เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 216 ขึ้นเขา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 216 ขึ้นเขา
เล่มที่ 8 ตอนที่ 216 ขึ้นเขา
เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง พร้อมความมั่นใจที่ไม่ต้องสงสัย
หลิงมู่เอ๋อร์ที่หันหลังให้เขาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม ทว่าไม่นานรอยยิ้มนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้!”
“เจ้าเป็นสตรี ขึ้นเขาไปเพียงลำพังยามค่ำคืนเพื่อข้า หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับครอบครัวของเจ้าอย่างไร?” ยามนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว “นอกจากนี้ ภูเขาทั้งลึก ในป่าทั้งมืดครึ้มและลมแรง บางคราก็มีสัตว์ร้ายโผล่มา เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถจัดการกับพวกมันได้ด้วยเข็มเงินในมือหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่เข็มสีเงิน แท้จริงแล้วมันไม่ใช่อาวุธสังหารร้ายแรง ทว่านางมีมิติเทพอยู่ในมือ นางสามารถเข้าไปซ่อนในนั้นได้ หากนางไม่สามารถเอาชนะเหล่าสัตว์ร้ายได้ ทว่านางจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร?
“ทุกที่บนร่างกายท่านล้วนมีบาดแผล ไม่มีประโยชน์ที่ท่านจะตามไปด้วย หากบาดแผลเปิด ข้าก็ต้องคอยดูแลท่านอีก” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย “แม้ว่าหมอหลวงโจวจะพันแผลที่ต้นขาให้ท่าน ทว่าหากแผลฉีกจริงๆ ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้ข้ารักษาบริเวณนั้นให้?”
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของเขามองต่ำลงมาโดยไม่รู้ตัว มองต่ำลงไปอีก
ขาของเขาได้รับบาดเจ็บที่โคนขา และหมอโจวเป็นคนพันผ้าพันแผลให้เขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไร ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง
“ในสองวันที่ผ่านมา แรงกายของท่านถูกหนอนกระหายเลือดดูดกลืนจนค่อยๆ หมดลง หากท่านไม่ทานอาหารเสริมและรักษาอย่างทันท่วงที ข้าเป็นห่วงว่าท่านจะล้มลง หากทหารด้านนอกรู้เรื่องบาดแผลสาหัสของท่านเข้า ผลลัพธ์จะน่าหวาดผวาเพียงใด ไม่ต้องให้ข้าบอกท่านก็คงทราบดีกระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปรอบๆ ในที่สุดก็หยิบกริชออกมาจากรองเท้าทหารของเขา
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร?” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าฝึกวิชาป้องกันตัวมาบ้างแล้ว อีกทั้งร่างกายข้ายังมีพิษอยู่มาก สัตว์เล็กๆ พวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ข้า และข้าจะพกสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย ดังนั้นท่านวางใจได้”
ก่อนจากไป นางชี้ไปที่หม้อต้มชั่วคราวตรงนั้น “อย่าลืมดื่มถ้วยยานั้นด้วย ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
ดวงตาเฝ้ามองแม่นางน้อยจากไปพร้อมตะกร้าที่อยู่บนหลัง นี่เป็นครั้งแรกที่ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ความสามารถ
สมควรตายยิ่งนัก เขาซึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์หลวงผู้สูงส่ง เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพทั้งสาม อีกทั้ง… เขาถึงกับแพ้ให้กับแม่นางตัวเล็กๆ หรือ?
เมื่อมองไปที่ขาที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็มองไปที่หน้าอกที่ได้รับบาดเจ็บ ในใจพลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ยามที่ออกจากค่ายทหารก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว เพื่อเป็นการประหยัดเวลา หลิงมู่เอ๋อร์จึงใช้ทางลัดและใช้ถนนทางทิศตะวันออกขึ้นภูเขา
ก่อนที่นางจะออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิงเมื่อสามปีที่แล้ว นางเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งพร้อมกับซั่งกวนเซ่าเฉิน และในครั้งนั้นนางก็ได้พบกับหมีดำตัวหนึ่งด้วย นางรู้ว่าภูเขาลูกนั้นอันตรายเพียงใด ทว่าซั่งกวนเซ่าเฉินก็มีความสำคัญต่อนางมากเช่นกัน
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำมืด ข้างหูแว่วเสียงหอนของสัตว์ตัวเล็กเป็นระยะๆ หลิงมู่เอ๋อร์จุดตะบันไฟ ก่อนจะค้นหาสมุนไพรที่นางต้องการอย่างระมัดระวังบนพื้น
นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทว่าภูเขานี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากแสงแดด เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสมบัติล้ำค่า ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นางสามารถรวบรวมสมุนไพรยาที่นางต้องการได้หลายชนิดแล้ว
เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝัน นางโยนสมุนไพรยาหายากทั้งหมดเข้าไปมิติเทพ และเริ่มมองหาสมุนไพรยาที่สามารถดึงดูดหนอนกระหายเลือดได้
ในชาติที่แล้วนางเคยได้ยินเรื่องหนอนกระหายเลือดชนิดนี้มาก่อน แม้ว่าจะหาได้ยาก ทว่าก็มีคำอธิบายไว้ในคัมภีร์แพทย์โบราณเช่นกัน นางจำเป็นต้องเสาะหายาล้ำค่าหายากสามตัวเพื่อนำมากลั่นปรุงทำยา เพื่อดึงดูดหนอนกระหายเลือดให้ออกมา
หากอิงตามสภาพชีพจรปัจจุบันของซั่งกวนเซ่าเฉินนางเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามวัน อีกทั้งมีเวลาเพียงคืนเดียวในการเสาะหายา เพราะนางยังต้องเผื่อเวลากลับไปปรุงยา
“บรู๊ว~”
จากระยะไกล ดูเหมือนจะได้ยินเสียงที่เป็นอันตราย หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งกำลังมองหายาอยู่ในป่าพลันหยุดชะงักทันที นางหมอบลงบนพื้น พยายามค้นหาที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง
ฝีเท้าของหมาป่านั้นช้าและเบากว่าของมนุษย์มาก ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตราย
“มารดามันเถิด!” ราวกับว่าวินาทีที่นางเพิ่งสัมผัสได้ถึงทิศทางของหมาป่า ก็เป็นเวลาเดียวกับที่นางเงยหน้าขึ้นมองแล้วพบเข้ากับดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งจ้องมาตรงหน้านางพอดี
หลิงมู่เอ๋อร์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปบนยอดไม้ทันที เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว หมาป่าก็เหยียดอุ้งเท้าหน้าออกตะกุย เรียกได้ว่ารวดเร็วกว่าที่คิด เกือบจะเป็นตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์ยืนได้มั่นคง มันก็วิ่งมาถึงใต้ต้นไม้แล้ว
“ครั้งแรกพบกับหมีป่า ครั้งที่สองพบกับหมาป่า ชีวิตของข้าช่างดีอะไรเช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสงบสติอารมณ์และสังเกตรอบข้างอย่างระมัดระวัง หากป่าในภูเขาลึกมีหมาป่าตัวที่หนึ่ง ย่อมจะต้องมีตัวที่สองและสามอย่างแน่นอน… นางจะต้องไม่ประมาทและหุนหันพลันแล่นอย่างเด็ดขาด
ในมือของนางมีเพียงกริชเล่มเดียว นางไม่คิดว่าตนเองจะสามารถฆ่าหมาป่าที่หิวโหยมาสามวันสามคืนได้ด้วยกริชเล่มนี้
“จะทำอย่างไรดี?”
ยามที่ออกเดินทาง นางบอกกับซั่งกวนเซ่าเฉินว่าร่างกายของตนมีพิษ ทว่าแท้ที่จริงแล้วนางกำลังหลอกเขา นางเป็นหมอ ไม่ใช่หมอพิษ เป็นไปได้หรือไม่ว่ายาเบื่อของมนุษย์จะหลอกมันได้?
หลิงมู่เอ๋อร์หลับตา คิดอย่างละเอียดรอบคอบ ราวกับหลังจากที่นางตัดสินใจได้ นางก็เบิกตากว้างทันที
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นดวงตาของมนุษย์คู่หนึ่ง ทว่ายามที่หมาป่าเห็นเข้ากลับถอยหลังไปสองสามก้าว
ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏแววอาฆาต มุมปากของนางหยักโค้งยกขึ้นเล็กน้อย อาจกล่าวได้ว่าเชื่องช้าทว่ารวดเร็ว นางขว้างตะบันไฟในมือใส่หมาป่าผู้ เมื่อหมาป่าถูกโจมตี มันหลบพร้อมเสียงขู่กรรโชก นางรีบกระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนที่กริชในมือของนางจะเสียบเข้าที่คอของมันอย่างแม่นยำ
“บรู๊ว~”
หมาป่าตกใจกลัว มันยกอุ้งเท้าหน้าขึ้น ก่อนเหวี่ยงหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปหลายหมี่
ด้วยเสียงครวญครางอู้อี้ หลิงมู่เอ๋อร์พลิกตัวกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของร่างกาย และเป็นเวลาเดียวกับที่หมาป่าซึ่งบาดเจ็บกำลังวิ่งตะกุยเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง มันอ้าปากที่เปื้อนเลือดออกกว้างและกำลังจะกินนางทั้งเป็น
“โครม”
ก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะทันได้ตอบสนอง เงาร่างหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เตะหมาป่าออกไป ก่อนจะดึงนางวิ่งหนีไปทันที
ด้วยกลิ่นที่คุ้นเคยและหัวใจที่เต้นแรง หลิงมู่เอ๋อร์ขดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายผู้นั้น นางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้าด้านข้างที่เด็ดขาดแน่วแน่
“เหตุใดถึงเป็นท่านได้?”
“ข้าบอกแล้ว ภูเขาลูกนี้อันตรายนัก หากเจ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าย่อมไร้หนทางจะอธิบายให้ครอบครัวของเจ้าฟัง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินวางนางลงอย่างระมัดระวัง มองไปทางหมาป่าหิวโหยที่ยังคงดิ้นรน ก่อนจะขมวดคิ้ว “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
“ไม่เป็นไร มันทำข้าบาดเจ็บไม่ได้หรอก”
“เฮอะ เกือบจะเข้าไปอยู่ในปากหมาป่าแล้ว ยังหยิ่งผยองอีก” พูดไปพลาง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เหาะออกไปอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะพุ่งออกไป เขาก็ฉวยคว้ากริชในมือของนาง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าหมาป่าหิวโหย เขากลับได้รับพลังอันศักดิ์สิทธิ์
ใช่แล้ว บุรุษที่สามารถฆ่าหมีป่าได้อย่างง่ายดาย หมาป่าหิวโหยแค่นี้จะนับเป็นกระไร?
เมื่อเห็นว่าหมาป่ากำลังจะตาย หลิงมู่เอ๋อร์จึงพุ่งเข้าไปเพื่อช่วยเสียบมีดเพิ่ม “พอดีเลย ช่วงนี้อาหารสำหรับเหล่าทหารช่างหยาบเหลือเกิน อีกทั้งเนื้อหมาป่าก็เป็นเนื้อเช่นกัน แม้ว่ามันจะแข็งกว่าเล็กน้อย ทว่าทุกคนล้วนกินได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้ม “เจ้านี่ช่าง ขอยืมดอกไม้ของท่านไหว้พระ [1] จริงๆ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองฝีมืออันประณีตของนางเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มหรี่ตาลง “เจ้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน เหตุใดถึงมีทักษะเช่นนี้ได้? ขอเอ่ยตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ข้าเองก็อยู่ที่นั่น ยามที่หมาป่าตัวนั้นปรากฏตัว ทักษะและความเร็วของเจ้าไม่เหมือนเด็กสาวผู้อ่อนแอเลยสักนิด เจ้าแปลกพิกล”
“ท่านอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ทว่ากลับเพิ่งออกมาช่วยข้าตอนนี้หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กังวล ทว่าในใจกำลังคิดกังวลว่าเขาได้เห็นมากน้อยเพียงใด นางหันหลังกลับฉวยโอกาสจากความมืดของป่าเพื่อหยิบสมุนไพรที่นางเก็บออกมาจากมิติเทพเงียบๆ ก่อนหย่อนใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลัง “ท่านไม่กังวลว่าข้าจะถูกหมาป่าหิวโหยกินจริงๆ ด้วย”
“อย่าหลบเลี่ยงคำถามของข้า บอกข้ามา ทักษะของเจ้าคือเรื่องอันใดกัน?” ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นประกาย กลิ่นอายแห่งการตรวจสอบช่างแข็งแกร่งนัก
นี่คือบุคคลที่สูญเสียความทรงจำ ช่างเป็นการยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้เขาฟัง
“มีอันใดที่แปลกประหลาดกัน ข้าล้วนพูดไปทั้งหมดแล้ว ข้ามาที่ภูเขาแห่งนี้พร้อมกับท่านในตอนนั้น ยามนั้นข้าได้พบกับหมีป่าตัวหนึ่ง ทว่าจู่ๆ ท่านก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยเหลือข้าเอาไว้” แม่นางน้อยนึกถึงอดีต ท่าทางของนางเขินอายชัดเจน “เป็นเพราะครั้งนั้น ท่านถึงสอนทักษะการต่อสู้ให้กับข้า อีกทั้งยังฝึกข้าอย่างลับๆ ด้วย”
ถึงจะโกหกไปอย่างไร เขาก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ซั่งกวนเซ่าเฉินหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าไม่ควรโกหกข้า”
“ยามนี้ท่านเป็นแค่คนไข้ของข้า ส่วนข้าก็เป็นแค่หมอของท่าน พวกเราหาได้มีความสัมพันธ์อื่นระหว่างกันมิใช่หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามกลับ “ถึงข้าจะโกหกท่าน แล้วอย่างไรเล่า?”
มุมปากของซั่งกวนเซ่าเฉินกระตุก เขามองไปที่ตะกร้าของนาง ดวงตาเป็นประกายด้วยความชื่นชม “สมุนไพรเยอะถึงเพียงนี้เชียว? เจ้าเป็นสตรีที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาจริงๆ”
“น่าเสียดายที่ยาถอนพิษสำหรับรักษาท่านยังขาดอีกสามอย่าง ข้าจำได้ว่ามีสมุนไพรอีกมากบริเวณนั้น ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะกลับมาในไม่ช้า” หลิงมู่เอ๋อร์เดินจากไปทันทีหลังจากพูดจบ
“เจ้าคิดว่ามีหมาป่าเพียงตัวเดียวในภูเขาลึกลูกนี้หรือไร เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกำข้อมือของนางแน่น
“เราจะจับเสือได้อย่างไรหากไม่เข้าไปในถ้ำเสือ อย่าบอกนะว่าท่านต้องการให้ทั้งกองทัพไร้ผู้นำ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างเฉียบขาด “อีกอย่าง ข้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ดี ไม่นานเกินรอข้าจะกลับมา”
เขาย่อมรู้ดีว่าสตรีคนนี้หัวแข็งเป็นอย่างยิ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจ “บอกข้าว่าสมุนไพรหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าไปจะหาเอง”
“ประการแรก ท่านรู้จักยาสมุนไพรหรือ? หากท่านพบวัชพืชเป็นพวงแล้วเก็บกลับมา นั่นมิใช่การฆ่าหนอนกระหายเลือดแล้ว ทว่าเป็นการให้อาหารมัน ประการที่สอง การกระทำของท่านเมื่อครู่ทำให้บาดแผลเปิดออก แม้ท่านจะต้องการใช้เลือดเพื่อดึงดูดหมาป่าตัวอื่นให้เข้ามา แต่ข้าจะไม่ไปตายกับท่านแน่”
ซั่งกวนเซ่าเฉินปกป้องร่างกายท่อนล่างของเขาโดยสัญชาตญาณ เขาสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าบาดแผลนั้นปริออก ทว่าอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยนั้นไม่นับเป็นสิ่งใด ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่นางพูดในกระโจมเมื่อตอนเย็น สีแดงระเรื่อก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที “เจ้า เจ้ากำลังคิดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่”
“ฮ่าๆ ย่อมไม่ใช่ข้าที่เป็นคนคิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ยักไหล่อย่างไม่สนใจ น้อยครั้งนักที่จะเห็นเขากระดากอายเช่นนี้ นางใช้นิ้วชี้ลูบคางของเขาอย่างหยอกล้อ “ที่แท้แล้วท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเราก็ยังรู้สึกอายอยู่หรือนี่?”
“เจ้า!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินดันหลังของนางกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้อย่างรุนแรง มองท่าทางที่ไร้การป้องกันและหดคอตามสัญชาตญาณพร้อมหายใจเฮือกของนาง เขาก็โน้มศีรษะเข้าไปใกล้ๆ ทันที
ตราบใดที่เปิดปากออกก็จะสามารถจุมพิตริมฝีปากสีชมพูนั้นได้ อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่นของกันและกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดตรงหน้า นางกัดริมฝีปากล่างแน่น เกือบจะพูดด้วยเสียงในลำคอว่า “ท่าน… ท่านจะทำอันใด?”
ชั่วขณะหนึ่งเขาอยากจะฉกฉวยริมฝีปากตรงหน้าไว้แน่นๆ ทว่าเขาก็ยังทนไม่ได้ที่จะเห็นนางดูหวาดกลัวเช่นนี้
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นแม่นางน้อย ทว่ากลับกล้าอวดอ้างต่อหน้าบุรุษที่แข็งแกร่ง” เขาผินศีรษะหนี ริมฝีปากสีแดงของเขาแนบเข้าที่ใบหูของนาง เสียงที่หนักแน่นและมีเสน่ห์ของเขาเหมือนเสียงเครื่องดนตรีอันไพเราะ ชายหนุ่มหยอกล้อนางที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในความมืดมิดยามราตรี
“ซั่งกวน…”
“จำไว้ ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่จะนั่งนิ่งๆ ได้แบบหลิ่วเซี่ยฮุ่ย [2] ต่อไปหากเจ้าไม่วางแผนให้ดี กลั่นแกล้งบุรุษอีก ระวังเขากินเจ้า”
เชิงอรรถ
[1] ขอยืมดอกไม้ของท่านไหว้พระ (借花献佛) อุปมาว่า เอาของของคนอื่นมาทำเป็นของขวัญให้อีกคนหนึ่ง
[2] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย (柳下惠) เขาคือชายที่มีคุณธรรมและมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง แม้จะสวมกอดลูกสาวของอ้ายต้ง (爱冻) แต่ก็มิได้ล่วงเกินหรือแสดงกิริยาลวนลาม จึงมักจะถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่มีจิตใจมั่งคงแน่วแน่