เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 391 ความลำบากใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 391 ความลำบากใจ
เล่มที่ 14 ตอนที่ 391 ความลำบากใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“ฝ่าบาท นี่คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่าองค์ชายเจ็ดคือผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังการชุบเลี้ยงกองกำลังทหาร ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิบายของหม่อมฉันเถิดเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบป้ายห้อยเอวขึ้นมาคิดจะส่งไปเบื้องหน้าฮ่องเต้อีกครา
คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะยิ่งเดือดดาลมากขึ้นโดยพลัน เขาไอในขณะที่ลุกขึ้น และชี้ไปที่ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยท่าทีดุดันราวกับต้องการประหารนาง
ซูเช่อเห็นเช่นนั้นก็รีบปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ข้างหลัง “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดขอฝ่าบาทโปรดทรงชี้แนะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ที่เดิมทีอยากจะเรียกคนเข้ามาพาตัวหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปครุ่นคิด นางไม่อยู่เมืองหลวงช่วงหนึ่งคงไม่รู้สาเหตุจริงๆ หลังจากเขาสูดหายใจเข้าลึกหลายคราจึงเพิ่งสงบใจลงได้
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าเปิดป้ายห้อยเอวดูเอาเถอะว่าข้างในเขียนสิ่งใดไว้” ฮ่องเต้กล่าวในขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปทางป้ายห้อยเอวนั้น ราวกับในนั้นมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
หลิงมู่เอ๋อร์สบสายตากับซูเช่อ เดิมทีนางคิดจะหยิบกริชที่สามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลนซึ่งซ่อนอยู่ในรองเท้าออกมา แต่ซูเช่อกลับเร็วกว่าก้าวหนึ่งเดินไปฉวยเอาป้ายห้อยเอวมา ยามที่เข้าใกล้นางก็ใช้เสียงที่สามารถได้ยินกันเพียงสองคน “มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแต่กลับพกอาวุธมาด้วย เจ้าอยากเดินเข้ามาแต่ต้องถูกหามออกไปหรือ?”
กล่าวจบก็เห็นเพียงซูเช่อออกแรงที่ฝ่ามือจนป้ายห้อยเอวแตกเป็นสองส่วน
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบป้ายห้อยเอวที่แตกขึ้นมาโดยพลัน ซึ่งมันไม่มีความแตกต่างอันใดกับป้ายห้อยเอวชิ้นนั้นที่ซั่งกวนเซ่าเฉินแยกส่วนที่เมืองหรงเฉิง ภายในป้ายห้อยเอวที่แตกออกมีสัญลักษณ์ของตำหนักองค์ชายเจ็ดอยู่
“ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเถิดเพคะ ภายในป้ายห้อยเอวนี้ล้วนมีสัญลักษณ์ของตำหนักองค์ชายเจ็ด เหล่าทหารพวกนั้นล้วนเป็นคนขององค์ชายเจ็ด เป็นองค์ชายเจ็ดที่แอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารเพคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปเบื้องหน้าฮ่องเต้อีกคราและกล่าวหาอย่างมุ่งมั่น
หลังจากฮ่องเต้ยิ้มเยาะคราหนึ่งก็หยิบป้ายห้อยเอวไป เห็นเพียงเขาเอาป้ายห้อยเอวที่หักนั้นไปแบ่งเป็นสองส่วนอีกครา ภายในจึงปรากฏสีอื่นขึ้นมา ฮ่องเต้ส่งส่วนที่มีตัวอักษรให้หลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้าดูให้ถี่ถ้วนอีกคราเถอะว่ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก!”
เห็นท่าทางซึ่งมีกลิ่นอายดุร้ายของฮ่องเต้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกสับสน หลังจากนางรับป้ายห้อยเอวมามองพิจารณาตัวอักษรด้านบน ก็เห็นเพียงตักอักษร ‘ยี่’ ซึ่งตัวเล็กมากสลักอยู่ข้างในตัวหนึ่ง
และนามที่แท้จริงของซั่งกวนเซ่าเฉินก็คือฉินเฉินยี่
“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องถูกคนใส่ร้ายเป็นแน่เพคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์บีบป้ายห้อยเอวไว้แน่น แทบอยากจะพุ่งออกไปถามฉินเสียนถิงต่อหน้าให้รู้เรื่อง ว่าตกลงแล้วเป็นแผนการของเขาใช่หรือไม่
แต่ไม่นานนางก็เข้าใจโดยพลัน มิน่าเล่าจึงไม่พบเหล่าทหารในถ้ำ แต่กลับเจอป้ายห้อยเอวสองชิ้นนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ฉินเสียนถิงวางแผนไว้ก่อนแล้วเพื่อวันนี้!
“ฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพิจารณาให้ชัดแจ้งเพคะ เซ่าเฉินไม่มีทางคิดก่อกบฏ เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือขององค์ชายเจ็ดเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์คุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างไม่ต้องคิด “คราแรกระหว่างที่เซ่าเฉินเดินทางกลับเมืองหลวงหลังชนะสงครามก็ถูกคนลอบสังหาร ซึ่งก็เป็นคนขององค์ชายเจ็ดเพคะ เดิมทีองค์ชายเจ็ดก็มีใจริษยาเซ่าเฉิน หลังจากพวกเราค้นพบความลับของเขาที่เมืองหรงเฉิงเขาก็คิดจะเอาเรื่องนี้มาใส่ความเซ่าเฉิน ขอฝ่าบาทโปรดส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเถิดเพคะ!”
ฮ่องเต้ยิ้มเยาะออกมาอีกครา “ใส่ความหรือ? เหอะ เจ้าบอกว่าเจ้าเจ็ดกำลังใส่ความเจ้ารอง แต่เจ้าเจ็ดกลับบอกว่าเป็นเจ้ารองที่ใส่ความเขา เจ้าว่าเจิ้นต้องเชื่อพวกเจ้าคนใดเล่า?”
เห็นเล่ห์เหลี่ยมในก้นบึ้งดวงตาของฮ่องเต้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่ายาลูกกลอนที่นางให้ไปออกฤทธิ์แล้ว อย่างน้อยในช่วงนี้ฮ่องเต้ก็จะไม่อยู่ในสภาพเลอะเลือนอีก
“ฝ่าบาท เซ่าเฉินเป็นคนเช่นไรมีนิสัยอย่างไรพระองค์ย่อมเข้าใจอย่างชัดเจน หากเขาต้องการก่อกบฏเหตุใดจะต้องรอมาจนถึงวันนี้เพคะ? ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ใช่เพราะทั้งหมดนี้มีเหตุผลเป็นพิเศษเซ่าเฉินจะรับปากว่าต้องการตำแหน่งนั้นได้อย่างไร พระองค์ก็ทรงทราบมาโดยตลอดนี่เพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ถูกต้อง โอรสของเจิ้น เจิ้นจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แต่เจ้าคิดว่าแค่สมุดบัญชีเล่มเดียวจะสามารถบีบคอโอรสของเจิ้นให้ตายได้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ แต่ซูเช่อกลับเข้าใจเจตนาของฮ่องเต้ได้โดยพลัน
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วว่าองค์ชายรองเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอฝ่าบาทโปรดทรงชี้แนะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะว่ากระหม่อมต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถล้างมลทินให้องค์ชายรองได้!”
ได้ยินคำพูดของซูเช่อ หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ใคร่ครวญก็มองไปทางฮ่องเต้
เมื่อครู่นางตื่นตระหนกมากเกินไปจนหลงลืมไปชั่วขณะว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นฮ่องเต้ที่ประชวรหนักเกินเยียวยาจนอาจสิ้นใจไปได้ทุกเมื่อ แต่นางลืมไปได้อย่างไรว่าเขาคือผู้ที่มีความคิดลึกซึ้งยิ่ง
เขารู้นิสัยขององค์ชายแต่ละองค์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งมานานแล้ว จะไม่รู้นิสัยของซั่งกวนเซ่าเฉินได้อย่างไร จึงอธิบายได้เพียงสิ่งเดียวว่าหลักฐานของฉินเสียนถิงมีน้ำหนักมากเกินไป จนแม้แต่เขาที่มีสถานะเป็นฮ่องเต้ก็ยังไร้หนทาง
“แม้เจิ้นจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็เพราะเป็นฮ่องเต้จึงไม่อาจทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวได้! แน่นอนว่าเจิ้นย่อมเชื่อว่าเฉินเอ๋อร์บริสุทธิ์ แต่ถิงเอ๋อร์นำหน้าเจิ้นไปก้าวหนึ่งเขาได้รวบรวมเหล่าขุนนางมาทำหนังสือกล่าวโทษเฉินเอ๋อร์แล้ว การก่อกบฏเป็นเรื่องเล็กหรืออย่างไร? อีกทั้งพวกเจ้ายังไม่มีหลักฐาน แล้วจะให้เจิ้นช่วยเขาอย่างไร?” ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก็ราวกับกระทบกับบางสิ่ง เขาเริ่มไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมาเพื่อฝังเข็มให้เขาโดยพลัน “ฝ่าบาท ยามนี้พระองค์ทรงรู้สึกสบายขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ?”
“สมกับฉายาหัตถ์เทพคืนวสันต์ของเจ้าจริงๆ แต่ชีวิตของเจิ้นใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ถึงอย่างไรสุดท้ายก็มิอาจหลีกหนีความตายได้” ฮ่องเต้โบกมือเป็นสัญญาณให้นางไม่ต้องเสียแรงอย่างเปล่าประโยชน์ “วันนี้เจิ้นรับปากหนานกงอี้จือแล้วซึ่งหาใช่การสัญญาส่งๆ วันนี้เหล่าขุนนางที่เจ้าเจ็ดรวบรวมมากำลังไล่ต้อนให้เจิ้นประหารกบฏที่คิดวางแผนแย่งชิงบัลลังก์ เจิ้นจนปัญญาจึงทำได้เพียงให้เวลาพวกเจ้าสิบวันเท่านั้น”
กล่าวจบฮ่องเต้ก็มองไปทางซูเช่อ “มีเสียนหวางคอยช่วยเหลือ เจิ้นเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องหาหลักฐานเจอโดยเร็วเป็นแน่”
ในยามนี้เองที่หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจความลำบากใจของฮ่องเต้
นางพยักหน้า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยเพคะ มู่เอ๋อร์จะหาหลักฐานมาโดยเร็วที่สุดเพื่อล้างมลทินให้กับเซ่าเฉินอย่างผ่าเผย ส่วนองค์ชายเจ็ดหม่อมฉันจะทำให้เขาได้ชดใช้การกระทำของตัวเองเพคะ!”
ก่อนที่หมิ่นกุ้ยเฟยจะกลับมา ซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ก็ออกจากวังหลวงไปแล้ว
“ข้าจะช่วยเจ้าอย่างไรได้บ้าง?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์กลัดกลุ้มไม่มีความสุข ทั้งร่างล้วนอยู่ในสภาพเคร่งเครียด เขาก็ปวดใจยิ่ง
ยามนี้นางจึงเพิ่งดึงสติกลับมาได้ หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้ายิ้มให้เขา “ไม่เป็นอันใด ข้ามีวิธีของตัวเอง”
เห็นนางเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่งแต่กลับจงใจทำท่าทางผ่อนคลาย ซูเช่อก็อยากจะจับไหล่ของนาง และบอกนางว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นเขาจะอยู่ข้างหลังนางเสมอ
แต่เขารู้ว่าหากทำเช่นนั้นจะเป็นการกดดันนาง
“เอาเถิด ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือของเสียนหวางก็ขอให้เอ่ยปากก็พอ” ซูเช่อกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลายและผ่าเผยยิ่ง
“ขอบคุณท่านมากซูเช่อ!” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขอบคุณจากใจจริง หากวันนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือของเขา นางย่อมไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยง่าย ทั้งยังไม่เข้าใจความลำบากใจของฝ่าบาทด้วยเช่นกัน และจะยิ่งไม่รู้ว่ายามนี้ฉินเสียนถิงมีอำนาจที่จะปิดผืนฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวเช่นนี้
“ให้ข้าไปส่งเจ้ากลับจวนหนิงกั๋วโหวใช่หรือไม่?” ซูเช่อกล่าวในขณะที่มีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ปฏิเสธแต่หลังจากขึ้นรถม้านางก็มองเขาอย่างระมัดระวังพลางกล่าว “ข้าอยากกลับไปจวนตระกูลหลิง”
“ไม่ได้!” ซูเช่อปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด แต่เขาก็เห็นท่าทีผิดหวังของหลิงมู่เอ๋อร์ในทันที
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการขัดขวางความตั้งใจของเจ้า เพียงแต่วันนี้เจ้าไปปรากฏตัวใกล้กับจวนตระกูลหลิงจนดึงดูดความสนใจของฉินเสียนถิง คาดว่าในยามนี้รอบจวนตระกูลหลิงคงถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนาไปแล้ว หากเจ้าถูกจับไปเช่นนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็จะไร้หนทางล้างมลทินโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจไปเสี่ยงอันตรายได้”
ได้ยินคำอธิบายของซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ทอดถอนใจอย่างรู้สึกผิดอีกครา “แต่ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุง และท่านยายล้วนอยู่ในกำมือของเขา ข้ากังวลว่า…”
“ข้าจะไปแทนเจ้าเอง!”
คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ยังกล่าวไม่ทันจบก็เห็นสายตาอันเด็ดเดี่ยวของซูเช่อ
ไม่รอให้นางเรียกสติกลับมาซูเช่อก็บอกสถานที่แก่คนบังคับรถม้าแล้ว “ไปส่งเจ้ากลับจวนหนิงกั๋วโหวก่อน จากนั้นข้าจะไปจวนตระกูลหลิงเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวเจ้าด้วยตัวเอง และจะส่งคนไปแจ้งข่าวให้เจ้ารู้ วางใจเถอะ ซั่งกวนเซ่าเฉินยังไม่ถูกตัดสินคดีฉินเสียนถิงย่อมยังไม่กล้าทำร้ายครอบครัวเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์เชื่อคำพูดของซูเช่อ ท่านพ่อท่านแม่ย่อมยังไม่ตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ นางเพียงแค่เป็นห่วงอีกทั้งยังอยากกลับไปเพื่อให้พวกเขาวางใจ
แต่นางก็ไม่อยากให้ซูเช่อไปเสี่ยงอันตรายเช่นกัน
“ซูเช่อ ท่านกับองค์ชายเจ็ดมีความแค้นต่อกันมาแต่กาลก่อน หากเขาเห็นท่านปรากฏตัวที่จวนตระกูลหลิงย่อมไม่ปล่อยท่านไปเช่นกัน ท่าน…”
“มีความแค้นแต่กาลก่อนแล้วอย่างไร?” ซูเช่อไม่เห็นฉินเสียนถิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย “หากเขามีความสามารถก็คงส่งข้าไปที่คุกคุมขังนักโทษประหารด้วย แต่หากเขาไม่มีความสามารถก็รอดูเปิ่นหวางขี่หัวเขาได้เลย!”
เพียงเวลาไม่นานรถม้าก็มาหยุดลงหน้าจวนหนิงกั๋วโหว หนานกงอี้จือที่รออยู่หน้าประตูนานแล้ว ยามที่เห็นนางปรากฏตัวก็รีบมาพานางเข้าไป
ซูเช่อไม่ได้ลงจากรถม้าและมุ่งหน้าไปจวนตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ในสภาพครบถ้วนมิได้บุบสลาย หนานกงอี้จือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “พี่สะใภ้ของข้า เจ้าไปที่ใดมาทั้งวันจนฟ้ามืดเช่นนี้ หากเจ้ายังไม่กลับมาท่านแม่จะไม่ฆ่าข้าหรือ ยังดีที่เจ้ากลับมาแล้ว เมื่อครู่คือรถม้าของเสียนหวางหรือ?”
รู้ว่าหนานกงอี้จือหาใช่คนเรียบง่ายเหมือนที่เห็นภายนอก แท้จริงแล้วจิตใจของเขาละเอียดอ่อนทีเดียว หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดจะปิดบังและบอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปตามจริง
“อี้จือ ในเมื่อฝ่าบาททรงให้พวกเราหาหลักฐาน พวกเราก็จำต้องคว้าโอกาสไว้ให้แน่น แต่ที่เมืองผิงเฉิงรวมถึงเมืองหรงเฉิงล้วนไม่มีเบาะแส กลับมาถึงเมืองหลวงก็ยิ่งไม่มีข่าวคราวอันใด ดังนั้นข้าจึงคิดอย่างชัดแจ้งแล้วว่าจะส่งหลิ่วฉางอวี้ไปเบื้องหน้าฝ่าบาท ให้เขาชี้ตัวว่าฉินเสียนถิงเป็นผู้ก่อตั้งหอวีรบุรุษอย่างลับๆ”
“ดี” หลังจากได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว หนานกงอี้จือก็ไม่มีสิ่งใดให้ลังเล “ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เจ้ากับข้าค่อยพาหลิ่วฉางอวี้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ท้องพระโรงด้วยกันคงจะดีกว่าวันนี้ที่มืดค่ำแล้ว เข้าไปพักผ่อนก่อนเสียหน่อยเถิด ท่านแม่เตรียมห้องไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าให้สาวใช้พาเจ้าไปดีหรือไม่?’
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าและเดินตามสาวใช้ไปที่ห้อง แต่หลังจากที่ยืนยันตำแหน่งของห้องแล้วนางก็กลับไปที่หน้าประตูจวนหนิงกั๋วโหวโดยพลัน
ซูเช่อสัญญากับนางแล้วว่าจะกลับมาบอกสถานการณ์ในปัจจุบันของจวนตระกูลหลิงกับนางให้เร็วที่สุด นางไม่อาจทำให้เขาวิ่งวุ่นอย่างสูญเปล่าได้
เป็นไปดังคาด หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็มีเสียงผิวปากอันคุ้นเคยดังขึ้นจากนอกประตู หลิงมู่เอ๋อร์เปิดประตูจวนโดยพลัน “จื่อถง เหตุใดจึงเป็นเจ้า?”
มองข้างหลังของเขาและยืนยันได้ว่าไม่เห็นร่างของซูเช่อ ใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน “หรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับซูเช่อ?”
จื่อถงแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ความเป็นห่วงแรกของนางคือเหยียหาใช่ครอบครัวของนาง เขาปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งน้ำเสียงที่พูดจึงไม่ได้เย็นชาเหมือนหลายคราก่อนหน้านี้ ทั้งยังกลับมามีความเคารพเหมือนกาลก่อน “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองไม่จำเป็นต้องร้อนใจพ่ะย่ะค่ะ เหยียไม่เป็นอันใด แม้ยามที่อยู่จวนตระกูลหลิงจะมีการกระทบกระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือกับคนขององค์ชายเจ็ด แต่พระองค์ก็ทรงรู้ฝีมือของเหยีย ในเมืองหลวงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำร้ายเขาได้ เพียงแต่เหยียกังวลว่าหากไปมาหาสู่กับจวนหนิงกั๋วโหวหลายครั้งหลายคราจะถูกคนขององค์ชายเจ็ดจับตามอง เพื่อไม่เป็นการนำปัญหามาให้จวนหนิงกั๋วโหวจึงให้กระหม่อมมารายงานพ่ะย่ะค่ะ”
จื่อถงส่งยิ้มเพื่อให้หลิงมู่เอ๋อร์วางใจ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองโปรดวางใจ ทุกคนในจวนตระกูลหลิงล้วนปลอดภัยดี ทุกคนในครอบครัวของท่านล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเหยียยังให้กระหม่อมมาบอกท่านว่า แม้ภายในและภายนอกของจวนตระกูลหลิงจะถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนา แต่องค์ชายเจ็ดก็ไม่กล้ากระทำความผิดอย่างกำเริบเสิบสาน ดังนั้นหลังจากนี้หากท่านได้ยินข่าวอันใดเกี่ยวกับครอบครัวของท่านว่าได้รับบาดเจ็บก็อย่าได้ตื่นตระหนก จวนเสียนหวางจะตรวจสอบความจริงให้ท่านโดยทันที”
ได้ยินคำพูดทั้งหมดเข้าหู ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เหลือเพียงความรู้สึกซาบซึ้งใจคำนี้เท่านั้น
นางอ้าปากอย่างไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณอย่างไร จึงได้แต่ประสานกำปั้นคารวะ “ฝากบอกเขาแทนข้าด้วยว่าหลิงมู่เอ๋อร์ขอบคุณเสียนหวางเป็นอย่างยิ่ง”