เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 244 เงื่อนไข
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 244 เงื่อนไข
เล่มที่ 9 ตอนที่ 244 เงื่อนไข
“มีรับสั่งให้มู่เอ๋อร์ของพวกเราเข้าวังหลวงอีกแล้วหรือขอรับ?”
หลิงต้าจื้อรีบเอาตัวปกป้องลูกสาวไว้ด้านหลัง มองขันทีเฒ่าผู้เพิ่งปรากฏตัวในยามนี้เพื่อประกาศราชโองการที่จวนตระกูลหลิง
ทุกครั้งที่ลูกสาวเข้าวังหลวงล้วนไม่มีเรื่องดี ครานี้ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอันใดก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมองสถานการณ์ของบุตรสาวในยามนี้ เกรงว่าจะไปปะทะกับผู้ใดเข้าไม่แน่ใจว่าจะเกิดเรื่องอันใดตามมา
“เรียนท่านขันที มู่เอ๋อร์ของพวกเราเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งการจะไปสถานที่สำคัญอย่างวังหลวงนั้นไม่เหมาะจริงๆ” หลิงต้าจื้อหยิบตั๋วเงินสองใบออกมา “มู่เอ๋อร์ของพวกเราไม่สบายขอเชิญท่านขันทีกลับไปได้หรือไม่?”
ขันทีมองตาลุกวาว เมื่อก่อนตกรางวัลเพียงสิบสองอีแปะ จวนตระกูลหลิงช่างใช้เงินฟุ่มเฟือยเสียจริง แต่ถึงอย่างไรตั๋วเงินนี้เขาก็ไม่อาจรับไว้ได้
“บังอาจ นี่เป็นรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ หากกล้าขัดมีโทษหนักถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร ตระกูลพวกเจ้าคิดจะขัดราชโองการหรือ?”
ขันทีกลั้นใจเอาตั๋วเงินกลับคืนไป ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงเพิ่งพาองค์ชายรองที่ไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษกลับวังหลวง ยามนี้ทรงอารมณ์ดียิ่ง ผู้ใดบอกกันว่ามีรับสั่งให้แม่นางหลิงเข้าเฝ้าแล้วจะต้องได้รับโทษเล่า ไม่แน่อาจได้รับรางวัลก็เป็นได้”
ได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็เกรงว่าหลิงมู่เอ๋อร์เข้าวังไปจะบังเอิญพบคนที่ไม่อยากเจอ หลิงต้าจื้อดึงขันทีไปด้านหนึ่ง เห็นเขาไม่ยอมรับตั๋วเงินจึงยัดตำลึงเงินให้ไปหนึ่งก้อน “ท่านขันทีขอบังอาจถามสักเล็กน้อยว่าองค์ชายรองอยู่ในวังหรือไม่?”
“ต่ำช้านัก! สถานที่พำนักขององค์ชายใช่เรื่องที่คนต่ำต้อยจะถามได้หรือ?” ขันทีพูดอย่างเกรี้ยวกราดแต่เห็นแก่ตำลึงเงิน เขาเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างเงียบเชียบ มองด้านหลังก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงในทันใด “กว่าฮ่องเต้จะพาองค์ชายรองกลับมาเหนื่อยยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง หากไม่อยู่ที่วังหลวงจะให้ไปอยู่ที่ใดเล่า? แต่แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงถามเช่นนี้ ทว่าข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ว่าในยามนี้องค์ชายรองทรงพักผ่อนอยู่ในตำหนัก พวกเจ้าไม่อาจพบเขาได้”
“แต่…” หลิงต้าจื้อยังอยากถามบางสิ่ง
“ท่านพ่อหากยังไม่ไปอีกจะเป็นการขัดราชโองการจริงๆ แล้วนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ดึงหลิงต้าจื้อออก ยืนอยู่เบื้องหน้าขันที “รบกวนท่านขันทีนำทางเจ้าค่ะ”
“ได้ เช่นนั้นแม่นางหลิงเชิญด้านนี้!” ขันทีทำท่าทางเชื้อเชิญ ก่อนหลิงมู่เอ๋อร์จะเดินตามไปก็ส่งสายตาให้ทุกคนวางใจ
ในสามวันเข้าวังไปสองครั้ง เกรงว่าแม้แต่ขุนนางใหญ่ในวังหลวงยังไม่มาบ่อยถึงเพียงนี้
มองฮ่องเต้ที่ยืนอยู่เบื้องบน หลิงมู่เอ๋อร์หรี่ตาทั้งสองข้างครึ่งหนึ่ง ทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจ
“หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพคะ”
“เหอะ ต่ำช้านัก ช่างน่าโมโหเสียจริง ดูเหมือนเจ้าจะรู้ฐานะที่แท้จริงของเฉินเอ๋อร์อยู่แล้วกระมัง?” ฮ่องเต้พูดดูถูกอย่างเย็นชา
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงกล่าวถึงผู้ใดเพคะ ขอบังอาจถามฝ่าบาทว่ากลางดึกเช่นนี้ทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ?” เลี่ยงคำถามของฮ่องเต้แล้วหลิงมู่เอ๋อร์ก็เงยหน้าอย่างไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่ง [1]
คำพูดราวกับการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ไม่มีอันใดกระทบถึงนางจริงๆ
แต่ฮ่องเต้มองออกว่ายิ่งนางเยือกเย็นเช่นนี้ ในใจกลับยิ่งชอกช้ำ
“เจิ้นเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าเขากับเจ้าหาใช่คนที่อยู่เส้นทางเดียวกันไม่ เป็นพวกเจ้าที่มุ่งมั่นเกินไปตั้งแต่ต้น” ยิ้มหยันก่อนจะกลับไปบนบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้เล่นแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือ “แต่เฉินเอ๋อร์ก็ความจำเสื่อมไปแล้ว เจ้าวางแผนจะทำเช่นไรเล่า?”
“ไม่ว่าจะเป็นแผนการใด ฝ่าบาทจะทรงช่วยหม่อมฉันหรือเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างใจกล้า ไม่นานก็ยิ้มออกมา “เกรงว่าที่ฮ่องเต้ทรงเรียกให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าในครั้งนี้ จุดประสงค์คงหาใช่สิ่งนี้กระมังเพคะ?”
“โอ้? เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาบางทีเจิ้นอาจจะตอบรับอย่างยินดี”
ดูเหมือนวันนี้ฮ่องเต้จะอารมณ์ดีจริงๆ พูดกับนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากไม่ใช่เพราะบนร่างสวมเสื้อคลุมลายมังกรตัวหนึ่ง ก็ดูราวกับเป็นเพียงบิดาชราผู้อ่อนโยนจริงๆ
“หม่อมฉันหาได้ต้องการสิ่งใดเพคะ” ปฏิเสธอย่างเย็นชาราวกับไม่ว่าสิ่งล่อลวงใดก็ล้วนไม่เพียงพอจะทำให้นางสั่นคลอนได้
“ด้วยคุณงามความดีที่เจ้าช่วยชีวิตองค์ชายรอง ยามนี้ขอเพียงเจ้าบอกมาเจิ้นก็น่าจะตอบรับ เจ้าไม่อยากลองพูดจริงหรือ?” ราวกับฮ่องเต้แน่ใจว่านางต้องพูดบางสิ่งออกมาจากปากแน่นอน
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาตรงๆ เห็นสายตาล้ำลึกสุดท้ายก็ส่ายหัว
“ฝ่าบาทไม่ทรงลงโทษหม่อมฉันที่ลอบเข้าค่ายทหารในฐานะแพทย์ทหาร ก็นับเป็นพระกรุณาธิคุณต่อหม่อมฉันมากแล้วเพคะ ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันไม่กล้าคิดเพคะ!”
พี่ใหญ่กลับวังหลวงได้กลับสู่ตำแหน่งเดิมของตน แม้ก่อนได้รับบาดเจ็บเขาจะรู้สึกชอบพอนางแต่แล้วอย่างไรเล่า?
พวกเรามิได้อยู่บนเส้นทางเดียวกันอีกแล้ว หาใช่คนที่อยู่บนโลกเดียวกันไม่ ยิ่งไม่อาจทำสิ่งเดียวกันได้
“เจ้าช่างรู้จักวางตัวนัก” ฮ่องเต้โปรดปรานผู้ที่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
เขาใช้สายตาส่งสัญญาณให้ขันทีข้างตัว ของที่คุ้นตาสิ่งหนึ่งถูกส่งมาให้เบื้องหน้า
“เมื่อคืนทัพใหญ่ทั้งหมดได้มาถึงเมืองหลวง แม่ทัพใหญ่โฉวอวี่จินได้อธิบายสถานการณ์ในสนามรบให้เจิ้นฟังอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งยังมอบของสิ่งนี้ให้เจิ้น” ฮ่องเต้ถือมันไว้ มองนางด้วยสายตาเฉียบแหลมโดยพลัน “เจ้ามอบชื่อให้มันว่าเกราะอ่อนไหมทองหรือ?”
ของที่อยู่ในมือของฮ่องเต้หลิงมู่เอ๋อร์มิได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย “ถูกต้องเพคะ เป็นเสื้อเกราะกันกระสุนเพคะ”
“หืม? นั่นหมายความว่าอย่างไร?” ชัดเจนเป็นอย่างมากว่าฮ่องเต้สนใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รีบตอบคำถาม แต่ชี้มาที่ตัวเอง “ฝ่าบาททรง…”
“ไม่ต้องมากพิธี” รีบเรียกนางลุกขึ้นทั้งยังกวักมือให้นางเดินมาเบื้องหน้า
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเกราะอ่อนไหมทอง “คาดว่าเมื่อคืนหลังจากได้รับมันฝ่าบาทคงตรวจสอบมันแล้ว เกราะอ่อนไหมทองนี้สามารถทนต่อกริชที่ตัดเหล็กได้ราวกับโคลน แน่นอนว่ายังสามารถทนต่อปืนใหญ่ได้ด้วยเพคะ”
“ปืนใหญ่หรือ?” ฮ่องเต้ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “ในสงครามมิได้ใช้ปืนใหญ่ เจ้าจะรู้อานุภาพของมันได้อย่างไร? อีกทั้งเจ้าที่เป็นเพียงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งไปได้รับมันมาได้อย่างไร?”
“หากหม่อมฉันบอกว่าสิ่งนี้เป็นหม่อมฉันทำขึ้นมาเองฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่เพคะ?” หลิงมู่เอ่อร์เลิกคิ้ว “หากฝ่าบาทเชื่อหม่อมฉันก็สามารถส่งคนมาเอาไปทดสอบดูได้เพคะ”
นางอธิบาย “หากใช้ปืนใหญ่มาทดสอบเกรงว่าจะเสียงดังทำให้ตื่นตกใจมากเกินไปเพคะ แต่ขอเพียงเปลี่ยนลูกปืนให้กลายเป็นกระสุนปืนใหญ่เมื่อลองสักคราก็จะรู้แล้วเพคะ”
เห็นนางมั่นใจเช่นนี้ฮ่องเต้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ เขาสั่งให้คนไปทำดูทันที
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้ก็มองเกราะอ่อนไหมทองในมือที่สามารถต้านทานกระสุนปืนใหญ่ได้อย่างตื่นเต้นดีใจ ราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าของโลกชิ้นหนึ่ง
“เยี่ยม ยอดเยี่ยม! เดิมทีเจิ้นคิดว่าเกราะอ่อนไหมทองเป็นของธรรมดาชิ้นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ารีบบอกเจิ้นมาว่าสิ่งนี้เจ้าสร้างออกมาได้อย่างไร!”
ฮ่องเต้ชอบมันมากจนไม่อยากปล่อยถึงขั้นไม่ปิดเปลือกตาลง ตาทั้งสองข้างจ้องมองมันไม่วางตาราวกับว่ามันสามารถวิ่งหนีไปได้
หลิงมู่เอ๋อร์กลับนั่งลงบนตำแหน่งของตนอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ยามนี้ฝ่าบาททรงขอให้หม่อมฉันสอนหรือเพคะ?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาฮ่องเต้ที่เมื่อครู่ยังชอบใจจนวางไม่ลงก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด เขาหรี่ดวงตาที่หนาวเหน็บทั้งสองข้างลงครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าพูดอันใด?”
“หากฝ่าบาททรงต้องการทราบขั้นตอนการสร้างเกราะอ่อนไหมทอง ตราบใดที่ตอบรับหม่อมฉันเพียงเงื่อนไขเดียวหม่อมฉันจะอธิบายให้อย่างละเอียดแน่นอนเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์แหงนหน้าขึ้นไม่สนใจความโกรธเกรี้ยวของเขาแม้แต่น้อย
“บังอาจ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร!”
ฮ่องเต้พิโรธเป็นอย่างยิ่ง เกราะอ่อนไหมทองในมือถูกโยนลงบนพื้น เมื่อครู่ยังราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า เพียงพริบตาเดียวกลับโยนทิ้งราวกับขยะไม่ชายตามองแม้แต่คราเดียว
หลิงมู่เอ๋อร์เก็บมันกลับมา “ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่ต้องการทราบขั้นตอนการสร้างทั้งยังไม่ต้องการมันแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันจะเอามันกลับไปทำลายที่บ้านเพคะ”
“หยุด!” ได้ยินคำว่าทำลายฮ่องเต้ก็ร้อนรน “บังอาจนักหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือในวังหลวง หาใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาพูดว่าจะมาก็มาจะไปก็ไปได้ ทุกสิ่งที่สายตามองเห็นล้วนเป็นของเจิ้น อย่าว่าแต่ขั้นตอนการสร้างเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าเลย ต่อให้เจิ้นต้องการตัวเจ้าเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เจ้ายังบังอาจมาพูดเรื่องเงื่อนไขกับเจิ้นอีกหรือ?”
ราวกับได้ยินนิทานพันหนึ่งราตรี[2] ฮ่องเต้ถูกนางทำให้ทั้งโกรธทั้งขัน
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงมีท่าทีราวกับคนนอก “แต่นี่เป็นของส่วนตัวของหม่อมฉัน การออกแบบนี้เป็นความคิดของหม่อมฉันเพียงผู้เดียวมันจึงเป็นของหม่อมฉันผู้เดียวเพคะ หากฝ่าบาททรงอยากทราบก็จำเป็นต้องจ่ายสิ่งตอบแทนเพคะ แน่นอนว่าหากฝ่าบาทใช้อุบายบีบบังคับกักขังหม่อมฉันไว้ข้างกาย ตราบใดที่หม่อมฉันไม่พูดไม่ว่าผู้ใดหรือวิธีการใดก็ง้างปากหม่อมฉันไม่ได้เพคะ!”
นางพูดอย่างดื้อดึงทำให้ฮ่องเต้พิโรธจนพระพักตร์แดงส่งเสียง “ฉ่า” พลางชี้ไปที่ใบหน้าของนางอยู่นานก็พูดประโยคที่ครบถ้วนไม่ออกสักประโยค
หลังจากนั้นพักใหญ่เขาก็ค่อยๆ คลายความพิโรธ “เจ้า เจ้าช่างกล้านัก! หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่เจ้าออกแบบสมบัติเช่นนี้ได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าคงหัวหลุดไปแล้ว!”
“ดังนั้นฝ่าบาททรงตอบรับหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่เพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอียงศีรษะดวงตาที่กะพริบอยู่นั้นช่างดูไร้เดียงสา
ตลอดมารู้อยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าจะโอหังถึงเพียงนี้! ฮ่องเต้ที่คิดจะโกรธแต่ก็ถูกนางทำให้รู้สึกขันอีกครา
“ดีนี่หลิงมู่เอ๋อร์ บนโลกนี้คนที่กล้าพูดเรื่องเงื่อนไขกับเจิ้นมีเจ้าเป็นคนแรก! ช่างเถอะ พูดมาเสียว่าเจ้าต้องการให้เจิ้นตอบรับเงื่อนไขอันใดของเจ้า?” ด้วยเกรงว่านางจะสร้างเหตุผลเพราะต้องการซั่งกวนเซ่าเฉิน ฮ่องเต้จึงรีบกล่าวเสริม “เจิ้นขอเตือนเจ้าว่าจะเป็นเงื่อนไขใดก็ได้ทั้งนั้น แต่ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับองค์ชายรองเจิ้นล้วนไม่อาจตอบรับ!”
ดังนั้นที่ฝ่าบาททรงพิโรธเช่นนี้ก็ตั้งใจเพื่อการนี้หรือ?
แต่หลิงมู่เอ๋อร์หาได้ถูกหลอกไม่
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยเพคะ หม่อมฉันกับองค์ชายรองหาได้รู้จักกันไม่ หม่อมฉันรู้จักเพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงผู้นั้น แต่เขาหายไปแล้วเพคะ หม่อมฉันหาเขาไม่เจอ ส่วนองค์ชายรองหม่อมฉันหาได้รู้จักไม่ จึงเป็นธรรมดาที่หม่อมฉันไม่อาจยกเขาขึ้นมาเป็นเงื่อนไขได้เพคะ”
นางพูดอย่างไม่ยี่หระ “หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการให้ฝ่าบาทตอบรับเงื่อนเพียงข้อเดียวของหม่อมฉัน ส่วนจะเป็นเรื่องใดในช่วงเวลาอันสั้นหม่อมฉันยังคิดไม่ออกเพคะ ฝ่าบาทจะทรงตอบรับหรือไม่เพคะ?”
สตรีผู้อ่อนช้อยน่ารักผู้นี้ยืนอยู่เบื้องพักตร์โดยไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่งเปิดปากขอคำรับรองเปล่าๆ ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีผู้นี้จะยกเงื่อนไขแบบใดมาขู่บังคับตน?
เดินออกจากบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้จ้องมองลงไปยังนาง “สตรีผู้โอหัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือวังหลวง เจิ้นเป็นฮ่องเต้ หากเจ้าไม่ยอมมอบสิ่งที่เจิ้นต้องการให้แต่โดยดีเจิ้นสามารถสั่งให้คุมขังเจ้าได้ เจิ้นเกรงว่าคุกหลวงของวังหลวงคงยังไม่พอสำหรับเจ้า”
ด้วยการคุกคามอย่างไร้สิ่งใดเจือปนกับน้ำเสียงที่ชั่วร้ายของฮ่องเต้ ที่ราวกับปีศาจที่ฆ่าคนได้ตาไม่กะพริบ ดูเหมือนจะสามารถปลิดชีวิตน้อยๆ ของนางได้ในทันใด
แต่หลิงมู่เอ๋อร์หาได้กลัวไม่
“หากพระหมื่นปีต้องการฆ่าใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือเพคะ แต่อย่างที่หม่อมฉันทูลภาพการออกแบบอยู่ในสมองของหม่อมฉัน บนโลกนี้มีเพียงหม่อมฉันผู้เดียวที่รู้ ตราบใดที่หม่อมฉันไม่พูดต่อให้ทรมานจนหม่อมฉันอยู่มิสู้ตายไม่ว่าผู้ใดก็อย่าหวังจะได้ไปเพคะ!”
ท่าทางการพูดช่างโอหังนัก!
“เจ้าไม่กลัวเจิ้นจะสั่งประหารเจ้าจริงหรือ?”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ยังสามารถจัดการทำให้ไม่มีผู้ใดมองวิธีการสร้างเสื้อเกราะกันกระสุนออกเพคะ!”
“เจ้า!” ฮ่องเต้พิโรธแววตาดุร้ายจับจ้องไปยังนางไม่วางตา มองท่าทีโอหังของนางก็แทบทนไม่ไหวที่จะยื่นมือออกไปไปหักคอนางเสีย
แต่วินาทีต่อมาเขาก็แหงนหน้ามองฟ้าส่งเสียงก้องกังวาน “ฮ่าๆๆๆ สตรีผู้นี้ช่างโอหังนัก หากเจ้าเป็นคนของราชวงศ์ หากเจ้าเป็นบุรุษเจ้าต้องเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนักเป็นแน่!”
กลับไปบนบัลลังก์มังกรอีกครา ราวกับมีเพียงการนั่งตรงนี้เท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ฐานะของเขาได้ “ดี วันนี้เจิ้นจะให้สัญญาเปล่าๆ แก่เจ้าอย่างหนึ่ง แต่มีระยะเวลาสามเดือน ภายในสามเดือนเจ้าต้องขอบางสิ่ง เจิ้นจะรับปากทั้งหมด แต่หากเกินระยะเวลาจะถือว่าไร้ผล”
เชิงอรรถ
[1] ไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่ง หมายถึง ไม่ได้ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อยแต่ก็ไม่ได้ถือตัวจนดูจองหอง [2] นิทานพันหนึ่งราตรี หมายถึง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้