เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 359 เสียหน้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 359 เสียหน้า
เล่มที่ 12 ตอนที่ 359 เสียหน้า
“ซูเช่อเหตุใดท่านจึงโง่เขลาเช่นนี้ บุกเข้าไปในตำหนักองค์ชายเจ็ดคนเดียวท่านรู้หรือไม่ว่าหากถูกเขาจับได้ท่านคง…” หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งทำเป็นจับชีพจรของเขา แต่แท้จริงกำลังฉวยโอกาสซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องสมุดบัญชี
“เปิ่นหวางไม่ทราบว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองกำลังพูดเรื่องอันใด ขอบังอาจถามเจิ้งเฟยขององค์ชายรองว่า ร่างกายของเปิ่นหวางมีส่วนใดที่ผิดปกติหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ซูเช่อปิดปากไม่พูดถึงเรื่องในครานั้น ถึงขั้นไม่มองหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่คราเดียว
“แม้ที่นี่จะอยู่ในวังหลวงแต่เจ้าไม่จำเป็นต้องระแวงเช่นนี้ ซูเช่อเจ้าไปเอาสมุดบัญชีมาได้อย่างไร?” ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นสายตาหม่นหมองของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ถามแทนนาง
“องค์ชายรองและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองมิใช่ว่าเข้าใจผิดอันใดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ สมุดบัญชีอันใดเปิ่นหวางฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่หากร่างกายของเปิ่นหวางหาได้มีอันใดผิดปกติเช่นนั้นเปิ่นหวางต้องขอพาหวางเฟยไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ พวกเรายังต้องเข้าวังไปถวายความเคารพแด่ฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงซูเช่อแลดูเสียดสีตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงขั้นรักษาระยะห่างจากพวกเขาอย่างสุดความสามารถ
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเช่นนี้ก็คิดอยากซักไว้ไล่เลียงต่อ แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันก็พยักหน้า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพูดพวกเราก็จะไม่ซักไซ้ต่อ แต่ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไว้มากนับว่าข้าติดหนี้เจ้าคราหนึ่งแล้ว หลังจากข้าจัดการคนผู้นั้นอย่างถึงที่สุดได้แล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดข้าจะตอบรับเจ้าทั้งหมด”
ซูเช่อเงยหน้ามองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างจริงจัง แต่ผ่านไปเพียงสามวินาทีเขาก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนสง่างามออกมา “เช่นนั้นเปิ่นหวางจะรอข่าวดีจากองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
พูดเช่นนี้คือยอมรับว่าสมุดบัญชีถูกเขาขโมยไปหรือ?
มองเขาที่เห็นได้ชัดว่าอ่อนกำลังยิ่งแต่กลับยังคงมีท่าทางต้องการรักษาท่าทีไว้อยู่ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ทั้งปวดใจทั้งรู้สึกผิด
ทว่าในเมื่อเขาไม่อยากพูดกับนางให้มากความ นางก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ
“ร่างกายของเสียนหวางอ่อนกำลังยิ่งแต่ดีที่พลังชี่เกือบฟื้นฟูเต็มที่แล้ว อีกสักเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาเทียบยาไปส่งให้ ตราบใดที่กินยาตรงเวลาอีกไม่กี่วันก็จะหายดี” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็เก็บมือที่จับชีพจรอยู่กลับมา
“ทำให้เจิ้งเฟยขององค์ชายรองต้องลำบากแล้วพ่ะย่ะค่ะ! เจิ้งเฟยขององค์ชายรองโปรดวางใจ กระหม่อมจะกินยาให้ตรงเวลาไม่ให้ผิดต่อความปรารถนาดีของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเช่อกล่าวจบก็หมุนกายเดินจากไปหามั่วจวินเหยาแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาจงใจไม่กินยาเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับมั่วจวินเหยา แต่ในเมื่อเป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาไม่จำเป็นต้องทำให้ร่างกายตัวเองลำบากอีก
เพื่อไม่ให้หลิงมู่เอ๋อร์เป็นกังวลอีกดังนั้นเขาจึงตั้งใจรับปาก
หลิงมู่เอ๋อร์ที่ได้ยินคำพูดนี้กับหู หัวใจที่บีบรัดมาโดยตลอดก็เพิ่งคลายกังวลได้
จากระยะไกลดวงตาคู่หนึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นด้วยโทสะ
“พวกเจ้ารวมหัวกันรังแกน้องสาวข้า คอยดูเถอะข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
ซูเช่อหลังจากดูชีพจรเรียบร้อย ยามที่เดินไปข้างกายมั่วจวินเหยาก็เห็นแก้มที่พองขึ้นมาด้วยความโกรธท่าทางดูจัดการได้ยากยิ่ง เขาขมวดคิ้ว “ยังไม่ลุกขึ้นอีกคิดจะคุกเข่าจนถึงพรุ่งนี้เช้าเลยหรือ?”
นางรีบยืนตัวตรงแต่เพราะคุกเข่าเป็นเวลานานทั้งร่างของมั่วจวินเหยาจึงเซไปข้างหน้า เดิมทีนางคิดว่าอย่างน้อยซูเช่อก็จะช่วยพยุงนางไว้อย่างมั่นคง ใครจะรู้ว่าเขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ซูเช่อถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจิ้งเฟย ข้าเสียหน้ามิใช่ว่าเจ้าก็เสียหน้าหรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่พยุงข้าเสียหน่อยเล่า?” มั่วจวินเหยาโกรธเป็นอย่างยิ่ง นางสะบัดมือบ่าวที่ช่วยพยุงทิ้ง “สามหาว ข้าเป็นเสียนหวางเฟย เจ้านับว่าเป็นอันใดจึงกล้ามาพยุงข้า ไสหัวไป!”
เห็นท่าทีที่นางปฏิบัติต่อบ่าว ดวงตาทั้งสองข้างของซูเช่อก็หรี่ลงจนเป็นขีดเดียวกล่าวอย่างเย็นชา “ตัวเสียนหวางเฟยเองยังไม่กลัวเสียหน้า แล้วเสียนหวางยังต้องกลัวอันใดอีก”
พูดจบเขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างไม่บอกกล่าว ทว่ากลับหาใช่ทางเข้าวังหลวงแต่เป็นทางออกจากวังหลวง
“ซูเช่อเจ้าจะไปไหน? พวกเราไม่ใช่ว่าต้องไปถวายความเคารพฝ่าบาทหรือ?” มั่วจวินเหยารีบไล่ตามไป เดิมทีนางยังวางแผนว่าหลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทจะร้องทุกข์ต่อฝ่าบาท ฮ่องเต้โปรดปรานนางถึงเพียงนั้นจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่นางเป็นแน่
“แม้แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเจ้าก็ยังไม่นอบน้อมไม่ทำความเคารพ หากพาเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าจะไม่ทำผิดกฎหรือ?” ซูเช่อยิ้มเยาะ “เจ้าไม่ต้องการตำแหน่งเสียนหวางเฟย แต่ข้ายังอยากรักษาตำแหน่งเสียนหวางไว้”
พูดจบเขาก็ออกจากประตูวังหลวงไปขึ้นรถม้า
มั่วจวินเหยาถูกทำให้โกรธจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม
ซูเช่อเห็นว่านานแล้วนางก็ยังไม่ตามขึ้นมาจึงโผล่หัวออกมาจากรถม้า “ทำไม ไม่ไปหรือ?”
“เจ้าประคองข้าขึ้นไป ข้าถึงจะไปกับเจ้า!” มือทั้งสองข้างของมั่วจวินเหยาเท้าเอว รอให้ซูเช่อลงมาประคองนางขึ้นไปด้วยตัวเอง
นางตัดสินใจแล้วว่าหากซูเช่อลงจากรถม้ามาประคองนาง นางจะให้อภัยกับคำพูดที่เกินไปของเขาเมื่อครู่
“ไม่ไปก็ช่าง” ซูเช่อพ่นเสียงต่ำพลางสั่งคนบังคับรถม้า “กลับจวน”
มองซูเช่อที่จากไปต่อหน้า หลังจากมั่วจวินเหยาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็รีบร้อนไล่ตามไป แต่น่าเสียดายที่รถม้าวิ่งไปไกลแล้ว
“ซูเช่อ ซูเช่อข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า!”
ในตำหนักประพาสชั่วคราว มั่วจวินเหยาโผเข้าไปในอ้อมกอดของอามู่เต๋อพลางร้องไห้อย่างหนัก “เสด็จพี่ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะเพคะ ทุกคนล้วนรังแกข้า พวกเขาทั้งหมดล้วนรังแกข้า”
มั่วจวินเหยาบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับเมื่อเช้าให้อามู่เต๋อฟังอย่างละเอียด “ข้าอามู่เหยาเหยายามที่อยู่แคว้นซีอวี้ไหนเลยจะเคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ เสด็จพี่เคยบอกว่าจะออกหน้าแทนข้า หรือท่านยังอยากเห็นน้องสาวถูกคนรังแกอีกหรือเพคะ?”
“ไม่มีทาง!” อามู่เต๋อกัดฟันดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็ง “ซูเช่อเขากล้ารังแกเจ้าหรือ?”
เขาคาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะไม่มองว่าเหยาเหยาเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ “เจ้าบอกว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้แตะต้องเจ้าเลยหรือ?”
“เพคะ เขาไม่เพียงแต่ไม่แตะต้องทว่ายังไล่ข้าออกมาข้างนอกด้วย! เสด็จพี่ศักดิ์ศรีของแคว้นซีอวี้ของพวกเราล้วนถูกเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า ท่านบอกมาเถอะว่าเพราะเหตุใดในคราแรกท่านจึงมุ่งมั่นจะให้ข้าตบแต่งกับเขา?” มั่วจวินเหยายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ หรือพี่ชายจะยังมีแผนการอื่นใดอีก
“เป็นพี่สะเพร่าเอง ข้าคิดว่าเขามาสู่ขอด้วยตัวเองจะกี่มากน้อยก็ย่อมมีความชอบพอเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าที่งดงามถึงเพียงนี้ทั้งยังเป็นผู้ที่งดงามที่สุดแห่งแคว้นซีอวี้ เขาก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง แต่ข้าคาดไม่ถึงว่าเขาจะชั่วร้ายมากถึงเพียงนี้!” อามู่เต๋อสูดหายใจเข้าลึก ยามที่ลืมตาอีกคราในก้นบึ้งของดวงตาก็มีไฟโทสะที่ไม่อาจดับได้
“เหยาเหยาเจ้าไม่เข้าใจ ตระกูลซูเป็นเชื้อพระวงศ์ มารดาของซูเช่อเป็นองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์ปัจจุบัน ในมือของตระกูลซูมีอำนาจที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอยู่! ข้าให้เจ้าไปตบแต่งกับซูเช่อก็เพราะสาเหตุนี้ ในอนาคตยามที่แคว้นซีอวี้ของพวกเรารวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ขอเพียงมีเจ้าหลบซ่อนอยู่ทางข้าศึกฝั่งนี้ทั้งยังได้รับอำนาจทางทหารของตระกูลซู เจ้าคิดว่าพวกเราจะต้องกังวลอันใดอีกหรือ?” อามู่เต๋อกล่าว เขาหวังว่ามั่วจวินเหยาจะอดทนเสียหน่อยเพื่อเรื่องนี้
“เช่นนั้นเสด็จพี่ก็หลอกใช้ข้ามาโดยตลอดหรือ?” มั่วจวินเหยาตะลึงงัน นางไม่เคยคิดเลยว่าแม้แต่พี่ชายก็ยังรังแกนาง
เห็นมั่วจวินเหยาถอยหลังไปทีละก้าวด้วยท่าทีใจสลายอย่างไม่อยากจะเชื่อ อามู่เต๋อก็รีบคว้าไหล่ทั้งสองข้างของนางไว้ “ไม่ใช่ เหยาเหยา เจ้าเข้าใจพี่ผิดแล้ว สิ่งที่ข้าปรารถนามากที่สุดก็คือการที่เจ้ามีความสุข ข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร มีบางเรื่องที่ข้าไม่อาจใช้คำพูดไม่กี่คำเพื่ออธิบายให้ชัดเจนได้ แต่เจ้าเชื่อเถอะว่าข้าก็ปวดใจแทนเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
“เพคะ ข้าเชื่อเสด็จพี่แต่…” มั่วจวินเหยาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างดื้อดึง “ข้าอยากให้ท่านฆ่าหลิงมู่เอ๋อร์!”
น้ำเสียงที่เย็นเฉียบของนางหนักแน่นจนยากที่จะปฏิเสธ
มือที่จับไหล่ทั้งสองข้างของนางชะงักไปสีหน้าฉายแววลำบากใจ
“เมื่อครู่ท่านยังบอกว่าต้องการทวงความเป็นธรรมให้ข้า ยังบอกด้วยว่าทุกอย่างก็เพื่อตัวข้า แต่พอให้ท่านฆ่าคนท่านกลับไม่เต็มใจทำ เสด็จพี่ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขารังแกข้าเช่นไร? ที่ซูเช่อปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ทั้งหมดก็เป็นเพราะหลิงมู่เอ๋อร์หญิงสารเลวผู้นั้น หรือจะบอกว่าเสด็จพี่ชอบหญิงชั่วผู้นั้นจริงๆ เพคะ?”
มั่วจวินเหยาชะงักงันแม้นางจะอยากรู้คำตอบของพี่ชาย แต่กลับกลัวคำตอบนี้เช่นกัน
นางกลัวพี่ชายบอกว่าใช่ เช่นนั้นนางก็ไร้ที่พึ่งและพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแล้ว
“ข้าชอบนางหรือ?” อามู่เต๋อยิ้มเยาะ “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของมั่วจวินเหยาอีกคราพลางกล่าวอย่างจริงจัง “เหยาเหยา มีเรื่องบางอย่างที่ข้าจนปัญญาจะอธิบายกับเจ้า แต่ขอเพียงเจ้าเชื่อว่าพี่จะไม่ทำร้ายเจ้าเด็ดขาดก็พอ ตัวหลิงมู่เอ๋อร์มีสิ่งที่ข้าต้องการมาตลอดดังนั้นจึงยังไม่อาจฆ่านางได้อีกพักหนึ่ง แต่เจ้าวางใจความอัปยศในวันนี้ข้าจะช่วยล้างแค้นให้เจ้าก่อนเอง”
มั่วจวินเหยาได้ยินก็นึกสนุกสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน “เสด็จพี่วางแผนจะจัดการกับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไรหรือเพคะ?”
ยังนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจลงมือกับซูเช่อนางจึงรีบปกป้อง “ข้าไม่อนุญาตให้ท่านทำร้ายซูเช่อนะเพคะ! แม้ว่าเขาจะหยาบคายกับข้าแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะมีหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ เขาจึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ตายไปซูเช่อจะต้องเห็นความดีของข้าแน่นอน! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของข้าหากท่านทำร้ายเขาแล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเพคะ?”
มั่วจวินเหยานึกถึงปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งขึ้นมาได้ “ไม่ถูก เสด็จพี่ท่านในฐานะทูตของแคว้นซีอวี้ หลังจากข้าและซูเช่อแต่งงานกันก็ต้องออกจากแคว้นเทียนเฉา ท่าน…ท่านจะช่วยข้าอย่างไรเล่า?”
“เป็นความจริงที่ข้าใกล้จะต้องจากไปแล้ว แต่แคว้นเทียนเฉาเมื่อข้ากลับถึงแคว้นซีอวี้เมื่อใดจะไม่อาจควบคุมได้เชียวหรือ” อามู่เต๋อยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าวางใจเถอะเหยาเหยา พวกเขากล้าทำร้ายน้องสาวของข้าข้าจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าสิ่งใดคือราคาที่ต้องชดใช้!”
ณ ตำหนักองค์ชายรอง
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูเร่งรีบเข้ามาที่ห้องตำรา
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีคนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา บอกว่าต้องให้กระหม่อมส่งให้ถึงมือท่าน ขอท่านโปรดลองอ่านดูพ่ะย่ะค่ะ”
ดึกขนาดนี้ผู้ใดส่งจดหมายมาหานางกัน?
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัยจึงเปิดอ่านโดนสัญชาตญาณแต่แล้วนางก็ต้องตกใจ
‘หากยังต้องการชีวิตของหลิงจื่ออวี้ให้มาที่ภูเขาหลังชานเมืองตะวันตกคนเดียว’
มีเพียงตัวอักษรเรียบง่ายแถวหนึ่งแต่ลายมือที่เขียนอย่างหวัดๆ ที่เขียนชื่อผู้รับไว้ยังมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอยู่อีกด้วย
ไม่รู้เพราะเหตุใดในหัวของนางจึงนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาโดยพลัน…อามู่เต๋อ
“เกิดอันใดขึ้นมู่เอ๋อร์?” ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นสีหน้าของนางผิดปกติก็เดินเข้ามาอย่างตึงเครียด
หลิงมู่เอ๋อร์รีบเก็บจดหมาย “เป็นการเล่นพิเรนทร์ของเจาหยาง นางขอให้ข้าไปตรวจชีพจรให้นางข้าจึงจะออกไปเสียหน่อย”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มุมปากประดับรอยยิ้มท่าทางราวกับไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้ใส่ใจอันใด “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ท่านยังมีสาส์นมากมายถึงเพียงนี้ที่ต้องอ่าน ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สายตาบอกให้เขาวางใจและออกจากตำหนักองค์ชายรองไป
แต่นางยังไม่เร่งรีบไปที่ยังสถานที่ที่ระบุไว้ในจดหมาย แต่มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาที่หลิงจื่ออวี้ศึกษาอยู่ นางจะต้องตรวจสอบก่อนว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ
ตั้งแต่หลิงจื่ออวี้มาเรียนกับอาจารย์จู หลังลงสนามสอบเมื่อปีก่อนก็ย้ายไปเรียนที่สำนักศึกษาหลีหยวน ซึ่งนับว่าเป็นสำนักศึกษาหลวงครึ่งหนึ่ง ที่นั่นการป้องกันเข้มงวดไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปมั่วซั่วได้ แม้แต่นางที่เป็นพี่สาวแท้ๆ หากต้องการมาเยี่ยมก็ยังต้องรอให้ถึงวันที่ครอบครัวจะมาเยี่ยมได้ทุกสิ้นเดือน
นางไม่เชื่อว่าอามู่เต๋อจะจับหลิงจื่ออวี้ไป
“พี่สาว พี่สาว!”
ทางด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังวิ่งก็หยุดฝีเท้าโดยพลัน นางหันกลับไปตามเสียงยังคิดว่าตัวเองคาดเดาผิดไป อามู่เต๋อไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นหรอก แต่เมื่อนางหันกลับไปคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเด็กแปลกหน้าคนหนึ่ง
“เจ้าเรียกข้าหรือ?”
“ใช่ขอรับพี่สาว มีคนให้ข้านำสิ่งนี้มาให้พี่สาว” เด็กชายเดินไปเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์และแบฝ่ามือออก
หลิงมู่เอ๋อร์จ้องมองครู่หนึ่งในใจก็กระตุก นี่ไม่ใช่ถุงหอมติดตัวที่นางให้หลิงจื่ออวี้ไว้หรือ?