เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 377 คลื่นทะเล
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 377 คลื่นทะเล
เล่มที่ 13 ตอนที่ 377 คลื่นทะเล
“ตามการคาดเดาของญาติผู้พี่จะมีคนมาลอบสังหารพวกเรา ร่องรอยของพวกเราถูกเปิดเผยแล้วต่อไปก็ต้องรอดูญาติผู้พี่กับหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง!” หนานกงอี้จือมองกลับไปทางคนชุดดำทั้งสี่คนข้างหลังพลางกล่าวอย่างกังวล
“องค์ชายรองและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง จะต้องเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี พลิกสถานการณ์จากที่อันตรายให้กลายเป็นดีแน่นอนขอรับ ซื่อจื่อพวกเราควรทำตามคำสั่งขององค์ชายรอง ไปรวมตัวกับพวกเขายังสถานที่ที่นัดหมายไว้นะขอรับ” หลังมั่วชิงปลอบใจก็กล่าวแนะนำ
“ได้!”
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปเป็นขาวเหมือนท้องปลา หนานกงอี้จือคิดว่าพวกซั่งกวนเซ่าเฉินอาจเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาสองคนจึงเพิ่งมาถึง
“ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงเสียที เหตุใดจึงมาช้าถึงเพียงนี้เล่า?”
หนานกงอี้จือเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นที่มีความคิดจะกลับไปต่อสู้ที่เมืองผิงเฉิง
“ข้าคิดไม่ถึงว่าคนที่เจ้าเจ็ดเตรียมไว้ในเมืองผิงเฉิงจะมีมากถึงเพียงนี้ เพื่อสลัดคนพวกนั้นให้หลุดข้ากับมู่เอ๋อร์จึงวนอยู่นานยิ่ง แล้วพวกเจ้าเล่า ทางฝั่งนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถาม
“เป็นไปตามการคาดเดาของท่าน หลังจากข้ากับมั่วชิงออกมาจากที่ว่าการก็ถูกคนสะกดรอยตาม ดังนั้นพวกเราจึงทำตามแผนแสร้งทำเป็นไปตรวจสอบแหล่งกบดานหลายแห่งของหอวีรบุรุษในละแวกนั้น หลังจากสลัดพวกมันหลุดก็ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการมาถึงเมืองอี๋เฉิง แต่ประตูเมืองอี๋เฉิงมีการคุ้มกันแน่นหนา พวกเราจะผ่านเมืองอี๋เฉิงไปยังเมืองหรงเฉิงอย่างราบรื่นได้อย่างไร?” หนานกงอี้จือตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง
เมืองอี๋เฉิงขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่วุ่นวาย เหตุใดจึงวุ่นวาย ว่ากันว่าในยามนั้นเคยมีคนลุกฮือขึ้นก่อกบฏ ด้วยเหตุนี้ประชาชนจำนวนมากในเมืองอี๋เฉิงจึงเป็นลูกหลานของกบฏ ที่นี่ยังเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวภายใต้การปกครองของแคว้นเทียนเฉาที่ออกปล้นสะดมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
“หากจู่ๆ มีคนแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นที่เมืองอี๋เฉิงจะต้องดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างเป็นแน่ เพื่อไม่ให้มีปัญหาพวกเราจะไม่เข้าออกเมืองอี๋เฉิงทางประตูเมืองแต่จะใช้ทางน้ำ” ซั่งกวนเซ่าเฉินหมุนกาย แขนยาวชี้ไปทางน่านน้ำฝั่งตรงข้ามที่ตีนภูเขา
“สามารถเดินทางด้วยทางน้ำไปเมืองหรงเฉิงได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าผู้คนมากมายเลือกใช้ทางน้ำเพื่อขนส่งสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี แต่ไม่กี่ปีมานี้เกิดน้ำเอ่อล้นได้ยินว่าการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำอันตรายยิ่ง จึงไม่มีผู้ที่ทำการรับส่งทางเรือ ขอเหยียโปรดคิดใคร่ครวญดูก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงเตือน ในใจแอบภาวนาให้เหยียไม่เห็นด้วย
“ในเมื่อไม่มีคนพายเรือทำการรับส่งทางเรือให้พวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ต้องไปกันเอง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตัดสินใจและสั่งให้หนานกงอี้จือไปหาเรือที่แข็งแรงมาลำหนึ่ง มั่วชิงยังอยากพูดอันใดแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบ
“วางใจเถอะ พวกเราคงไม่โชคร้ายถึงขั้นเจอคลื่นทะเลหรอก” มองความกังวลของมั่วชิงออก หลิงมู่เอ๋อร์จึงกล่าวปลอบ
“กระหม่อมหาได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเข้าใจมั่วชิงผิดแล้ว ท่านอาจไม่รู้ว่ามั่วชิงเติบโตมาที่ชายทะเล ทักษะในการว่ายน้ำจึงไม่เลว หากโชคไม่ดีพบเจอคลื่นทะเลก็ยังสามารถเอาตัวรอดในทะเลได้ แต่องค์ชายรองและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองรวมถึงหนานกงซื่อจื่อเป็นผู้สูงศักดิ์ยิ่ง กระหม่อมเพียงแต่เป็นห่วงว่า…”
“หากเจ้าไม่กลัว เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่กลัว วางใจเถอะ ขอเพียงพวกเราสามารถหาหลักฐานที่องค์ชายเจ็ดแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารไว้ได้ ก็จะสามารถเร่งรุดกลับไปที่เมืองหลวงได้แล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเราทำได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบ หนานกงอี้จือก็หาเรือลำใหญ่ลำหนึ่งมาได้
คนพายเรือแสดงท่าทีชัดเจนว่าช่วงไม่กี่วันนี้เกรงว่าคงจะมีคลื่นทะเลพัดผ่าน จึงแนะนำทุกคนว่าอย่าเสี่ยงอันตราย แต่หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินมอบเงินให้เขาหนึ่งร้อยตำลึง คนพายเรือก็ไม่พูดให้มากความอีก กลับมอบของแถมเป็นเคล็ดลับในการเอาตัวรอดในยามที่พบเจอคลื่นทะเลอีกด้วย
หลังจากฟ้าสว่างทั้งกลุ่มก็ออกเดินทาง
เส้นทางน้ำตั้งแต่เมืองอี๋เฉิงไปถึงเมืองหรงเฉิงเป็นเส้นทางวกวน แต่หากทุกอย่างราบรื่นก็จะไปถึงที่หมายก่อนฟ้ามืด
ทว่าน่าเสียดายยิ่ง ดวงชะตาของทั้งสี่คนในวันนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเขาโชคร้ายเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาประสบพบเจอกับคลื่นทะเล
“เหยีย ซื่อจื่อ ท่าไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ คลื่นทะเลกำลังซัดมาจากข้างหน้า พวกเราควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” มั่วชิงที่กำลังพายเรือรีบพุ่งมารายงาน
ทั้งสี่คนพากันออกมาจากห้องผู้โดยสารของเรือ
จากระยะไกล คลื่นทะเลลูกหนึ่งที่ดูราวกับสัตว์ร้ายตัวโตอ้าปากกว้างอย่างหิวกระหาย กำลังจะกลืนกินพวกเขาเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
จุดสูงสุดของคลื่นทะเลสูงมากจนดูเหมือนจะสามารถคว่ำเรือได้
“รีบลดใบเรือเร็ว!” ซั่งกวนเซ่เฉินออกคำสั่งโดยพลันทะยานร่างขึ้นไปบนใบเรือ
หลังจากหนานกงอี้จือและมั่วชิงสบสายตากันก็รีบลดใบเรืออย่างเร็วที่สุด แต่การกระทำนี้ก็ช่วยเพียงแค่ทำให้เรือรักษาความมั่นคงไว้ได้ หากคลื่นทะเลกลืนกินเรือพวกเขาเข้าไปจริงๆ พวกเขาก็ทำเพียงพึ่งวาสนาของตัวเองแล้ว
“หันเรือกลับไปก่อนแล้วดูว่าจะสามารถหลบเลี่ยงคลื่นทะเลได้หรือไม่” หลิงมู่เอ๋อร์แนะนำ พลางชี้ไปทางสถานที่ที่ดูค่อนข้างปลอดภัยข้างหลัง
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา!” หลังจากมั่วชิงลดใบเรือก็รีบหยิบไม้พายขึ้นมาพายอย่างสุดชีวิต ทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาอย่างยิ่งในชั่วพริบตา
“ข้าจะช่วยเอง!” หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาได้หลบอยู่ในห้องผู้โดยสาร และชิงเอาไม้พายในมือของมั่วชิงไป เรี่ยวแรงของนางมีมหาศาล พายไม่กี่คราเรือก็เคลื่อนที่ไปโดยง่าย
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองแข็งแกร่งยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!” มั่วชิงมองอย่างตะลึงงัน แต่เขาก็ยังไม่ลืมความเร่งด่วนในยามนี้ เขาวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่งช่วยนางพายเรืออย่างสุดชีวิต
“ให้ข้าจัดการเอง เจ้าเข้าไปรอข้างในเถอะ!” ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทะยานร่างลงมาจากใบเรือก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์พายเรืออย่างยากลำบากอยู่ แม่นางน้อยเช่นนางจะสามารถรับความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร
“หากคลื่นทะเลซัดเข้ามาจมเรือจริงๆ ต่อให้ข้าเข้าไปข้างในก็ไม่มีประโยชน์” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่หยุดมือที่กำลังพาย นางมองหนานกงอี้จือที่มิได้อยู่ใกล้ๆ ก่อนนางใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นกล่าว “เซ่าเฉินหากต้องพบเจออันตรายจริงๆ ท่านกับข้ายังสามารถเข้าไปหลบในมิติได้ แต่หนานกงอี้จือกับมั่วชิงไร้หนทางจะเข้าไปได้ ควรทำเช่นไรดี?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแทบไม่ต้องคิด “ข้าจะไม่ทิ้งพวกเขา”
แทบจะทันทีที่พูดจบ คลื่นทะเลก็โถมเข้ามา
หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินมิทันได้เตรียมตัวรับมือจึงถูกคลื่นซัดลงทะเลไป
“ญาติผู้พี่ มู่เอ๋อร์!” หนานกงอี้จือพบความผิดปกติจึงรีบพุ่งเข้ามาคว้าแขนของซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ได้ทันเวลา “ข้าจะดึงพวกท่านขึ้นมา!”
แต่น้ำหนักของคนสองคนในทะเลมิอาจดูแคลนได้ ต่อให้หนานกงอี้จือจะมีเรี่ยวแรงมากมายแต่ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย “อี้จือปล่อยมือ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวโดยพลัน
“ไม่ปล่อย ท่านหาได้เป็นเพียงญาติผู้พี่ของข้าแต่ยังเป็นสหายของข้าด้วย ท่านสามารถเดินทางนับพันลี้จากเมืองหลวงมาหาข้าได้ แล้วจะให้ข้าจะทอดทิ้งพวกท่านในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร?” เหงื่อเม็ดโตไหลรินลงมาจากหน้าผากและมือของเขาก็ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง แต่หนานกงอี้จือก็ยังคงมุ่งมั่นคิดหาแผนรับมือ
“เช่นนี้ท่านจะถูกพวกเราลากลงทะเลไปด้วย หนานกงอี้จือปล่อยมือ เชื่อเถอะว่าพวกข้าจะไม่เป็นไร!” หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมาตะโกน แม้จะไม่รู้ว่าข้างบนจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม
“เด็กโง่เงียบเสีย! หากเจ้าตกลงไปแล้วเคราะห์ร้ายเกิดตายขึ้นมาคิดจะให้ข้าต้องรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตหรือ?” หนานกงอี้จือไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย ทว่ายังถึงขั้นตะโกนเรียกมั่วชิงที่อยู่ข้างหลังด้วย “มั่วชิงรีบมาช่วยเร็ว!”
“เหยีย กระหม่อมจนปัญญาจะข้ามไปขอรับ เรือเสียสมดุลไปแล้วหากข้ามไปยามนี้แล้วเรือทั้งลำเกิดพลิกคว่ำจะทำเช่นไรขอรับ!” ความจริงเขาเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้ก่อนแล้ว แต่มั่วชิงพบว่าคลื่นทะเลยิ่งเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ แรงกระแทกที่รุนแรงยิ่งแทบจะทำให้เรือของพวกเขาลอยเคว้งอยู่ในทะเล
หากเขาข้ามไปน้ำหนักทางฝั่งนี้จะเสียสมดุล เรือทั้งลำจะพลิกคว่ำจนทุกคนล้วนจมหายไปในทะเล
“ปล่อยมืออี้จือ!” ได้ยินเช่นนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เห็นว่าหนานกงอี้จือไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว
พวกเขาอยู่บนเรือบางทีอาจยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่หากจมหายไปในทะเลกับเขาด้วย ผลลัพธ์ก็ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ
“ข้าไม่ปล่อย…อ๊า!”
หนานกงอี้จือยังพูดไม่ทันจบก็มีคลื่นทะเลอีกลูกโถมเข้ามา เขาที่ไม่ทันระวังตัวทั้งร่างจึงพลิกตกเรือไป
ทั้งสามคนตกลงไปในทะเลพร้อมกัน มั่วชิงที่อยู่บนเรือเสียสมดุลจึงล้มลงไปอีกฝั่ง
ยามนี้เองคลื่นทะเลลูกใหญ่ก็ม้วนกลับมา ทั้งสี่คนที่ยังลอยอยู่เหนือผิวน้ำก็ถูกคลื่นทะเลลูกยักษ์ม้วนกลับเข้าไป
“จับไม้พายไว้!” ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ถูกซัดลงผิวทะเลก็ออกแรงตะโกนขึ้นมา แม้นางจะไม่รู้ว่าทุกคนจะพอได้ยินประโยคนี้หรือไม่ แต่นางเชื่อว่าขอเพียงมีโอกาสรอดทุกคนย่อมไม่ยอมแพ้
ในความมืดมิดราวกับว่าจมดิ่งลงสู่ห้วงความมืดไร้ก้นบึ้ง
ในหูราวกับได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเลลูกใหญ่ พวกเขาถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น
ตายแล้วหรือ?
เหตุใดจู่ๆ รอบตัวจึงเงียบสงบถึงเพียงนี้?
ไม่สิ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน?
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้สติขึ้นมาก็พบความเงียบสงัดและงแสงขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตา
นางยื่นมือออกไปบังสายตาโดยสัญชาตญาณ แอบมองข้างนอกผ่านซอกนิ้ว ที่แท้สีขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตาในสายตาของนางก็คือท้องฟ้า
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้นางก็รีบลุกขึ้นนั่งกวาดสายตามอง ก่อนที่เบื้องหน้าจะเห็นชายหาดไร้ผู้คน และไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งนอนถูกทรายฝังกลบไว้อยู่
“เซ่าเฉิน!”
เมื่อมองออกจากสีเสื้อผ้าของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหาเขา แต่เพราะการพบเจอกับคลื่นทะเลทำให้ร่างกายของนางอ่อนแออย่างยิ่ง เพิ่งก้าวออกไปได้ก้าวเดียวก็ล้มลงเสียแล้ว
นางรีบหยิบน้ำพุวิญญาณออกจากมิติมาดื่ม ร่างกายของนางมีเรี่ยวแรงมากมายขึ้นมาโดยพลัน นางรีบพุ่งเข้าไปข้างกายซั่งกวนเซ่าเฉินทันที
ดึงเขาออกมาจากทรายด้วยความยากลำบาก เห็นเขามีสีหน้าซีดเผือดอีกทั้งยังชีพจรอ่อน นางก็ตกใจรีบหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาให้เขาดื่มลงไปก่อน เมื่อเห็นขนตาของเขาสั่นไหวนางก็ร้องตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดัง “ซั่งกวนเซ่าเฉิน เซ่าเฉิน!”
“อื้อ!”
ส่งเสียงอู้อี้ออกมาเสียงหนึ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง
เห็นว่าเขาฟื้นแล้วหลิงมู่เอ๋อร์ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งรีบพยุงเขามานอนบนตัก “ท่านฟื้นแล้วหรือ? ดีจริงๆ เซ่าเฉินท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
น้ำพุวิญญาณสายหนึ่งไหลเข้าไปทุกส่วนของร่างกาย ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกสบายขึ้นจากเดิม ใช้สายตาปรับตัวกับแสงสว่าง ก่อนเขาจะมองสำรวจไปรอบด้าน “อี้จือกับมั่วชิงเล่า?”
ใช่ แล้วพวกเขาเล่า?
ตั้งแต่หลิงมู่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก็ไม่เห็นทั้งสองคนเลย
แต่หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่านี่เป็นคำถามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกังวลมากที่สุดในยามนี้
“แม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใดแต่คงเป็นเกาะอันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง พวกเราอยู่บนชายหาดของเกาะแห่งนี้แต่ในเมื่อพวกเราถูกคลื่นทะเลซัดมาที่นี่ หนานกงอี้จือและมั่วชิงก็จะต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน พวกเราลองหาดูรอบๆ ก่อนเถอะ” หลิงมู่เอ๋อร์เสนอก่อนจะมองไปรอบตัวโดยพลัน
ผลคือบนชายหาดที่ไม่ไกลจากพวกเขาดูเหมือนจะมีสิ่งผิดปกติบางอย่างอยู่
“ทางนั้น พวกเขาอยู่บนไม้พาย!” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจ
ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบลุกขึ้นและวิ่งไป เป็นไปดังคาดร่างของทั้งสองคนแยกกันอยู่ไม่ไกลนัก ชายที่นอนอยู่บนไม้พายคือหนานกงอี้จือและมั่วชิง
“มาช่วยที!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าไปแต่จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงแปลกๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
เขาจับหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ด้วยสัญชาตญาณ ทั้งสองคนหมอบลงไปบนพื้นมองไปข้างหลัง
“เซ่าเฉินดูเหมือนตรงนั้นจะมีผู้ใดอยู่” หลิงมู่เอ๋อร์มองส่วนลึกของป่าทึบฝั่งตรงข้ามอย่างตึงเครียด เสียงแปลกๆ นั้นน่าจะดังออกมาจากที่นั่นแต่เป็นเสียงอันใดแม้แต่นางก็จนปัญญาจะแยกแยะได้