เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 238 ผ่าตัดเปิดกะโหลก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 238 ผ่าตัดเปิดกะโหลก
เล่มที่ 8 ตอนที่ 238 ผ่าตัดเปิดกะโหลก
ชายผู้สวมผ้าคลุมยาวสีน้ำเงิน และเสื้อสีน้ำเงินลงมาจากหลังม้า หลังส่งสัญญาณให้คนข้างหลังก็มีคนไปตรวจสอบสภาพของมือสังหารที่อยู่บนพื้นโดยพลัน และชายผู้นั้นก็เดินตรงมายังพวกหลิงมู่เอ๋อร์และหนานกงอี้จือ “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“องค์ชายเจ็ดเหตุใดจึงเป็นท่าน?” หนานกงอี้จือประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายเจ็ดยกมือทั้งสองข้างประสานมือคารวะ “ข้าได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อให้มาต้อนรับทัพใหญ่ที่กลับมายังราชสำนักก่อน แต่ข้ารออยู่นอกเมืองหลวงนานล้วนไม่เห็นทัพใหญ่ปรากฏจึงมาเพื่อต้อนรับโดยเฉพาะ แต่นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
ในยามนี้เองคนที่เขาส่งไปตรวจสอบก็ส่ายหัวมาทางเขาเพื่อแจ้งว่าทั้งหมดตายแล้ว
“อย่างที่ท่านเห็น” หนานกงอี้จือยักไหล่บอกรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แก่เขา
หลังจากได้ฟังองค์ชายเจ็ดก็ขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการสูงสุดซั่งกวนเซ่าเฉินเล่า?”
“อยู่ในกระโจม หม่อมฉันกำลังคิดจะทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกเขาเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบก็คิดจะก้าวเข้าไปในกระโจม แต่องค์ชายเจ็ดก็ยื่นมือมาขวางทางนางโดยพลัน
“ข้าไม่เห็นด้วย!”
องค์ชายเจ็ดแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “ตั้งแต่โบราณหาได้เคยมีวิธีรักษาที่ต้องงัดเปิดหัวคนไม่ แม้ข้าจะรู้ว่าทักษะแพทย์ของเจ้าล้ำลึกเป็นอย่างมาก แต่ทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป!”
“แต่หากไม่ทำเช่นนี้อีกไม่นานเขาจะตายเพคะ!” จิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์สั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องตรงไปที่เขา
องค์ชายเจ็ดมองไปที่หนานกงอี้จือที่กำลังตึงเครียดไม่ต่างกัน และซูเช่อที่ดวงตาถูกพันปิดตาไว้เรียบร้อย เขาดึงหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปด้านข้าง “แม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์แต่ข้าก็ยังรู้ว่าการงัดเปิดหัวคนเป็นวิธีที่เสียงเป็นอย่างมาก เจ้ามั่นใจมากน้อยเพียงใดกัน หากไม่มั่นใจข้าก็ไม่อาจเห็นด้วยได้”
“องค์ชายเจ็ดก็ทรงพูดเองว่าไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์ ที่นี่มีหม่อมฉันที่เป็นหมอเพียงผู้เดียว ยามนี้เขาเสียเลือดมากหากรักษาไม่ทันการก็มีแต่จะเพิ่มอัตราการตายของเขาให้มากขึ้นเท่านั้น แม้อัตราความสำเร็จของการผ่าตัดเปิดกะโหลกจะไม่สูงนัก แต่ถ้าทำก็ยังมีโอกาสที่เขาจะรอด แต่หากไม่ทำจุดจบของเขาก็มีเพียงความตายเพคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งพูดยิ่งตื่นตระหนก ร้อนใจถึงขั้นจะผลักเขาออก
“แม่นางหลิงข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา แต่เจ้าน่าจะรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นวีรบุรุษที่เอาชนะกองทัพศัตรูได้ หากเขาเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้นล้วนหาใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถรับผิดชอบได้ หากเจ้ารักษาไม่สำเร็จย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายที่ไม่สามารถประเมินได้!”
องค์ชายเจ็ดส่ายหน้าให้นาง “เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของสามเหล่าทัพ เห็นแก่ที่เป็นสหายผู้หนึ่งข้าไม่คิดว่าเจ้าจำเป็นต้องไปเสี่ยง”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินก็ตกตะลึงใช้ดวงตามองเขาอย่างถี่ถ้วน หมัดที่กำแน่นกลับยิ่งมีความแน่วแน่
“เขาหาใช่เพียงผู้บัญชาการสูงสุดของสามเหล่าทัพ แต่เขายังเป็นคู่หมายของหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
ก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะผลักเขาออก องค์ชายเจ็ดก็พูดอย่างหนักแน่น “ได้ ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลองดู แต่เจ้าต้องรู้ไว้ว่าหากเจ้าผิดพลาดไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนช่วยเจ้าไม่ได้ แน่นอนว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์เมื่อครั้งอดีตข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อขอความเมตตาจากเสด็จพ่อ”
ไมตรีจิตครั้งแรกของเขาช่างยิ่งใหญ่นัก
หลิงมู่เอ๋อร์เพื่อรักษาเวลาก็ไม่คิดจะพัวพันกับเขาให้มากความอีก ส่งสัญญาณไปทางหนานกงอี้จือให้เขาเฝ้าด้านนอกไว้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน ก่อนนางจะเข้าไปในกระโจมคนเดียว
ผ่านไปสามชั่วยามเต็มการผ่าตัดก็สิ้นสุด หลิงมู่เอ๋อร์พิงหลังพักผ่อนอย่างอ่อนแรงอยู่ด้านข้าง
แม้การรักษาจะสำเร็จแต่อาการของซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้น่าพอใจไม่ ก่อนหน้านี้เขาได้รับพิษของอามู่เต๋อ พิษนี้เป็นพิษจากแมลงที่เขาศึกษามาหลายปีทั้งยังดูดเลือดพิษของเขาเป็นอาหาร อามู่เต๋อศึกษายาพิษมาตลอดทั้งปี พิษบนร่างเป็นพิษที่ไม่อาจอธิบายได้ทั้งยังถูกฟันแทงจนถึงชีวิต เดิมทีเขาก็มีสภาพเป็นผักไปแล้ว หากไม่สามารถทนผ่านคืนนี้ไปได้แม้แต่เทพต้าหลัวก็จนปัญญาแล้ว
ดังนั้นคืนนี้นางจึงต้องจับตามองอาการของเขาตลอดเวลาอย่างตาไม่กะพริบ
“มู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงของหนานกงอี้จือดังขึ้นจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์ลากร่างอันอ่อนล้าไปเปิดม่านกระโจม เมื่อปรากฏตัวออกไปหนานกงอี้จือก็ตกใจ “เหตุใดจึงมีสภาพอ่อนแรงเช่นนี้”
เห็นเพียงใบหน้าที่ซีดเซียวทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรง ราวกับเพิ่งผ่านภัยพิบัติมาอย่างไรอย่างนั้น
“รูที่อยู่หลังศีรษะรักษาเรียบร้อยแล้วแต่เพราะอาการป่วยก่อนหน้านี้อาการของเขาจึงย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าคืนนี้ยังวางใจไม่ได้” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบาย มองเพียงปราดเดียวก็เห็นเงาร่างสองร่างจากในป่าไกลๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
หนึ่งในนั้นคุ้นเคยเป็นพิเศษเป็นองค์ชายเจ็ดที่เร่งรุดมาเมื่อครู่ และอีกคนสวมชุดคลุมสีราบเรียบห้อยดาบอยู่ที่เอว เพราะระยะห่างค่อนข้างไกลอีกทั้งยังสวมผ้าปิดบังใบหน้า จึงมองตัวตนของเขาไม่ออกแต่กลับดูคล้ายคนในเจียงหู
และมือสังหารเมื่อครู่พวกเขาก็เป็นมือสังหารเจียงหูพอดี
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะตรวจสอบกับหนานกงอี้จืออีกครา คนผู้นั้นกลับใช้วิชาตัวเบาจากไปเสียแล้ว ไม่ใช่คนข้างกายองค์ชายเจ็ดหรือ?
“มองอันใดหรือ?”
หนานกงอี้จือกำลังคิดจะมองตามสายตาของนางไป แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับรีบดึงสายตากลับมาเพราะองค์ชายเจ็ดมองมาทางด้านนี้อย่างระแวดระวังแล้ว
“ไม่มีอันใด บางทีข้าคงสายตาพร่ามัวมองผิดไป ข้าจะไปพักผ่อนด้านนั้นสักครู่ ท่านช่วยดูเขาแทนข้าด้วย คืนนี้จะให้คนห่างกายเขาไม่ได้” เดินอ้อมผ่านหนานกงอี้จือไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไปนั่งลงที่ขอนไม้ตรงข้าม
เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าพ่ายแพ้เช่นนี้ เป็นทายาทสืบทอดของตระกูลแพทย์เก่าแก่ไม่เคยพบเจออาการป่วยที่ไม่รู้จัก แต่ครั้งนี้อาการป่วยของซั่งกวนเซ่าเฉินนางกลับจนปัญญาช่างสมควรตายเสียจริง!
นางรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีบางสิ่งที่ตกหล่นไป แต่สิ่งนั้นมันคืออันใดเล่า?
ยามที่กำลังใคร่ครวญอย่างใจจดใจจ่อ เสียงขององค์ชายเจ็ดก็ดังขึ้นมาจากเหนือหัว “ที่แท้แม่นางหลิงก็อยู่ที่นี่เองหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะเปิดปากแต่กลับถูกองค์ชายเจ็ดขัดจังหวะ “อาการของซั่งกวนเซ่าเฉินข้าได้ยินมาแล้ว ข้าคิดว่าจำเป็นต้องส่งเขากลับเมืองหลวงทันที! สภาพในวังดีกว่าเป็นร้อยเท่า แน่นอนว่าหาใช่ข้าไม่เชื่อในทักษะแพทย์ของแม่นางหลิง เพียงแต่รู้สึกว่าในวังมีหมอหลวงมากมายหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นจริงอย่างน้อยแม่นางก็ยังมีผู้ช่วย อีกทั้งในป่าชานเมืองที่ทุรกันดารเช่นนี้ ทั้งยังเป็นช่วงต้นเหมันต์ฤดู เกรงว่าจะไม่ใช่สถานที่ที่รักษาได้ดีที่สุด”
“องค์ชายเจ็ดพูดถูกเพคะ แต่ด้วยอาการในยามนี้ร่างกายของซั่งกวนเซ่าเฉินยังไม่อาจเดินทางไกลทั้งยังไม่อาจได้รับการกระทบกระเทือน จากที่นี่ไปเมืองหลวงอย่างน้อยยังต้องเดินเท้าไปสามชั่วยาม เช่นนั้นรังแต่จะเร่งให้อาการป่วยของเขารุนแรงขึ้นจนรักษาได้ไม่ราบรื่นเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองดวงตาชั่วร้ายขององค์ชายเจ็ดที่ต่างจากในอดีต รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายที่แฝงอยู่ในนั้นหลายส่วน
“แม่นางหลิงช่างเป็นคนที่มีความคิดอยู่เสมอ” องค์ชายเจ็ดกล่าวชมเชย “หวังว่าหลังจากแม่นางหลิงกลับเมืองหลวงครั้งนี้จะยังสามารถรักษาความคิดเช่นเดิมไว้ได้”
“ทรงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“อากาศในเมืองหลวงมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอยู่หลายครา หาได้เหมือนเมืองหลวงแต่กาลก่อนแล้ว”
องค์ชายเจ็ดเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังทอดสายตามองไปไกลยังเบื้องหน้า ราวกับสามารถมองเห็นหลุมพรางการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้ในระยะนี้
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีโดยพลัน “ครอบครัวข้า…”
“เจ้าวางใจ หลิงจือเซวียนสบายดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรเขยของจวิ้นอ๋อง ได้รับการดูแลจากจวนจวิ้นอ๋องและจวนหนิงกั๋วโหว ต่อให้พี่หกคิดอยากขัดขวางเขาก็ยังต้องดูคนที่สนับสนุนเขาด้วย” องค์ชายเจ็ดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่ได้หันหน้ากลับไปแต่มุมปากนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“ทรงจะบอกว่าพี่ใหญ่ของหม่อมฉันเคยถูกองค์ชายหกวางแผนร้ายหรือเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ฟังประเด็นสำคัญที่เขาพูดออกได้อย่างรวดเร็ว
ในใจอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงช่วงเวลาที่นางจากมา ครอบครัวจะถูกคนที่กุมอำนาจไว้ในมือเหล่านั้นใช้อำนาจคุกคามอย่างไรบ้าง?
องค์ชายหกและองค์ชายเจ็ดเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด แต่หลิงจือเซวียนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากลับหักหลังเขา กลายเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดให้ศัตรูของเขา เขาจะยังมีเมตตาละเว้นได้อย่างไร?
องค์ชายเจ็ดหันหน้ากลับมามองนางอย่างชื่นชมอีกครา “นั่นเป็นเรื่องจริงแต่พี่ชายของเจ้าก็ยังดวงแข็งหลบเลี่ยงมาได้ ไม่เพียงแต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแต่ฮ่องเต้ยังทรงแต่งตั้งให้เป็นเซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ นับเป็นโชคดีในคราวเคราะห์เสียจริง”
ได้ยินเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่เมื่อเห็นแววตาที่ยังไม่ใคร่จะพอใจขององค์ชายเจ็ด หลังจากนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็น้อมคำนับมือทั้งสองข้างคารวะเขาอย่างมีมารยาท “ท่านพี่มีวาสนารอดพ้นจากอันตรายมาได้ องค์ชายเจ็ดย่อมให้ความใส่ใจอยู่ไม่น้อย มู่เอ๋อร์ขอขอบคุณองค์ชายที่คอยดูแลเพคะ”
“พูดได้ดี” เขายิ้ม “สุดท้ายเขาก็ทิ้งพี่หกแล้วตามข้ามาแล้ว เป็นเช่นที่ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ตั้งแต่ต้นว่าขอเพียงข้าปกป้องเขาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย แต่ดูแล้วคนที่น่าเป็นห่วงหาใช่เขาแต่เป็นเจ้าเสียมากกว่า”
“หม่อมฉันหรือเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “หม่อมฉันหาได้ไปล่วงเกินองค์ชายหกไม่ แม้เป็นการยากที่เขาจะจัดการท่าน แต่ก็ไม่อาจคิดจัดการข้าได้เพคะ”
“แม้พี่หกมีความคิดจะทำร้ายเจ้าก็ยังกลัวยาพิษในมือเจ้า เรื่องของเหลียนเอ๋อร์แม้คนรอบข้างจะไม่รู้ แต่ที่วังหลังจะกี่มากน้อยก็ยังมีข่าวลืออยู่บ้าง” องค์ชายเจ็ดดึงนิ้วหัวแม่มือเล่น “ข้าหมายถึงไท่จื่อ”
ไท่จื่อถูกลดขั้นไปนานแล้วแม้จะถูกคุมขังอยู่ในวังแต่คนก็ยังเรียกว่าองค์ชายสาม องค์ชายเจ็ดเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ในเมื่อเรียกเช่นนี้เห็นทีจะหาใช่การพลั้งปากไม่
“เขากลับมาที่วังหลวงแล้วจริงๆ” หลิงมู่เอ่อร์ยิ้มหยัน “แผนการของเขาสำเร็จแล้วหรือเพคะ?”
“ที่แท้เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” องค์ชายเจ็ดหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ที่หางตาของเขามีแสงอันตรายฉายอยู่หลายส่วน
“ไท่จื่อถูกลดตำแหน่งจะยอมได้อย่างไรเพคะ? ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เขาคิดอยากให้หนุนหลังก็บังเอิญเป็นผู้ป่วยของข้า แม้เขาจะไม่พูดก็เดาได้อยู่หลายส่วนเพคะ” คำอธิบายของหลิงมู่เอ๋อร์ทั้งหมดเป็นการพูดข้างๆ คูๆ ทำให้คนคิดอยากจับนางที่สมรู้ร่วมคิดกับไท่จื่อแต่ก็ล้วนไม่มีหลักฐานแน่ชัด
องค์ชายเจ็ดอยากโกรธแต่เมื่อฟังอยู่นานก็ทำเพียงยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่สามกลับมายังตำแหน่งไท่จื่อแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะเจ้าทำให้ถูกลดขั้นตั้งแต่แรก เจ้าคิดว่าหลังกลับไปเมืองหลวงยังจะมีชีวิตที่ดีได้อีกหรือ?”
ยามค่ำมีลมพัดโชยเบาๆ องค์ชายเจ็ดฉายชัดถึงความเย็นชา เขาถูหลังมือ “แต่หากเจ้าต้องการ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้เสมอ คาดว่าเมื่อพี่สามเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเจ้าคงไม่ทำเรื่องใดที่มากเกินไปกระมัง”
หลิงมู่เอ๋อร์ประสานมือทั้งสองข้างโค้งคำนับอีกครา “ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความหวังดีขององค์ชายเจ็ดเพคะ ได้ตำแหน่งไท่จื่อที่เสียไปกลับคืนมาแล้ว คาดว่าไท่จื่อคงไม่อาจลงมืออย่างไม่รอบคอบได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันยังเป็นหมอเจ้าของไข้ของคนผู้นั้น บุญคุณความแค้นในอดีตเชื่อว่าไท่จื่อย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อหม่อมฉันเพคะ”
ปฏิเสธความหวังดีของเขาตรงๆ เช่นนี้ องค์ชายเจ็ดก็หาได้สบายใจ หลิงมู่เอ๋อร์เห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจึงกล่าว “ไม่ทราบว่าพี่สาวเซิงเอ๋อร์ช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
เป็นดังคาดเมื่อยกเรื่องคนผู้นั้นที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขาขึ้นมา ความมืดครึ้มบนใบหน้าขององค์ชายเจ็ดก็สลายหายไป “นาง…ก็ไม่เลว แต่นางบอกว่าสภาพของนางยามนี้ยังไม่ขอบอกรอเจ้ากลับไปเมืองหลวงก็จะรู้เอง”
องค์ชายเจ็ดแสร้งทำเป็นลึกลับ ยามที่พูดสิ่งใดก็ล้วนพูดเพียงครึ่งเดียวเหลือไว้ครึ่งเดียว คนเจ้าแผนการเช่นนี้ไม่อาจถามมากเกินไปได้
แต่คนชุดดำเมื่อครู่หลิงมู่เอ๋อร์มองไม่ผิดแน่ นางกลอกตาถามหยั่งเชิง “ไม่ทราบว่าเมื่อครู่องค์ชายเจ็ดตรวจสอบพวกมือสังหารชัดเจนหรือยังเพคะว่ามีความเป็นมาอย่างไร?”
เขาจ้องมองนางหลังจากนั้นก็หยิบป้ายประจำตำแหน่งอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “หาเจอในกระเป๋าลับของหนึ่งในคนพวกนั้น แม้ข้าจะไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือของเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเรื่องนี้ข้าก็ล้วนต้องทูลให้เสร็จพ่อทราบ”