เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 385 ลงมือก่อน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 385 ลงมือก่อน
เล่มที่ 13 ตอนที่ 385 ลงมือก่อน
ฉินเสียนถิงมีสีหน้ามืดครึ้มเย็นชา ราวกับหากว่าผู้ใต้บังคับบัญชาพูดผิดแม้เพียงครึ่งคำย่อมต้องถูกเขาปลิดชีพ
“ทุกคนเตรียมถอนตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้องค์ชายรองจะพลิกทั้งเมืองหรงเฉิงหาก็จะไม่เจอแม้แต่เงาพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” ผู้ใต้บังคับบัญชาชะงักไป “เสนาธิการหลิวที่รับหน้าที่ฝึกฝนเหล่าทหารถูกจับไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ!”
ได้ยินคำพูดนี้โทสะในใจของฉินเสียนถิงก็ปะทุออกมาอย่างถึงที่สุด
เห็นท่าทีหมายเอาชีวิตเขาของฉินเสียนถิง ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นก็รีบร้อนกล่าวเสริม “แต่นายท่านโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ ทหารทุกนายต่างกินยาเป็นตายที่นายท่านมอบให้ ภายในสิบสองชั่วยามหากไม่ได้รับยาแก้พิษก็จะตายอย่างเฉียบพลัน เสนาธิการหลิวเกรงว่าคง…ตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาถูกซั่งกวนเซ่าเฉินจับเป็นไป ข้อมูลที่อยากรู้ก็คงรู้ไปก่อนแล้ว เขาจะเป็นหรือตายจะไปมีประโยชน์อันใด!” ฉินเสียนถิงมิได้รู้สึกว่าคำกล่าวเสริมของเขาจะเปลี่ยนอันใดได้ กลับยิ่งเป็นการเพิ่มโทสะให้เสียด้วยซ้ำ
ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น “ขอนายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น เช่นนั้นยามนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเสียนถิงรู้ว่ายามนี้ฆ่าเขาไปก็แก้ไขสิ่งใดไม่ได้ จึงทำเพียงแค่ทุบหมัดลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรงด้วยความไม่สบอารมณ์
“ดี ซั่งกวนเซ่าเฉิน ช่างมีความสามารถมากเสียจริง คาดไม่ถึงว่าข้าจะถูกเขาจับจุดอ่อนเอาได้ เขาได้สมุดบัญชีเล่มนั้นไปทั้งยังพบคนของข้าอีก ไม่ต้องใคร่ครวญอย่างละเอียดก็ยังรู้ว่าข้าต้องการจะทำอันใด หากเขาเอาเรื่องนี้มากราบทูลเสด็จพ่อ ข้าก็หมดท่าแล้ว!”
คิดเช่นนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำดูกระหายเลือดอย่างต้องการจะสังหารคน
ผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรง
“ให้คนเข้ามา” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของฉินเสียนถิงดังขึ้นหนึ่งเสียง ก่อนจะมีองครักษ์เงาผู้หนึ่งเข้ามาในห้องโดยพลัน
“ยามนี้จงเฝ้าระวังจดหมายที่ส่งจากเมืองหรงเฉิงมาที่เมืองหลวงเสีย ไม่ว่าจะเป็นของผู้ใดก็สกัดกั้นเอาไว้ให้หมด” ฉินเสียนถิงสั่งการคนหนึ่งในกลุ่ม เขารู้จักซั่งกวนเซ่าเฉินดีเกินไป หลังจากชายผู้นั้นล่วงรู้ความลับของเขาจะต้องมาแจ้งให้เสด็จพ่อทรงทราบก่อนเป็นแน่ เช่นนั้นเขาก็ต้องสกัดกั้นจดหมายที่ส่งมา ทำให้เสด็จพ่อไม่ได้รับสิ่งใดเสีย
“พ่ะย่ะค่ะเหยีย”
มองผู้ใต้บังคับบัญชาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครา ฉินเสียนถิงก็เตะไปที่ท้องของเขาอย่างแรงคราหนึ่ง ได้ยินเสียงผู้ใต้บังคับบัญชาร้องโหยหวนออกมาเขากลับไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทุกคนต่างหลบซ่อนตัวอยู่ แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีความสามารถเทียมฟ้าก็หาไม่เจอหรือ?”
ถูกเตะจนเจ็บปวดเหงื่อเย็นจึงไหลออกมาจากหน้าผาก ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพยักหน้าซ้ำๆ “นายท่านโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะพลิกเมืองหรงเฉิงหาก็ไม่มีทางหาเจอพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ!” นับว่าเป็นคำตอบที่น่าพอใจประโยคหนึ่ง แต่โทสะในใจที่ปะทุออกมายังไม่ได้รับการบรรเทา เขารู้สึกไม่สงบใจตั้งแต่ต้นจนจบ
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าให้เจ้าไปเปลี่ยนป้ายพกข้างเอว เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
ได้ยินองค์ชายเจ็ดเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างกะทันหัน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่รู้ว่าเขาต้องทำเช่นไรจึงรีบพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ความหมายของนายท่านคือต้องการ…”
“เหอะ ไม่ใช่คิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินร้ายกาจมากหรือ? เขาคิดว่าหากเอาสมุดบัญชีของข้าไป และจับจุดอ่อนของข้าได้แล้วข้าจะถูกดึงลงมาจากตำแหน่งองค์ชายเจ็ด แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินข้าต่ำเกินไป!” ฉินเสียนถิงแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเขารนหาที่ตายเอง เช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้เขาได้ตายเร็วขึ้นเสียหน่อย!”
“เจ้ากลับไปที่เมืองหรงเฉิงทันที และนำคนทั้งหมดกระจายกำลังเสีย” ฉินเสียนถิงสะบัดแขนเสื้อออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ
ได้ยินคำสั่งของฉินเสียนถิง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เข้าใจความหมายของเขา “นายท่าน ท่านจะทำอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในเมื่อต้องการชีวิตของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ต้องมีหลักฐานเพียงพอ คนพวกนั้นที่ข้าเฝ้าเลี้ยงดูอย่างดีมาหลายปีหาใช่ว่าต้องทำงานให้ข้าในสนามรบเท่านั้น ยามนี้ถึงเวลาที่พวกเขาควรตอบแทนข้าแล้ว!”
ฉินเสียนถิงกล่าวจบก็สะบัดมือเป็นสัญญาณให้เขาไปจัดการทันที
จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกจากห้องไปราวกับลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ฉินเสียนถิงก็เปิดประตูห้อง “ให้คนเตรียมรถม้าเข้าวังหลวง”
ในที่สุดเซิงเอ๋อร์ก็เตรียมตัวเรียบร้อย นางคิดจะไปเปิดโปงการกระทำทั้งหมดของหลินเล่อเซิง ยามที่ไปห้องตำราเพื่อขอให้ฉินเสียนถิงให้ความเป็นธรรมแก่ตน ก็เห็นฉินเสียนถิงกำลังออกไปอย่างรีบร้อนพอดี
นางรีบคุกเข่าลงบนพื้น “เซิงเอ๋อร์ถวายความเคารพเหยียเพคะ เหยีย เซิงเอ๋อร์มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเหยียเพคะ”
เห็นเซิงเอ๋อร์ก็นึกถึงเมื่อคืนที่นางจงใจปิดประตูไม่มาเจอตน ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มท้องของฉินเสียนถิงก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นมาหลายส่วน “ไม่ใช่ว่าชอบอยู่ในห้องและไม่ยอมมาพบเจอผู้คนหรือ? ใครให้เจ้าออกมา กลับไปเสีย!”
ถูกตะคอกอย่างเดือดดาลอย่างไม่มีสาเหตุ จนทำให้หลงลืมจุดประสงค์ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองมาจนหมดสิ้น ยามที่เซิงเอ๋อร์หมุนตัวกลับมาฉินเสียนถิงก็เดินไปไกลแล้ว
“เหยีย…”
ความโศกเศร้าในใจแทรกซึมไปถึงก้นบึ้งหัวใจ เซิงเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นฉินเสียนถิงปฏิบัติต่อตัวเองอย่างเย็นชายิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไร้เมตตากับนางถึงเพียงนี้ หรือระหว่างพวกเขาจะไม่อาจย้อนกลับไปได้แล้วจริงๆ?
ณ วังหลวงในห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อ ลูกขอทูลความจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่รองอ้างว่าจะไปปราบการจลาจลที่เมืองผิงเฉิง แต่แท้จริงแล้วไปที่เมืองหรงเฉิงเพื่อตรวจสอบกองกำลังทหารที่ตัวเองแอบชุบเลี้ยงไว้พ่ะย่ะค่ะ การกระทำเช่นนี้ของเสด็จพี่รองมีความน่าสงสัยว่าอาจเป็นกบฏ อย่างไรขอเสด็จพ่อทรงตรวจสอบให้ชัดแจ้งพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเสียนถิงคุกเข่าเบื้องหน้าฮ่องเต้ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
“แอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารเป็นการส่วนตัวหรือ?” ฮ่องเต้ที่เดิมร่างกายไม่สู้ดีหลังจากได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกเพียงว่าในลำคอได้รสชาติคาวสายหนึ่ง ก่อนเขาจะกระอักเลือดเก่าออกมาคราหนึ่ง
“เสด็จพ่อ!” ฉินเสียนถิงรีบพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “เสด็จพ่อทรงเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อต้องทรงรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กลับไม่สนใจสภาพร่างกายของตัวเอง เขาจับแขนเสื้อของฉินเสียนถิงแน่น “เมื่อครู่เจ้า เมื่อครู่ทั้งหมดที่เจ้าเพิ่งพูดเป็นความจริงหรือ? เฉินเอ๋อร์เขาแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัวไว้…จริงหรือ?”
ฉินเสียนถิงพยักหน้าอย่างลำบากใจ “ลูกรู้ว่าเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเสด็จพี่รองมากที่สุด แต่ลูกไม่กล้าโกหกแม้เพียงครึ่งประโยคพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ลูกย่อมไม่เข้าวังมากลางดึกเช่นนี้ แต่เสด็จพ่อทรงวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้หลังจากลูกได้รับข่าวก็มิได้เปิดเผยต่อผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“สารเลว สารเลว!”
ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งยวด ถ้วยชาในมือถูกโยนลงพื้นอย่างรุนแรง เขาหายใจอย่างหนักหน่วงทั้งยังไอออกมาไม่หยุด “เสียแรงที่ให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้ เขา…คาดไม่ถึงว่าเขาจะแอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวไว้ เขาคิดจะทำอันใด ต้องการจะก่อกบฏหรือ?”
เห็นฮ่องเต้เดือดดาลยิ่ง ฉินเสียนถิงก็รีบตบแผ่นหลังของเขาเพื่อปลอบใจ “เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะ ขอเสด็จพ่อโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากลูกได้รับข่าวก็เร่งรุดมา บางที บางทีในเรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ หรือไม่แน่ลูกอาจเข้าใจเสด็จพี่รองผิด แต่เสด็จพ่ออย่าได้ทรงกริ้วเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จนต้องเสียสุขภาพเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เรื่องเล็กน้อยหรือ?” ฮ่องเต้หายใจไม่ออกจนหน้ามืด “องค์ชายรองผู้องอาจแอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวไว้ เขาคิดจะทำอันใดกัน? หากไม่ใช่การก่อกบฏแล้วเขาจะยังคิดทำอันใดได้!”
ลมหายใจของฮ่องเต้กระหืดกระหอบ
หลังจากเรื่องของหวางโฮ่ว ร่างกายของเขาก็แย่ลงทุกวันๆ คาดไม่ถึงว่าลูกที่ตัวเองให้ความสำคัญมากที่สุดยังจะมาทำร้ายจิตใจเขาอย่างหนักหน่วงเช่นนี้
“มิน่าเล่าข้ารับปากว่าจะมอบบัลลังก์ให้เขาแต่เขากลับปฏิเสธ ที่แท้ก็ยังผูกใจเจ็บแค้นที่ยามนั้นข้าสังหารมารดาของเขาด้วยความผิดพลาด!” หมัดของฮ่องเต้ทุบลงไปบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง “ให้คนเข้ามา!”
ฉินเสียนถิงพบว่าโอกาสมาถึงแล้วจึงคุกเข่าลงโดยพลัน “ลูกอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงเสด็จพ่อมีรับสั่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไป ไปเอาตัวซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาให้เขา เจิ้นจะต้องถามให้ได้ว่าเขาคิดอันใดอยู่จึงต้องการจะก่อกบฏ!”
ได้ยินคำพูดนี้ในใจฉินเสียนถิงก็ยินดียิ่ง แต่ภายนอกกลับแสร้งทำเป็นลำบากใจ “เสด็จพ่อ ข่าวที่ลูกได้ยินมาบางทีเรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด ถึงอย่างไรเสด็จพี่รองก็ยังเป็นองค์ชายรองของราชวงศ์เกรงว่า…”
“เกรงว่าอันใด?” ฮ่องเต้เดือดดาลยิ่ง “เจิ้นยังมีชีวิตอยู่หาได้ตายไปแล้ว แต่เขากลับต้องการก่อกบฏ เขามีความคิดที่จะก่อกบฏแล้วเขายังจะเกรงกลัวอันใดอีก!”
กล่าวเช่นนี้จบฮ่องเต้ก็พ่นเลือดเก่าออกมาอึกหนึ่ง ร่างกายที่เดิมทีไม่สู้ดีของเขาก็ราวกับไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงไปบนพื้น
ฉินเสียนถิงและขันทีที่อยู่ด้านข้างล้วนตกใจอย่างถึงที่สุดและรีบพุ่งเข้า “ฝ่าบาท!”
“เสด็จพ่อทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเสียนถิงผลักขันทีออกรีบพยุงฮ่องเต้ให้นั่งลงบนบัลลังก์มังกรใหม่อีกครา “เสด็จพ่อทรงวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเสด็จพี่รองลูกจะไปตรวจสอบให้ชัดเจน แต่พระวรกายของเสด็จพ่อเป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ต้องทรงรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ยินคำรับปากของฉินเสียนถิง และสายตาที่มองเขาอย่างเป็นห่วง ฮ่องเต้ที่มีแววตาเลื่อนลอยก็ยิ้มออกมาอย่างพอพระทัย คว้ามือของเขาและยัดป้ายออกคำสั่งใส่ฝ่ามือของเขาไว้ “ถิงเอ๋อร์ นอกจากเฉินเอ๋อร์แล้วเจ้าเป็นคนที่เจิ้นให้ความสำคัญมากที่สุด เรื่องนี้ไม่อาจมีข้อผิดพลาดอันใดได้เด็ดขาด เจิ้นขอออกคำสั่งให้เจ้ารับหน้าที่ไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
“เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย หากเป็นเรื่องเข้าใจผิดลูกจะให้ความเป็นธรรมแก่เสด็จพี่รอง แต่หากเสด็จพี่รองคิดจะทำเช่นนั้นจริง…” ประโยคหลังเขาไม่กล้าพูด
มุมปากของฮ่องเต้กระตุกด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั่วทั้งร่างกายเกร็งกระตุกไม่หยุด “ถ่ายทอดคำสั่งของเจิ้นลงไป นำตัวซั่งกวนเซ่าเฉินไปคุมขังที่คุกหลวง หลังจากสอบปากคำแล้วให้ทำการประหาร!”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!”
ได้รับพระประสงค์ของฮ่องเต้ ฉินเสียนถิงก็ออกไปโดยพลัน ก่อนจะเดินออกไปมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เสด็จพี่รองหนอเสด็จพี่รอง ครั้งนี้เจ้าตายแน่!
ณ เมืองหรงเฉิง
ในที่ว่าการของข้าหลวงท้องถิ่น ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ฟังรายงานของข้าหลวงท้องถิ่นอย่างสงบ สีหน้าที่สงบไร้คลื่นอารมณ์ใดก็ยิ่งไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ
“ทูลองค์ชายรองยังไม่พบเบาะแสใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้ประโยชน์ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!” ไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบ หนานกงอี้จือก็ชิงไปอยู่เบื้องหน้าก่อนแล้ว เขายิ่งรู้สึกเสียใจภายหลังที่วันนั้นไม่ฟังคำพูดของคนผู้นั้นให้จบ
“ญาติผู้พี่ ยามนี้ควรทำอย่างไรดี? คนมากมายนับหมื่นจะสลายหายไปในอากาศเช่นนี้ได้อย่างไร?” เขารู้สึกว่ามีส่วนใดที่พวกเขาพลาดไป “หรือใต้ถ้ำนั้นยังมีถ้ำอยู่อีก พวกเรากลับไปค้นหาอีกรอบดีหรือไม่?”
“อี้จือกลับมา!” เห็นหนานกงอี้จือกำลังจะออกไป ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เรียกให้เขาหยุดโดยพลัน “เจ้าเจ็ดสามารถทำเรื่องนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้นานถึงเพียงนี้จะต้องยังมีแผนการอื่นอยู่อีกเป็นแน่ การที่คนมากมายนับหมื่นจะหายไปไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเตรียมการไว้ก่อนแล้วพวกเราก็ไม่อาจรอต่อไปได้อีกเช่นกัน”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ส่งพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกให้โดยพลัน “มีสมุดบัญชีและคำสารภาพของคนผู้นั้น แม้จะไม่สามารถประหารชีวิตฉินเสียนถิงได้แต่ก็พอจะทำให้เขาหยุดชะงักไปได้ อย่างน้อยในศึกนี้พวกเราก็ชนะไปก่อน”
มองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างชื่นชมคราหนึ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เขียนรายละเอียดสถานการณ์ในยามนี้อย่างไม่มีตกหล่นลงบนจดหมายโดยพลัน
หนานกงอี้จือผิวปาก นกพิราบสื่อสารที่ได้รับการฝึกฝนไว้ก็มาปรากฏตัวอยู่บนไหล่ของเขาอย่างว่าง่าย
“เชื่อว่าหลังจากเสด็จพ่อได้เห็นจดหมายจากพิราบสื่อสารฉบับนี้แล้ว จะต้องเข้าใจทุกสิ่งที่เจ้าเจ็ดทำเป็นแน่ เขาแอบชุบเลี้ยงทหารเพื่อสร้างกองทัพ แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่ก็ยากจะดิ้นหลุดเช่นกัน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว ก่อนจะผูกจดหมายไว้ที่ขาของนกพิราบสื่อสาร
พวกเขามาถึงเมืองผิงเฉิงใช้เวลาไปประมาณเจ็ดวัน แต่พิราบสื่อสารส่งจดหมายใช้เวลาเพียงวันเดียว
เขาส่งป้ายห้อยเอวของหอวีรบุรุษให้มั่วชิง “หาคนขี่ม้าเร็วไปส่งในวังหลวง”
แม้จะเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วแต่หนานกงอี้จือก็ยังไม่วางใจ “หากฝ่าบาทไม่เชื่อเนื้อหาในจดหมายเล่าจะทำอย่างไร?” ถึงอย่างไรในมือของพวกเขาก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
“เขาไม่เพียงแต่ชุบเลี้ยงกองกำลังทหาร แต่ยังเคยพยายามลอบสังหารองค์ชายรองรวมถึงเสียนหวาง ในจดหมายข้าได้กราบทูลทั้งสองเรื่องนี้ไปพร้อมกันแล้ว เสด็จพ่อทรงมีพระปรีชาครั้งนี้เจ้าเจ็ดจะต้องดิ้นไม่หลุดเป็นแน่!”
กล่าวจบซั่งกวนเซ่าเฉินก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงบ ยามนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือรอคอย รอฟังข่าวดีจากฮ่องเต้อย่างสงบ