงมู่เอ๋อร์จึงเลือกหยุดในตรอกว่างเปล่าไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง นางตะโกนเสียงดังเสียดฟ้า “ออกมา!”
รอบด้านเงียบสงัดมีเพียงเสียงใบไม้ไม่กี่ใบที่ร่วงหล่นลงมา แต่ทั้งข้างหน้าและข้างหลังต่างก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน
หลิงมู่เอ๋อร์หาได้ขัดเคืองทั้งยังยิ่งยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบมากขึ้น มือข้างหนึ่งไพล่หลังส่วนมืออีกข้างเล่นกับเส้นผมข้างหน้าซึ่งอยู่ระดับอก “เซ่าเฉินให้พวกเจ้ามาแอบคุ้มครองข้า พวกเจ้าก็ควรฟังคำสั่งจากข้าด้วย เขาเป็นเจ้านายพวกเจ้าแล้วข้ามิใช่หรือ?”
แทบจะทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินเพียงเสียง ‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ’ ซึ่งเบาเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งข้างหลังยังรู้สึกได้ถึงสายลมพัดผ่าน เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปก็เห็นองครักษ์เงาประมาณสิบคนคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ
“ขอนายหญิงโปรดละเว้นโทษพ่ะย่ะค่ะ!”
คนชุดดำสิบคนที่สวมหน้ากาก และห้อยดาบไว้ข้างเอว หายใจอย่างแผ่วเบา ทั้งยังก้าวเดินอย่างเงียบเชียบเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ ชายผู้นี้ใช้เพียงการกระทำมิใช้คำพูด ทั้งยังยอมตัดใจทิ้งต้นทุนที่ได้เปรียบของตัวเอง เขาไม่เป็นห่วงตัวเขาเองแม้แต่น้อยเลยหรือ?
“ในเมื่อยอมรับว่าข้าเป็นเจ้านาย เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมฟังคำสั่งของข้ากระมัง?” เสียงใสกระจ่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ดังมาก ได้ยินคราแรกฟังเหมือนเสียงอ่อนวัยของสาวน้อย แต่หากพินิจพิเคราะห์จะรู้สึกได้ถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์อยู่หลายส่วน
ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
“ขึ้นอยู่กับคำสั่งของนายหญิงพ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสิบคนกล่าว
“คำขอของข้าง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ให้เหลือคนที่จะมาคุ้มครองอย่างลับๆ แค่สี่คนก็พอ คนที่เหลือให้กลับไปข้างกายเซ่าเฉิน” หลิงมู่เอ๋อร์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ยากจะปฏิเสธ
“นายหญิง?” ผู้เป็นหัวหน้าเงยหน้าขึ้นมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่นานเขาก็ก้มศีรษะลง “เกรงว่ากระหม่อมจะไม่อาจทำตามคำสั่งได้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาปกป้องนายหญิง หากไม่มีคำสั่งจากนายท่านก็ไม่อาจถอนตัวได้ หากฝ่าฝืนคำสั่งมีโทษถึงประหารพ่ะย่ะค่ะ!”
“หืม? เช่นนั้นพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า!” แทบจะทันทีที่สิ้นคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ กริชแวววาวเล่มหนึ่งก็จ่ออยู่บนคอขององครักษ์เงาที่เพิ่งพูดเมื่อครู่
ลมเย็นพัดผ่านหอบหนึ่งทำให้องครักษ์เงาหายใจตึงเครียดโดยพลัน
สมควรตายนัก เขาคิดว่าตัวเองมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อครู่กลับมองเห็นไม่ชัดเจนว่าสตรีผู้นี้ลงมืออย่างไร
แม่นางที่ดูยังอ่อนวัยตรงหน้าคาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้เชียว?
“นายหญิง?”
“ในเมื่อเรียกข้าว่าเจ้านายก็ควรจะฟังคำสั่งของข้า! ข้าเป็นภรรยาของเซ่าเฉิน ข้าต้องการให้พวกเจ้าไปคุ้มครองสามีข้า การปกป้องเจ้านายของพวกเจ้ามีสิ่งใดไม่ถูกหรือ? หรือพวกเจ้าคิดจะมองดูเขาตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพังโดยไร้คนช่วยเหลือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงเย็น อดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทีที่ฉินรั่วเฉินกระซิบข้างหูซั่งกวนเซ่าเฉินเมื่อครู่
แม้จะเพียงชั่วพริบตาแต่นางก็เห็นอย่างชัดเจนว่าในแววตาของฉินรั่วเฉินฉายแววชั่วร้ายออกมา
หลังสิ้นคำพูดของเขา นางยังเห็นสีหน้าที่แข็งทื่อขึ้นมาโดยพลันของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างชัดเจน แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมิได้บอกว่าองค์ชายหกพูดอันใดกับเขา แต่นางเดาว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดา
ผู้ที่ถูกพวกเขามองข้ามมาโดยตลอดจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาอย่างถือดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเผยอุบายของตัวเองอย่างยิ่งใหญ่จึงเห็นได้ว่าคนผู้นี้เตรียมการลงมือมานานแล้ว
ต่างจากศัตรูอย่างองค์ชายเจ็ดที่อยู่ในที่ลับขณะที่พวกนางอยู่ในที่แจ้ง ส่วนองค์ชายหกผู้นี้หลบซ่อนอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด เขามองเห็นทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งในขณะที่ไม่ถูกผู้ใดสังเกตเห็นสถานการณ์ของเขา ทั้งยังทำเรื่องมากมายในที่ลับโดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ คนเช่นนี้ก็เหมือนระเบิดเวลาที่ระเบิดได้ทุกเมื่อ นางจึงจำเป็นต้องระวังเอาไว้!
“ทำตามเสีย!” หลิงมู่เอ๋อร์เสียงดังขึ้นมาโดยพลัน ในน้ำเสียงยังมีความหนักแน่นที่ฉายชัดว่าหากไม่ทำตามจะต้องถูกฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เงาหาได้ลังเลอีก ภายในชั่วพริบตาทั้งหกคนก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา
มองทั้งสี่คนที่เหลืออยู่อย่างพึงพอใจ นางจึงเพิ่งปล่อยวางความตึงเครียดหนักอึ้งในใจลง หลิงมู่เอ๋อร์ประสานมือทั้งสองข้างโค้งตัวให้ทั้งสี่คนเล็กน้อย “เช่นนั้นจากนี้ไปก็รบกวนทุกคนแล้ว!”
ทั้งสี่คนตะลึงงัน ในฐานะองครักษ์เงาย่อมมีหน้าที่ปกป้องเจ้านาย แต่ไหนแต่ไรก็หาได้เคยมีเป้าหมายที่ต้องคุ้มครองคนใดมีท่าทีให้เกียรติหรือรู้สึกขอบคุณพวกเขาเช่นนี้
แต่ยามที่พวกเขากำลังจะตอบสนองคิดจะทำความเคารพหลิงมู่เอ๋อร์ กลับพบว่าแม่นางน้อยตรงหน้าเดินออกไปไกลแล้วตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
ยามที่ทั้งสี่คนสบสายตากันก็ต่างประหลาดใจอย่างถึงที่สุด พวกเขาคิดว่าตัวเองมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวของเด็กสาวที่ดูบอบบางผู้หนึ่ง ทั้งสี่คนพากันก้มศีรษะอย่างละอายใจก่อนที่ร่างจะหายไปในอากาศ
“มู่เอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ?”
เหมือนจะได้ยินเสียงของท่านลุง? หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะยิ่งเร่งฝีเท้า เพิ่งก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลิง ท่านยาย หยางซื่อ รวมถึงหลิงต้าจื้อก็พากันพุ่งออกมาจากข้างใน ราวกับต้อนรับวีรบุรุษที่นำชัยชนะกลับมา บนใบหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้นดีใจ
“ท่านยาย ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุง มู่เอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” กางแขนทั้งสองข้างออกก่อนจะวิ่งเล็กน้อยไปทางคนเหล่านั้น จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ความตึงเครียดที่อยู่ในใจหลิงมู่เอ๋อร์มาโดยตลอดก็ผ่อนคลายลง
“มู่เอ๋อร์คิดถึงพวกท่านเจ้าค่ะ!”
ผู้ใดบอกว่าเมื่อลูกสาวตบแต่งออกไปแล้วก็ไม่นับว่ามีบ้านอีก ดูเอาเถิด ครอบครัวของนางยังคิดถึงนางมากทีเดียว
“เด็กโง่ผู้นี้ เรื่องที่เกิดในวังหลวงพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาเล่าให้พวกเราฟังก่อนแล้ว เรื่องทั้งหมดก็แก้ไขเรียบร้อยแล้ว เหตุใดป่านนี้จึงเพิ่งกลับมาเล่า ไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นห่วงเจ้าอยู่?”
หยางซื่อแตะที่หน้าผากนางอย่างแผ่วเบา แม้จะบ่นแต่การเคลื่อนไหวของมือก็เชิญชวนนางให้เข้าไปในบ้านก่อนแล้ว
ท่านลุงไปยกชามา ท่านยายไปยกอาหารมา ส่วนท่านพ่อก็เอาเตาอุ่นมาวางไว้ข้างเท้านาง ปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพเช่นนี้ล้วนดูไม่เหมือนผู้อาวุโสของนางเลย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย ท่านลุง พวกท่านอย่าทำให้มู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะกดทั้งสี่คนนั่งลงบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย ยามนี้จึงเพิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นมา “ในเมื่อพี่ใหญ่ล้วนบอกพวกท่านไปหมดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังอีกเจ้าค่ะ อันตรายที่หลบซ่อนอยู่ข้างกายมาตลอดได้หายไปแล้ว นับแต่นี้ต่อไปตระกูลหลิงของพวกเราก็มิต้องวิตกกังวลอีกต่อไป ในที่สุดก็สามารถใช้ชีวิตอย่างดีในเมืองหลวงได้แล้วเจ้าค่ะ!”
เชิงอรรถ
[1] ใช้วัวเก้าตัวมาฉุดก็ดึงกลับมาไม่ได้ หมายถึง คนที่ตัดสินใจไปแล้วไม่ยอมเปลี่ยนใจแม้จะมีคนพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจแต่ก็ไม่เป็นผล