เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 324 บาดเจ็บสาหัส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 324 บาดเจ็บสาหัส
เล่มที่ 11 ตอนที่ 324 บาดเจ็บสาหัส
“ท่านมีวิธีช่วยพี่ชายออกมาแล้วหรือ?” ในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“พวกเขามิใช่ใส่ร้ายหลิงจือเซวียนว่ารับสินบนปล่อยตัวนักโทษประหารหรือ เช่นนั้นก็มีแต่หาตัวนักโทษประหารคนนั้นออกมา ความจริงก็จะกระจ่างทั้งหมด ถึงเวลานั้น ข้ายังจะใช้ฐานะขององค์ชายรอง ขอพระราชโองการจากเสด็จพ่อ เอาตัวหลิงจือเซวียนมา ขอเพียงเขากลายเป็นคนของข้า ต่อให้เจ้าเจ็ดคิดอยากลงมืออีกครั้งก็ไม่กล้า”
เมื่อได้ฟังคำพูดของซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้สงบใจที่พลุ่งพล่านลง นางยอมรับ นอกจากทำเช่นนี้ ยามนี้ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว
“เช่นนั้นจะไปหานักโทษประหารจากที่ใดเล่า?” นางถอนใจทีหนึ่ง “องค์ชายเจ็ดในเมื่อทำเช่นนี้ได้ ย่อมจะต้องคิดหาหนทางถอยไว้เรียบร้อยแล้ว เทียนเฉาก็กว้างใหญ่ หากคนผู้นั้นจะซ่อนตัวขึ้นมาจริงๆ พวกเรามิใช่งมเข็มในมหาสมุทรหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่า ความรู้สึกวิตกกังวลที่นางพึ่งวางลงได้กลับมาอีกแล้ว
ยามนี้ มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “เหยีย แม่ทัพหลิวจากกรมทหารรอท่านอยู่ในห้องตำรามาสองชั่วยามแล้ว ท่านดูว่าจะไปตอนนี้หรือไม่?”
หลิงมมู่เอ๋อร์จึงได้ตระหนักว่า เขามีงานราชการที่ต้องจัดการ
“ท่านมีเรื่องสำคัญเหตุใดจึงไม่รีบบอกเล่า ท่านรีบไปเถอะ ข้าจะกลับจวนสกุลหลิง”
ยื่นแขนยาวออกมาขวางมิให้นางไป ซั่งกวนเซ่าเฉินออกแรงเบาๆ ก็กักตัวนางไว้ในอ้อมกอด เขาก้มหน้าลงมองตาของนางกล่าวว่า “ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องของเจ้า หลิงจือเซวียนเป็นพี่ชายของเจ้า ก็เท่ากับเป็นพี่ชายของข้าด้วย คนจากกรมทหารพวกนั้นรอหน่อยจะเป็นไรไป”
“แต่ว่า…”
“ข้าได้ให้หนานกงอี้จือไปตรวจสอบเบาะแสของนักโทษประหารคนนั้นแล้ว บางทีเจ้าอาจยังไม่เข้าใจหนานกงอี้จือคนนี้นัก แม้ภายนอกเขาจะดูไม่จริงจัง ทะลึ่งทะเล้น แต่เมื่อทำเรื่องที่จริงจังขึ้นมาก็ไม่ละเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง เขามีพี่น้องในยุทธภพอยู่มากมาย” ซั่งกวนเซ่าเฉินมั่นใจเต็มเปี่ยม “บางทีพวกเราต้องการหาคนผู้หนึ่งอาจไม่ง่ายนัก แต่สำหรับเขาแล้ว ก็ง่ายดายกว่ามาก ข้าจะรอข่าวกับเจ้า”
ประมาณยามดึก หนานกงอี้จือก็มารายงานอย่างเร่งร้อน หาคนพบแล้ว
ใจที่กังวลอยู่ตลอดเกือบจะพ่นออกมาจากลำคอแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความยินดี “จริงหรือ? หาพบแล้วจริงหรือ?”
“ดูท่าลูกผู้พี่คงยังไม่ได้บอกความสามารถที่แท้จริงของข้ากับเจ้า” หนานกงอี้จือค้อนซั่งกวนเซ่าเฉินทีหนึ่ง ไม่พอใจกับการปิดบังของเขาเป็นอย่างมาก
เขานั่งไขว้ขากระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ราวกับนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ยื่นแขนขวาออกมา “ใครเข้ามา ยกน้ำชาให้นายน้อยซิ”
ยามนี้ดึกแล้ว จวนองค์ชายรองทั้งบนล่างต่างก็พักผ่อนแล้ว อีกทั้ง เพื่อไม่ให้คนมารบกวนอารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินได้สั่งการข้ารับใช้ไว้ก่อนแล้วว่า ไม่อนุญาตให้เข้ามาใกล้ หนานกงอี้จือทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากทำตัวเป็นนายใหญ่
ซั่งกวนเซ่าเฉินฉวยถ้วยชาของเขาบนโต๊ะหนังสืออย่างไม่ใส่ใจโยนข้ามไป ความเร็วของเขาไวมาก หากมิได้เตรียมป้องกันไว้ก่อนจะต้องถูกกระแทกใส่อย่างแน่นอน
หนานกงอี้จือหลบได้ทันเวลาพอดี ทั้งสายตาและมือรวดเร็วเฉียบคม คว้าถ้วยชาไว้ในอุ้งมือ รอจนร่างกายนั่งอย่างมั่นคง เขาก็เชิดคางอย่างลำพอง “ยังคิดจะลองเชิงข้าอีก การละเล่นแบบนี้เจ้าเล่นมาเกือบสิบปีแล้ว เจ้าก็ไม่รู้จักเหนื่อย”
เขาเย้ยหยันอย่างดูแคลน ดื่มชาในถ้วยลงไปรวดเดียวกว่าครึ่ง ผลลัพธ์คือ ถูกเขาพ่นออกมาจนหมด “เหตุใดจึงเย็นเล่า?”
ยามดึกในฤดูหนาวเช่นนี้ เดิมคิดอยากจะดื่มชาสักคำเพื่ออบอุ่นร่างกาย ใครจะรู้ว่าเพียงคำนี้คำเดียว ก็ทำเอาร่างกายของเขาหนาวขึ้นอีกสามส่วน “ซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้าตั้งใจนี่”
“จะพูดหรือไม่พูด คนเล่า อยู่ที่ใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมไม่มีอารมณ์ไปเล่นกับเขา
ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดจะยื่นมือไปคว้าสิ่งใดโยนมาอีก หนานกงอี้จือเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบยกมือยอมแพ้ “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว ท่านวางแท่นหมึกในมือของท่านลง ของสิ่งนี้หากกระแทกเข้ามา ศีรษะของบิดาจะต้องเป็นแผลแน่”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้เคลื่อนไหว แต่ส่งสายตาให้เขาครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณให้เขาบอกกล่าวเรื่องราวให้ชัดเจน
“อย่าพูดไป เรื่องนี้ล้วนพึ่งพี่น้องของข้าในยุทธภพทั้งหมด ไม่เช่นนั้น ต่อให้ตีให้ตายพวกเราก็คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด!”
เมื่อคิดถึงสถานที่ที่เพิ่งไปมา หนานกงอี้จือยังสั่นสะท้านขึ้นมา “หอคนิกาชาย! เป็นอย่างไร พวกท่านไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงกระมัง ข้าก็คิดไม่ถึง พวกท่านว่า ชายปกติที่โตแล้วคนไหนจะมุดเข้าไปในสถานที่แบบนั้นกัน?”
หลังจากหนานกงอี้จือเดาะลิ้น ก็อธิบายอย่างละเอียดว่า “ข้าให้คนหาไปทั่วทุกที่ ก็ไม่พบร่องรอยของเขา แต่คนของข้ารับรองว่าในช่วงนี้ไม่มีคนแปลกหน้าออกจากเมือง ข้าจึงให้พี่น้องในยุทธภพช่วยกันหาข้ามคืน ผลคือคนผู้นั้นเพื่อซ่อนตัวไปหลบอยู่ในหอคนิกาชาย พวกท่านลองดูว่า ความคิดนี้เป็นผู้ใดออกให้เขากัน”
“นอกจากคนผู้นั้น ยังมีใครมีความคิดเช่นนี้อีก” ซั่งกวนเซ่าเฉินส่งเสียงหึครั้งหนึ่ง “ตอนนี้ คนอยู่ที่ใด?”
“พูดออกมาแล้วพวกท่านอาจไม่เชื่อ ในตอนที่พวกเราเพิ่งหาตัวเขาเจอนั้น ก็มีมือสังหารจำนวนมากพุ่งออกมาจะแย่งตัวคน ยังดีที่คนที่ข้าพาไปล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในยุทธจักร ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ ดังนั้น ตอนนี้คนอยู่ในมือของพี่น้องในยุทธภพชั่วคราว แต่ญาติผู้พี่วางใจได้ คนปลอดภัยดี พวกเราสามารถพาตัวคนไปได้ทุกเมื่อ” หนานกงอี้จือตอบกลับอย่างจริงจัง
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก็ลุกขึ้นมา เมื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็กลับเป็นอ่อนโยนเช่นในอดีต
”วันนี้ฟ้ามืดแล้ว เจ้าก็พักผ่อนที่นี่เถอะ ข้ากับหนานกงอี้จือไปนำตัวคนเข้าวัง ข้ารับรองว่าก่อนฟ้าสว่าง จะต้องพาหลิงจือเซวียนมาอยู่เบื้องหน้าเจ้า”
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดจะเอ่ยปากตามไป แต่เมื่อใคร่ครวญว่าที่พวกเขาเข้าวังไปพบกลางดึกคือฮ่องเต้ ฮ่องเต้เพิ่งยอมแพ้เรื่องการแต่งงานของนางกับซั่งกวนเซ่าเฉิน หากการมีนางอยู่ข้างกายเกิดสร้างผลกระทบในทางกลับกัน เรื่องก็จะไม่ดีแล้ว
“ได้ ข้าจะรอข่าวดีของพวกท่าน ทุกเรื่องจงระวัง”
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า ก็ออกจากจวนองค์ชายรองไปพร้อมกับหนานกงอี้จืออย่างเร่งรีบ
ห้องตำราขนาดใหญ่เหลือหลิงมู่เอ๋อร์เพียงผู้เดียว นางย่อมนั่งก็นั่งไม่ได้ ยืนก็ยืนไม่เป็นอยู่ เดินไปมาอยู่ในห้องไม่หยุด
ยามบ่าย ในตอนที่รอข่าวคราว เจาหยางจวีส่งคนมาถ่ายทอดคำพูด บอกว่าเจาหยางตื่นแล้ว อาการยังถือว่าไม่เลวนัก
อีกทั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าซูและท่านแม่ยังดูแลอยู่ข้างกาย นางจึงมิได้รีบร้อนกลับไป เพราะอย่างไร ผู้ผูกกระพรวนย่อมเป็นผู้แก้กระพรวน ก่อนหลิงจือเซวียนจะกลับไป คิดว่าไม่ว่าเป็นผู้ใดไปปลอบประโลมเจาหยางก็ล้วนไร้ผล
นางจึงรออยู่ที่นี่เสียเลย แม้จะรู้ว่าคืนนี้จะต้องเป็นค่ำคืนที่ยาวนานอย่างแน่นอน แต่ใจทั้งดวงของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังคงแขวนอยู่ที่ลำคออยู่ตลอด ราวกับก้างที่ติดอยู่ในลำคอ
ในยามที่ฟ้าเริ่มสางนั้น นางคลับคล้ายจะได้ยินเสียงกุกกัก จึงได้คิดถึงว่าอาจเป็นพวกซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาแล้ว นางรีบเปิดประตูห้องออก
อย่างที่คิด ซั่งกวนเซ่าเฉินและหนานกงอี้จือแบกหลิงจือเซวียนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ค่อยๆ เคลื่อนจากไกลเข้ามาใกล้
“เหตุใดจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันไปแล้ว
นี่ยังใช่พี่ชายผู้อ่อนโยนสง่างามของนางอยู่หรือ? บุรุษเบื้องหน้าที่ไม่เหลือสภาพเดิม อาภรณ์ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด เกรงว่าจะเป็นคนที่ใกล้ตายกระมัง?
“เร็วเข้า เขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว มู่เอ๋อร์ เจ้าทำได้หรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินเกรงว่านางจะเป็นเพราะห่วงมากเกินไปจนไม่สามารถรักษาหลิงจือเซวียนได้ หากนางส่ายหัว เขาจะเรียกหมอคนอื่นมาทันที
หลิงมู่เอ๋อร์เพียงตะลึงงันด้วยความกังวลไปสามวินาที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างมั่นคง “แบกเขาเข้าไปเถอะ ข้าอาจยังต้องการผู้ช่วยด้วย”
“ข้าก็คือผู้ช่วยของเจ้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินเสนอตนเองอย่างจริงใจ
ยามนี้ นางไม่มีเวลามาเลือกมากแล้ว แม้ว่ามีบางสิ่งที่อาจถูกเขาค้นพบ แต่เพื่อรักษาชีวิตนี้ของหลิงจือเซวียนไว้ นางก็ไม่อาจสนใจได้มากขนาดนั้นแล้ว
“รบกวนซื่อจื่อช่วยข้ายกน้ำร้อนจำนวนหนึ่งมา” หลิงมู่เอ๋อร์สั่งการหนานกงอี้จือ ในความเป็นจริงแล้วคือการแยกเขาออกไป
เดิมหนานกงอี้จือสามารถปฏิเสธได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเคร่งเครียดของพวกเขา เขาไม่พูดอะไรอีก รีบทำตัวเป็นลูกน้องทันที
ในห้อง เหลือเพียงซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ และหลิงจือเซวียนที่สลบไปแล้ว
“ตอนนี้ข้าต้องทำสิ่งใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินประหม่าอยู่บ้าง
“อีกครู่ท่านอาจจะเห็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด กับเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร วันหลังข้าค่อยอธิบายกับท่าน หวังว่าท่านจะไม่ประหลาดใจ”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์นิ่งเฉยไปครู่หนึ่ง ก็มองตาของเขาแล้วกล่าวอย่างจริงใจ ถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนให้เขาก่อนเข็มหนึ่ง
และในยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เข้าใจคำพูดนี้ของนางอย่างยิ่งนั่นเอง ก็เห็นมือที่ว่างเปล่าของนางไม่รู้ว่ามีกรรไกรด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
ตอนแรก เขาคิดว่าตนเองตาลาย แต่หลังจากนั้น ก็พบว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ไปหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งมาจากที่ใด กับอุปกรณ์ที่เขาไม่รู้จักอีกจำนวนหนึ่ง เขาก็ตะลึงงันไปแล้ว
“มู่เอ๋อร์…”
“ไม่ผิด ข้ามีความลับหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ตลอดไม่ได้บอกท่าน แน่นอนว่า หากไม่ใช่เพราะวันนี้พี่ชายบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ข้าก็ไม่มีทางบอกท่าน”
หลิงมู่เอ๋อร์ทางหนึ่งตัดเสื้อเปื้อนเลือดออกให้หลิงจือเซวียน อีกด้านอธิบายอย่างสงบ “แต่ในเมื่อท่านเห็นหมดแล้ว พูดออกมาก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นคลังของวิเศษลับของข้า มันเป็นการคงอยู่ที่ท่านไม่มีวันจินตนาการออกได้ เครื่องมือจำนวนมากของข้าล้วนซ่อนอยู่ภายใน นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดข้าจึงสามารถค้นคว้าเครื่องมือพิเศษออกมาได้เสมอ และเป็นจุดกำเนิดที่ว่าเหตุใดข้าจึงสามารถรักษาโรคที่ผู้อื่นรักษาไม่ได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังคงไม่เข้าใจ ในความเข้าใจของเขา มู่เอ๋อร์ของเขาเก่งกาจเป็นอย่างมาก หรือจะบอกว่า ความเก่งกาจพวกนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวงหรือ?
“วิชาแพทย์ของเจ้า”
“ท่านไม่ต้องสงสัยในวิชาแพทย์ของข้า ทักษะทางการแพทย์ของข้าไม่อาจปลอมแปลงได้ ต่อให้ไม่มีของวิเศษชิ้นนี้ ข้าก็ยังคงเป็นเซียนแพทย์ที่มือวิเศษสามารถคืนชีวิตได้ แต่เมื่อมีสิ่งนี้ก็ทำให้ข้าเสมือนเสือติดปีก” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นสงสัยในวิชาแพทย์ของนาง ต่อให้เป็นผู้ที่นางรักก็ไม่ได้
“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงไม่คิดว่า เจ้าจะบอกความลับนี้กับข้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดไป สายตาก็อดมองไปที่นอกประตูมิได้ ทันทีที่หนานกงอี้จือเข้ามา เขาจะบอกหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยตัวเอง จะได้ให้นางเตรียมป้องกันให้เรียบร้อยล่วงหน้า
“ยังมีข่าวดีอีกเรื่องจะบอกกับท่าน แต่ไม่ใช่ตอนนี้” หลิงมู่เอ๋อร์วางแผนว่ารอจนจัดการเรื่องของหลิงจือเซวียนเรียบร้อย ก็จะบอกเขาเรื่องที่เขาก็มีมิติเช่นกัน “เหตุใดพี่ชายของข้าจึงบาดเจ็บถึงขั้นนี้ได้?
“เป็นข้าไปช้าก้าวหนึ่ง เขาอยู่ในคุกหลวงได้รับการลงโทษอย่างหนัก แต่โชคดีที่พวกเราไปได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคง…” ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนใจทีหนึ่ง “เจ้าวางใจ ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้กับเขา!”
รับรู้ได้ว่าหากพวกเขาไปช้าอีกก้าวหนึ่ง เกรงว่าหลิงจือเซวียนคงจะสิ้นชีวิตอยู่ในคุกเสียแล้ว มือที่ถือเข็มเงินอยู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงัก ดวงตาที่อ่อนโยนของนางก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นกระหายเลือด “ใช่ฝีมือขององค์ชายเจ็ดหรือไม่?”
นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวไม่กี่คำนี้ออกมา แท้ที่จริงในใจก็มีคำตอบแล้ว ขอเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้ากล่าวว่าใช่ นางจะต้องหันศีรษะพุ่งออกไปทันที พุ่งไปที่จวนองค์ชายเจ็ด สังหารบัดซบที่เลือดเย็นไร้จิตใจผู้นั้น
“ยามนี้ยังหาหลักฐานไม่พบ แต่ข้าส่งคนไปหาแล้ว มู่เอ๋อร์…” ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดจะกล่าวบางสิ่ง แต่เห็นสายตาที่เย็นเยียบของหลิงมู่เอ๋อร์พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวเปลวเพลิง
“หากท่านคิดจะให้ข้าปล่อยเขา นั่นเป็นไปไม่ได้”
“ไม่ ข้าคิดจะบอกกับเจ้าว่า เมื่อใดที่คิดจะลงมือบอกข้าสักคำ ข้าจะไปกับเจ้า เพราะเจ้าเจ็ดก็เคยคิดจะเอาชีวิตข้าเช่นกัน”