เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 382 ชะตาชีวิตทุกข์ยาก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 382 ชะตาชีวิตทุกข์ยาก
เล่มที่ 13 ตอนที่ 382 ชะตาชีวิตทุกข์ยาก
“ยังงงอันใดอยู่ ยังไม่รีบไปจัดการอีก!” หลังจากฉินเสียนถิงออกไป หลินเล่อเซิงก็ส่งสายตาให้สาวใช้ “ใช้ทางเดินเส้นเล็กเดินไปให้ถึงห้องนางคนชั้นต่ำนั่นก่อนเหยียให้ได้ บอกนางว่าหากรู้จักอ่านสถานการณ์ก็ควรรู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดมิควรทำ!”
“เพคะพระสนม” สาวใช้วิ่งออกไปโดยพลัน
ในห้องของเซิงเอ๋อร์ เสี่ยวหลันรีบเข้ามาจากนอกห้อง “พระสนมมีข่าวดีเพคะ มีข่าวดี”
เซิงเอ๋อร์ที่ยังรู้สึกหดหู่และเซื่องซึมไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ยามนี้ยังจะมีข่าวดีอันใดอีก พูดมาเถอะ เจ้าไปได้ยินเรื่องน่าสนใจอันใดมาจึงอยากมาบอกข้าให้รู้สึกดีขึ้นหรือ?”
“พระสนม มิใช่หม่อมฉันเพคะแต่เป็นเหยีย เมื่อครู่ที่หน้าตำหนักมีบ่าวมารายงานว่าเหยียกำลังมาเพคะ ท่านเตรียมตัวเสียหน่อยเถิดเพคะ” เสี่ยวหลันกล่าวอย่างตื่นเต้น บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ยากจะปกปิด
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? เหยียกำลังมาหรือ?” เซิงเอ๋อร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองเสี่ยวหลันด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางรีบตรวจสอบดูเสื้อผ้าหน้าผม “เร็วเข้า รีบแต่งตัวให้ข้า เหยียไม่ชอบท่าทางเซื่องซึมของข้ามากที่สุด ยังมีชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนตัวนั้นด้วยไปเอาออกมาให้ข้าที เหยียชอบสีนั้นมากที่สุด”
“วางใจได้เลยเพคะพระสนม เสี่ยวหลันจะแต่งตัวให้ท่านออกมาดูงดงาม จนหลังจากที่เหยียมาวันนี้แล้วต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่ไปไหนเลยเพคะ”
เห็นเจ้านายมีความสุขก็ทำให้บ่าวมีความสุขขึ้นมาด้วย
การเคลื่อนไหวของเสี่ยวหลันรวดเร็วยิ่ง แต่งองค์ทรงเครื่องให้นางอย่างชำนาญ เพียงเวลาชั่วครู่เดียวเซิงเอ๋อร์ก็ราวกับกลายเป็นคนละคน
“พระสนมงดงามมากจริงๆ จนหม่อมฉันยังต้องมองตามเพคะ เหยียจะต้องถูกรูปลักษณ์งดงามนี้ทำให้หลงใหลเป็นแน่เพคะ ท่านดูเถิดเพคะแม้เหยียจะโกรธท่านอยู่แต่ก็ยังมาหาท่าน นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าในใจของเหยียยังอาลัยอาวรณ์ท่านอยู่เพคะ”
ได้ยินคำพูดนี้ของเสี่ยวหลัน เซิงเอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงว่าทั่วทั้งร่างล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกดียิ่ง
“แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเหยียจึงมาอย่างกะทันหัน แต่ขอเพียงเขามาข้าก็จะไม่พลาดโอกาสนี้ไปแน่ เสี่ยวหลันเจ้าเร่งมือหน่อยเถอะ”
“วางใจเถอะเพคะพระสนม ก่อนที่เหยียจะมาเสี่ยวหลันจะแต่งตัวท่านให้งดงามยิ่ง แต่พระสนมอย่าได้พลาดโอกาสนี้นะเพคะ เรื่องที่ก่อนหน้านี้เจิ้งเฟยรังแกท่านเช่นไรต้องบอกเหยียให้หมดนะเพคะ” นึกถึงท่าทีหยิ่งผยองของหลินเล่อเซิง เสี่ยวหลันก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะสถานะของนางต่ำต้อยนางก็อยากจะไปฟ้องต่อหน้าเหยียเสีย
“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” เซิงเอ๋อร์ทอดถอนใจ สิ่งที่เหยียไม่ชอบที่สุดคือการสู้รบตบมือของเหล่าสตรี หากนางบอกเรื่องท่าทีเช่นนั้นของหลินเล่อเซิงจะไม่เป็นการผลักให้เหยียจากไปอีกหรือ ไม่ง่ายกว่าเลยหว่าเหยียจะมาพบนางด้วยตัวเองหลังจากเจ็ดวันที่ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา นางจะไล่เหยียออกไปได้อย่างไร?
กล่าวตามจริงคือนางคิดถึงเหยีย
นางรู้สึกเสียใจภายหลังทั้งที่คืนวันนั้นเหยียให้โอกาสนางอยู่หลายครา นางไม่ควรฟังคำพูดทั้งหมดของหลินเล่อเซิงจริงๆ หากวันนั้นนางไม่ไล่เหยียไปนางกับเหยียคงไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาจนถึงวันนี้
แต่เหยียมาก็นับเป็นเรื่องที่ดี
“จำไว้ว่าหลังจากเหยียมาแล้วอย่าพูดเรื่องไร้สาระ ส่วนเรื่องที่เจิ้งเฟยรังแกข้า ข้าจะจัดการเองเข้าใจหรือไม่?”
เซิงเอ๋อร์กล่าวด้วยเกรงว่าเสี่ยวหลันจะทำเรื่องผิดพลาดเพื่อไปร้องขอความเป็นธรรมให้นาง
“พระสนมโปรดวางใจ เสี่ยวหลันเข้าใจแล้วเพคะ” เสี่ยวหลันรีบพยักหน้า
ที่ข้างนอกมีเสียงเคาะประตู เสี่ยวหลันมีสีหน้ายินดียิ่ง “หรือเหยียจะมาแล้วเพคะ หม่อมฉันจะรีบไปเปิดประตูเพคะ”
เห็นนางรีบวิ่งตะลีตะลานไป เซิงเอ่อร์ที่ยังคิดอยากพูดอันใดแต่คิดไปคิดมาก็อดกลั้นไว้ นางรีบมานั่งตัวตรงบนเก้าอี้ มองตัวเองในกระจกว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ การเต้นของหัวใจก็เร็วขึ้นมากว่าปกติ
แปลกเสียจริง มีความรู้สึกรักใคร่กับเหยียมาหลายปีแล้ว เหตุใดจึงราวกับผู้ที่เพิ่งรู้จักความรักและได้พบหน้าคนรักเป็นครั้งแรก เหตุใดจึงตื่นเต้นถึงเพียงนี้!
นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาตบที่หน้าอกอย่างแผ่วเบา อยากให้ตัวเองสงบลงเสียหน่อย แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ยินเสียงเสี่ยวหลัน
“เสี่ยวหลัน?”
เซิงเอ๋อร์ลุกขึ้น ยามที่เดินออกมานอกห้องก็เห็นว่ากลับมิใช่เหยียที่คะนึงหา แต่เป็นสาวใช้ข้างกายของหลินเล่อเซิง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่?” เซิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แน่นอนว่าย่อมมาตามคำสั่งของพระสนมของหม่อมฉัน เวลามีไม่มากหม่อมฉันจะกล่าวแบบรวบรัด เช่อเฟยเหนียงเหนียงคิดว่าท่านคงรู้ข่าวที่เหยียกำลังมาที่นี่แล้ว แต่เหนียงเหนียงของหม่อมฉันไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่งที่ของต่ำต้อยจะมาสัมผัสสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง พระสนมกล่าวว่าหากยังอยากอยู่ที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดแห่งนี้ต่อไปก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ มืดแล้วเช่อเฟยเหนียงเหนียงควรพักผ่อนได้แล้ว”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้เซิงเอ๋อร์ก็ถอยหลังไปหลายก้าว ทั่วทั้งร่างล้วนสั่นเทาด้วยความโกรธ “เจ้า พวกเจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เช่อเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนฉลาดอย่าแสร้งทำเป็นเลอะเลือนเลยเพคะ พระสนมของหม่อมฉันยังบอกอีกว่านางเป็นเจิ้งเฟย ทั้งค่าใช้จ่ายเรื่องเสื้อผ้าและอาหารในตำหนักหลังทั้งหมดล้วนต้องอาศัยการตัดสินใจของเจิ้งเฟย หากนางไม่พอใจจะเติมเครื่องปรุงอันใดลงไปในอาหารเสียหน่อยก็คงไม่ดี อา เหยียมาถึงหน้าตำหนักแล้ว เหนียงเหนียงไตร่ตรองเอาเองเถิดเพคะ”
สาวใช้กล่าวก่อนจะชนร่างของนางรีบเข้ามาซ่อนตัว
ไม่รอให้เซิงเอ๋อร์ไล่ ข้างนอกประตูก็มีเสียงของฉินเสียนถิงดังขึ้นมา “เซิงเอ๋อร์?”
การข่มขู่ตรงหน้าและความหวาดกลัวภายในใจทำให้เซิงเอ๋อร์รีบปิดประตูห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้เบื้องหน้านางก็รีบวิ่งไปที่หน้าโต๊ะและเป่าเทียบจนดับ
เสี่ยวหลันมองการกระทำที่แตกต่างจากปกติยิ่งนี้ “พระสนมท่าน…”
“ไปบอกเหยียว่าดึกแล้วข้าพักผ่อนแล้ว รีบไปเถอะ” เซิงเอ๋อร์กัดฟันลังเลใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็จำเป็นต้องผลักไสคนที่คะนึงหาออกไปอีกครา
“พระสนม!” เสี่ยวหลันร้อนรน ยามนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้า พระสนมจะยอมแพ้อีกครั้งได้อย่างไร
ขอเพียงพาเหยียเข้ามา เหยียก็จะเห็นสาวใช้ข้างกายของหลินเล่อเซิงซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หากบอกเล่าช่วงเวลานั้นที่หลินเล่อเซิงทั้งข่มขู่และหยิ่งผยอง นางเชื่อว่าเหยียจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่พระสนมเป็นแน่
“ทำตามเสีย!” เซิงเอ๋อร์พูดอย่างดุดันหนึ่งประโยคก่อนจะรีบหมุนกายไปอย่างไร้เยื่อใย
แม้ในห้องจะมืดมิดแต่นางก็ยังเห็นรอยยิ้มลำพองใจของสาวใช้ข้างกายของหลินเล่อเซิง
เสี่ยวหลันไม่มีทางเลือกทำได้เพียงเปิดประตูออกไป ยามนี้ฉินเสียนถิงมาถึงหน้าประตูแล้ว
“พระสนมของเจ้าอยู่ที่ใด?” ฉินเสียนถิงกล่าวเสียงเย็นชามองไปที่ประตูห้องซึ่งปิดสนิทด้วยสายตาไม่ใคร่จะพอใจ
“ทูลเหยีย ช่วงนี้พระสนมร่างกายไม่สู้ดี พรุ่งนี้เหยียค่อยมาอีกคราเถิดเพคะ” เสี่ยวหลันรีบก้มศีรษะรายงาน แต่เพราะนางกลัวความน่าเกรงขามของฉินเสียนถิงทำให้ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด
ในสายตาของฉินเสียนถิง มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่านางตั้งใจโกหก “เมื่อครู่ไม่มีบ่าวมาบอกนางหรือว่าคืนนี้เหยียจะมาหานาง?”
“ทูลเหยียมีบ่าวมารายงานแล้วเพคะ แต่ แต่ร่างกายของพระสนมไม่สู้ดีจริงๆ เพคะจึงไร้หนทางจะมาพบเหยีย ขอเหยียโปรดอย่าทำให้พระสนมลำบากใจเลยเพคะ” เสี่ยวหลันตกใจกลัวรีบคุกเข่าลงบนพื้น แต่นางคุกเข่าเช่นนี้ก็ทำให้ฉินเสียนถิงนึกอยากก้าวเข้าไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
เมื่อครู่ยามมาถึงหน้าตำหนักเขาเห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าในห้องมีแสงเทียนสว่างอยู่ แต่เมื่อเขาเดินมาใกล้แสงเทียนกลับดับไป เห็นได้ชัดยิ่งว่าคนข้างในจงใจไม่มาพบเขา!
“เหอะ ข้าคิดว่าปฏิบัติอย่างเย็นชากับนางมาหลายวัน นางคงจะรู้แล้วว่าตัวเองผิดพลาดไปอย่างไรจึงคิดอยากมาพบข้า ยามนี้ดูท่าแล้วคงเป็นข้าที่คิดเข้าข้างตัวเองกระมัง?” ฉินเสียนถิงจ้องมองไปที่ประตูห้องอย่างดุร้าย “นางไม่อยากเจอข้าก็ดี เช่นนั้นทั้งชีวิตนี้ก็หลบซ่อนอยู่ในนั้นไม่ต้องออกมาเจอคนอีก!”
กล่าวอย่างดุดันจบ ฉินเสียนถิงก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เห็นแผ่นหลังที่ไร้ปรานีของเหยีย เสี่ยวหลันก็อยากพุ่งเข้าไปร้องขอความเป็นธรรมแทนเจ้านายและพูดความจริงทั้งหมดออกไป แต่น่าเสียดายที่เหยียเดินไปไกลแล้ว
ได้ยินเสียงฝีเท้านอกประตูหายไปแล้ว รวมทั้งมีเสียงร้องไห้ของเสี่ยวหลันดังขึ้นมา เซิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนเตียงก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างดื้อรั้น ทั้งยังมีน้ำตาสองสายที่ไหลลงมาจากหางตา
“ยามนี้พวกเจ้าพอใจแล้วหรือไม่?” นางมองสาวใช้ข้างกายของหลินเล่อเซิงอย่างเย็นชา “ที่นี่เป็นห้องของข้า เจ้าเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อยไม่มีสิทธิ์มายืนอยู่ในนี้ออกไปเสีย!”
“เจ้า…” บ่าวรับใช้โกรธเกรี้ยว คาดไม่ถึงว่านางจะพูดกับตัวเองเช่นนี้ “เหอะ เจ้าก็เป็นเพียงเช่อเฟยที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชายังคิดว่าตัวเองเป็นพระสนมอีกหรือ!”
สาวใช้ส่ายศีรษะพลางกลอกตา “ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้ ตำหนักองค์ชายเจ็ดจะมีพระสนมเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือเจิ้งเฟยเหนียงเหนียงของข้า ส่วนเจ้าหรือ? เหอะ คืนนี้นับว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอดทีเดียว”
สาวใช้ทิ้งคำพูดไว้ก่อนออกจากประตูไป ยามที่เสี่ยวหลันเข้ามาเซิงเอ๋อร์ก็สะอื้นไห้อยู่ก่อนแล้ว
“พระสนม พระสนมพวกเราควรทำเช่นไรดีเพคะ” เสี่ยวหลันเช็ดน้ำตานางไปพลางร้องไห้ไป “หลินเล่อเซิงผู้นั้นทำเกินไปแล้วจริงๆ ท่านยังต้องถูกนางกดขี่เช่นนี้ไปถึงเมื่อไรเพคะพระสนม เมื่อครู่ยามที่เหยียจากไปทรงโกรธมากเพคะ เกรงว่าคงไม่มาอีกภายในระยะเวลาสั้นๆ พระสนมเหตุใดชะตาชีวิตของท่านจึงทุกข์ยากถึงเพียงนี้เพคะ”
ได้ยินคำพูดนี้ของเสี่ยวหลัน น้ำตาของเซิงเอ๋อร์ก็ไหลออกมามากขึ้น นางกอดเสี่ยวหลันไว้ในอ้อมกอดแน่น อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ใช่ เหตุใดชะตาชีวิตของนางถึงได้ทุกข์ยากถึงเพียงนี้?
ยังคิดว่าหลังจากเข้ามาในตำหนักองค์ชายเจ็ดจะสามารถเฝ้ารอฟ้าเปิดจนมองเห็นดวงจันทร์กระจ่าง [1] ได้ แต่คาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายทั้งหมด
มีหลินเล่อเซิงอยู่ค้ำฟ้านางก็ไม่มีทางที่จะได้หลุดพ้น เพื่อลูกแล้วนางจะต้องอดทนต่อการกดขี่ของหลินเล่อเซิง
แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องสูญเสียเหยียไปเป็นแน่
“เมื่อครู่หากข้าไม่รับปากคำขอของหลินเล่อเซิง นางจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อลอบสังหารเด็กในท้องข้าเป็นแน่ ไม่ง่ายกว่าจะได้เด็กคนนี้มาข้าจะเสียเขาไปไม่ได้จึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น” เซิงเอ๋อร์เช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ในใจของนางก็ยิ่งชัดเจนว่าต่อให้นางอดทนก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปได้
ในใจของนางมีความกลัดกลุ้มอยู่เต็มอกทำให้นางนอนไม่หลับทั้งคืน แต่เช้าวันต่อมาหลินเล่อเซิงก็ยังส่งสาวใช้ข้างกายมาส่งข่าว
“พระสนมของข้าต้องการไปซื้อของใช้ให้โอรส พระสนมบอกว่านางมีเมตตาจึงจะไปกับเจ้า เจ้ารีบเตรียมตัวเถอะอย่าให้เสียเวลา”
นอนไม่หลับทั้งคืนเซิงเอ๋อร์จึงรู้สึกอ่อนล้ายิ่ง นางไม่อยากไปเดินซื้อของอันใด ยิ่งไปกว่านั้นหลินเล่อเซิงจะใจดีกับนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“ร่างกายของข้ารู้สึกไม่ค่อยดี อย่างไรก็ขอให้เจ้าไปปฏิเสธพระสนมของเจ้าด้วยว่าข้าไปด้วยไม่ได้” เซิงเอ๋อร์กล่าวปฏิเสธ “ไม่จำเป็นต้องขัดขวางอารมณ์อันดีของพี่สาว”
“บอกให้เจ้าตามไปเจ้าจะมาพูดจาเลอะเทอะเช่นนั้นได้อย่างไร! ต่างก็มีครรภ์เหมือนกันเหตุใดพระสนมของข้าจึงกระฉับกระเฉงตลอดทั้งวัน แต่เจ้ากลับมารู้สึกไม่สบายเล่า คนชั้นต่ำนี่ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง” สาวใช้ไม่คิดจะปล่อยนางไป “พระสนมของข้าพูดแล้ว เจ้าต้องไปถึงแม้จะอยากไปหรือไม่ก็ต้องไป หลังจากนี้หนึ่งเค่อให้มารออยู่นอกตำหนักไม่เช่นนั้นย่อมไม่เป็นผลดีอันใดกับเจ้าแน่!”
สาวใช้ทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะเดินชนเสี่ยวหลันออกไป
เห็นท่าทางคุยโวทั้งยังร้ายกาจของนาง เสี่ยวหลันก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง “บ่าวชั้นต่ำผู้นี้เจ้ามาทำตัวร้ายกาจกับผู้ใดกัน?”
มองเซิงเอ๋อร์ที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร ในใจเสี่ยวหลันก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด “พระสนมท่านดูเถิดเพคะ สาวใช้ผู้หนึ่งยังมารังแกท่านได้เช่นนี้ พวกเราไปหาเหยียเถอะเพคะ ไปบอกกับเหยียให้ชัดเจนเหยียจะต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านเป็นแน่เพคะ”
เชิงอรรถ
[1] เฝ้ารอฟ้าเปิดจนมองเห็นดวงจันทร์กระจ่าง หมายถึง ทุกปัญหาย่อมมีทางออก แม้จะเจอความยากลำบากแต่สักวันหนึ่งมันจะผ่านพ้นไป หรือฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ