เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 214 บริเวณสันโดษ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 214 บริเวณสันโดษ
เล่มที่ 8 ตอนที่ 214 บริเวณสันโดษ
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เข็มสีเงินก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วทั้งสอง หนานกงอี้จือพลันเร้นกายอย่างว่องไว
“ข้าบอกแล้วว่าสตรีผู้นี้จะลอบฆ่าข้า!”
“หนานกงอี้จือ จงฟังคำสั่ง!” ทันใดนั้น ซั่งกวนเซ่าเฉินพลันตะโกนขึ้นมา
หนานกงอี้จือซึ่งยามนี้คงเหยียดหยามเย้ยหยัน คุกเข่าข้างหนึ่งลง “ข้าอยู่ที่นี่ขอรับ”
“ประกาศคำสั่งออกไป ให้รับรู้ทั้งกองทัพทั้งสาม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในกระโจมแห่งนี้โดยไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ผู้บัญชาการผู้นี้” ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนด้วยโทสะ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหนอนกู่พิษในร่างกายของข้าจะต้องถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด จงจำเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม”
“ขอรับ ข้าน้อมรับคำสั่ง” เขายืนขึ้นด้วยความเคารพ หนานกงอี้จือทำท่าราวกับจะกลับสู่สนามรบอันยิ่งใหญ่และกล้าหาญ
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกความจริงจังของพวกเขาสาดใส่ รอยยิ้มของนางหายไป ก่อนจะเริ่มวางแผนอย่างจริงจังต่อ
นางพบว่ามีโต๊ะหนังสือเรียบง่ายในกระโจมของซั่งกวนเซ่าเฉิน หญิงสาวเดินไปทันที ไม่นานนักก็ยื่นกระดาษสามแผ่นให้หนานกงอี้จือ “นี่คือรายการสมุนไพรทั้งหมดที่ข้าต้องการ ท่านต้องหาให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ จงจำไว้ ในระหว่างที่ข้ารักษาอยู่อย่าให้ใครมารบกวนเด็ดขาด”
หนานกงอี้จือดูผ่านๆ แม้ว่าจะไม่เข้าใจเรื่องสมุนไพร แต่เขาก็มั่นใจมาก “ไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งคนออกไปให้เร็วที่สุด แต่ที่นี่…”
“เมื่อครู่ข้าหยอกท่านเล่นแล้ว ยามนี้ที่นี่มิได้ต้องการท่านแล้ว ท่านรีบไปหาของโดยเร็วที่สุดเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนโต๊ะทำงานชั่วคราวของซั่งกวนเซ่าเฉินให้เป็นโต๊ะวิจัยของนาง ก่อนจะเริ่มศึกษาเลือดและเส้นขนที่เพิ่งได้มา แม้ว่าอุปกรณ์ที่นี่จะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่การจะแอบหลบจากสายตาของเขา หยิบอุปกรณ์ออกมาจากมิติเทพออกมาวิจัยก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
หนานกงอี้จือต้องการที่จะถามอย่างอื่นอีก แต่หลังจากเห็นท่าทางของญาติผู้พี่แล้ว เขาก็หุบปากสนิท และก่อนที่จะจากไป เขาโค้งคำนับนางด้วยความเคารพ “รบกวนแม่นางหลิงแล้ว”
“เจ็ดวัน ข้าขอเวลาเจ็ดวัน”
หลังจากพูดจบนางก็เริ่มวิเคราะห์โดยไม่หันกลับมามองอีก
กระโจมที่เมื่อครู่ยังมีเสียงดังเอะอะ ยามนี้จู่ๆ ก็เงียบลงมาก หลิงมู่เอ๋อร์นั่งบนเก้าอี้และศึกษาเลือดพิษอย่างตั้งใจ และซั่งกวนเซ่าเฉินเอง หลังจากได้รับอนุญาตจากนางให้เดินลงไปที่พื้นได้ก็เริ่มวิเคราะห์แผนภูมิยุทธศาสตร์อย่างละเอียดเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยา หลิงมู่เอ๋อร์ก็สั่งให้เขานอนลงบนเตียงและฉีกเสื้อผ้าของเขาออกด้วยวิธีที่หยาบคายเหมือนก่อนหน้า และนั่นกระตุ้นความไม่พอใจของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ข้าว่านะ แม่นางช่วยอ่อนโยนกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?”
“ท่านล้วนจำข้าไม่ได้ ความอ่อนโยนของข้ามิได้ราคาถูกถึงเพียงนั้น” หลิงมู่เอ๋อร์จดจ่อกับการใส่ยาให้เขา “ยาเหล่านี้สามารถห้ามเลือดได้ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้บาดแผลแย่ลง ต้องเปลี่ยนยาทุกๆ หนึ่งชั่วยามครึ่ง แต่…”
“แต่อะไร?”
“ต้องถอดเข้าถอดออก นับว่ายุ่งยากเหลือเกิน มิสู้ ท่านผู้บัญชาการก็ไม่ต้องสวมเสื้อเป็นอย่างไร” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยออกมาตามตรง แต่ใบหน้าของบุรุษตัวโตกลับแดงก่ำ
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับสงบนิ่ง ไม่แม้แต่จะหน้าแดงด้วยซ้ำ “เจ้า… เจ้าปล่อยให้บุรุษตัวโตๆ เปลือยกายต่อหน้า ช่างเป็นสตรีที่ไม่ละอายใจจริงๆ”
“อาการป่วยของท่านรุนแรงเกินจะเยียวยาแล้ว อย่าบอกนะว่าข้ายังจะต้องใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของท่านอีก?” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นเสียงหัวเราะเย็นชา “นอกจากนี้ ข้าไม่ได้ขอให้ท่านถอดกางเกงเสียหน่อย”
สองมือของซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าจับเข้าที่ขอบกางเกงโดยสัญชาตญาณทันที เมื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ เขาจึงเปล่งเสียงเย็นชา “เฮอะ สตรีเช่นเจ้ายังไม่กลัว แล้วคนหยาบกระด้างอย่างข้าจะกลัวอะไร?”
ภายในเวลาที่รวดเร็ว เขาถอดท่อนบนออกจนหมด ไม่ใช่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นร่างกายของผู้ชายมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นร่างกายของเขา
นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบาดแผลเล็กใหญ่บนหน้าอกที่ขาวราวข้าวสาลี กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหน้าอกสมมาตรฐาน
ซั่งกวนเซ่าเฉินค่อยๆ ก้าวเข้ามาหานาง จนกระทั่งสามารถบังคับให้นางอยู่ระหว่างหน้าอกของเขากับผนังได้ ชายหนุ่มก้มศีรษะลง จ้องมองไปที่ริมฝีปากของนางด้วยความสนใจ “เป้าหมายสำเร็จแล้ว เจ้ามีความสุขหรือไม่?”
จากนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งสังเกตว่าตนเองมองเขาด้วยสายตาโง่เขลา นางรีบหันหน้าหนี วงกลมสีแดงระเรื่อสองดวงค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างเงียบงัน
“โอ้ ที่แท้เจ้าก็รู้จักเขินอายแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินนับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว
นางถูกคนเงียบขรึมเช่นเขาหยอกล้อหรือ?
พี่ใหญ่ในอดีตทำได้เพียงปกป้องนางอย่างจริงจัง และไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยคำพูดล้อเล่นสักคำ
เมื่อสามปีที่แล้ว เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ เหตุใดถึงได้แตกต่างจากเขาในอีกสามปีต่อมายิ่งนัก
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “ข้าคิดว่าคนที่มีความสุขคงเป็นท่านผู้บัญชาการกระมัง ในที่สุดก็มีโอกาสอวดโฉมต่อหน้าสตรี ทว่าอย่างไรก็ตาม ใบหน้าและรูปร่างของท่านช่างไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิด”
แม่นางน้อยขี้อายในอ้อมแขนจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากสีแดงที่บอบบางของนางดูเหมือนจะสัมผัสถูกคางของเขาในขณะอ้าปากเอ่ย ซั่งกวนเซ่าเฉินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นท่าทางที่ทั้งดื้อรั้นและหยิ่งยโสของนาง
ให้ตายเถอะ เขาแทบทนไม่ไหวที่จะก้มศีรษะลงไปกัดริมฝีปากของนาง ก่อนจะมอบบทเรียนดีๆ ให้กับนางสักครา
“เจ้าอย่าคิดว่าวิธีนี้จะดึงดูดความสนใจของข้าได้ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำนั้น ข้าหลงเสน่ห์เจ้าได้อย่างไร แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า เจ้า… ไม่มีทางเป็นสตรีคนนั้นที่ข้าเลือกอย่างแน่นอน”
ปล่อยแขนที่จับเอาไว้ ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินหมุนกายกลับไป เขากลับถูกสัมผัสเข้าที่ใบหน้าด้านข้างของตนเอง
หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับถูกแทงอย่างรุนแรงอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่หน้ากากผิวหนังมนุษย์ที่ค้นพบได้ไม่ยากเท่านั้นหรือ มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจกัน”
เมื่อมองดูเหล่าผู้คนนับแสนในกองทัพ ไม่มีผู้ใดค้นพบความลับนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับมามอง เขาบีบกรามของนางด้วยฝ่ามือใหญ่อย่างรุนแรงทันที “พูดมา เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“หากอิงตามนิสัยของท่าน ท่านคิดว่าถ้าท่านไม่ต้องการ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถบังคับท่านได้” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ขัดขืนหรือดิ้นรน แต่เพียงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม “นอกจากนี้ ท่านคิดว่าตนเองซ่อนได้ดียิ่ง แม้แต่เหล่าขุนนางเจ้าเล่ห์ในเมืองหลวงก็หาได้รู้ไม่ แล้วข้าซึ่งเป็นสตรีจะรู้ได้อย่างไร”
ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยมือ กลับไปที่เก้าอี้และนั่งลงอย่างเงียบๆ แต่เขาไม่สนใจที่จะดูแผนภูมิยุทธศาสตร์อีกต่อไป ทว่ากลับมองไปที่นางอย่างระมัดระวัง
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ข้า ซั่งกวนเซ่าเฉิน จะปล่อยให้สตรีหยาบคายเช่นเจ้ารอดชีวิต!”
เขาผินศีรษะหนีอย่างดื้อรั้น ทว่าคิดไปคิดมา เขาก็ยังคงรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ดี
สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดนั้นไม่ผิด หากเขาไม่ต้องการก็ไม่มีใครบังคับให้เขาเปิดเผยความลับนี้ได้
เขาสวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์นี้มาเป็นเวลานานและไม่เคยถอดมันออกเลย วันเวลาผ่านไปนานเข้า แม้แต่เขาเองก็ลืมรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของตนเองด้วยซ้ำ
ผู้หญิงคนนี้มีความกล้าหาญ หยิ่งผยอง อีกทั้งมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่อาจมีสตรีคนใดในใต้หล้านี้ทำได้ จากข้อมูลของหนานกงอี้จือ พวกเขาพบกันที่หมู่บ้านตระกูลหลิงซึ่งอยู่ใกล้ๆ นี้ เหตุใดนางที่เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านถึงได้เก่งกาจขนาดนี้? ในยามนั้นเขาหลงรักสตรีชาวบ้านไปได้อย่างไร?
มีความลับมากมายเกี่ยวกับตัวนาง อีกทั้งนางถึงกับรู้ความลับของเขาด้วยซ้ำ
“ทำไมหรือ มองนานถึงเพียงนี้ท่านนึกอะไรออกแล้วหรือ? หรือว่าท่านวางแผนที่จะฆ่าข้าหลังจากที่ข้าถอนพิษให้สำเร็จ”
เสียงไพเราะของหลิงมู่เอ๋อร์ดังแว่วมาจากด้านข้าง ซั่งกวนเซ่าเฉินมองกลับไป คิดว่านางจะมองด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทว่านางกลับกำลังมุ่งมั่นค้นคว้ายาถอนพิษเท่านั้น
นางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ แต่กลับเข้าใจความคิดของเขาทั้งหมด?
“ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นตัวร้ายที่ชั่วช้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ท่านคนเดิมย่อมไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน”
ความคิดของหลิงมู่เอ๋อร์ล่องลอยไปไกล ราวกับว่านางได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ยามที่ได้พบเขาครั้งแรก “ในตอนนั้น ท่านสวมเสื้อเนื้อหยาบ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านเป็นถึงท่านผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ยามที่ท่านอยู่ในหมู่บ้าน ท่านไม่สุงสิงกับผู้ใดเลย ทว่าท่านกลับเห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ท่านมิอาจหักใจเห็นข้าได้รับความอัปยศ และเข้ามาช่วยเหลือข้าเสมอ แต่แน่นอนว่านั่นคือท่านเมื่อสามปีที่แล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขารู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้โกหก เพราะดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยความชื่นชม
“หากข้าไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำของตนได้ เจ้าจะทำเช่นไร?” หลังจากถามออกไป ซั่งกวนเซ่าเฉินถึงตระหนักได้ว่า เขาเองก็ถามคำถามที่โง่เง่าออกไปได้เช่นกัน
ใช่แล้ว เขายอมรับว่าเขาสนใจสตรีผู้นี้
“ท่านไม่ยอมให้ข้าได้ลอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าได้หรือไม่ได้?” หลิงมู่เอ๋อร์ก็พูดบางอย่างโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
“ข้าหมายความว่าหากท่านไม่ยอมให้ข้าตรวจ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้ารักษาได้หรือไม่ได้” นางอธิบายเพิ่มเติมว่า “ท่านมีภาวะสูญเสียความทรงจำบางส่วน เนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะที่เกิดจากการตกจากภูเขา ตามปกติแล้วโรคนี้มิได้เป็นตลอดชีวิต และสามารถรักษาให้หายขาดได้”
เมื่อได้ยินสองคำสุดท้าย ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ เขายอมรับว่าก่อนที่เขาจะพบกับหลิงมู่เอ๋อร์ เขามิได้ให้สนใจกับความทรงจำที่ขาดหายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาเพียงต้องการเติมเต็มความฝันที่มีมายาวนาน แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็อยากรู้ขึ้นมาแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก่อนหน้านี้กันแน่?
ตัวเขาที่เป็นเช่นไรถึงได้รับความชื่นชมจากนางมากเพียงนี้?
แล้วเหตุใดเขาถึงได้เลือกนางเป็นคู่ชีวิต?
“ได้ ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าจะรักษาได้ ข้า…”
“ปล่อยนะ ปล่อยให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการพบเซ่าเฉิน ปล่อยข้า!” เสียงของหลิงไฉ่เว่ยดังมาจากนอกกระโจม “เจ้าลืมตาดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นสตรีของท่านผู้บัญชาการ คือฮูหยินในอนาคตของท่านผู้บัญชาการของเจ้า หากยังมีสมองก็จงหลีกทางเสีย!”
หากไม่ได้รับความยินยอมจากท่านผู้บัญชาการ แน่นอนว่า ทหารย่อมไม่กล้าปล่อยให้นางเข้าไป หลิงไฉ่เว่ยโมโหนัก นางใช้มือทำท่าบีบแตร ก่อนจะตะโกนใส่กระโจมว่า “เซ่าเฉิน ตกลงท่านเป็นอันใดกันแน่ เซ่าเฉิน ท่านบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ให้ข้าได้เข้าพบสักหน่อยได้หรือไม่?”
“เซ่าเฉิน เหตุใดท่านถึงไม่มาพบข้า แต่ก่อนที่ท่านบาดเจ็บล้วนเป็นข้าที่คอยดูแล ให้ข้าเข้าไป บางทีข้าอาจจะช่วยท่านได้” เสียงของหลิงไฉ่เว่ยเจือสะอื้น พาให้คนรู้สึกสงสาร
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งกำลังนั่งวิจัยพิษอยู่ด้านในขมวดคิ้วเพราะเสียงดังเกินไป
“ข้าว่านะ สตรีของท่านกำลังร้องเรียกท่านอยู่ด้านนอก ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่อยากออกไปดูสักหน่อย?”
สายตาเย้ยหยันของหลิงมู่เอ๋อร์ทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่สบายใจ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่ไม่อยากให้นางเข้าใจผิด
“สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเมื่อกลับมา”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเปิดม่านออก เขาไม่ได้สังเกตว่าตนเองยังไม่ได้แต่งตัวให้ดี อกกว้างของเขาถูกเปิดเผย และสายตาของทุกคนพลันตกตะลึงในทันที
“เซ่าเฉิน…” เมื่อเห็นว่าม่านถูกยกขึ้น หลิงไฉ่เว่ยวางแผนว่าจะพุ่งเข้าไปอย่างยินดี ทว่าเมื่อนางเห็นว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าใดๆ อีกทั้งหลิงมู่เอ๋อร์ยังอยู่ข้างหลังเขา สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า “นาง.. เหตุใดนางถึงอยู่ที่นี่ได้?”
“ข้าได้รับบาดเจ็บ และนางเป็นแพทย์ทหารที่กำลังรักษาข้าอยู่” ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายราวกับเครื่องจักร เมื่อเห็นว่าหลิงไฉ่เว่ยไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวบนใบหน้า เขาก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย “ก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ เจ้าให้สัญญากับข้าไว้ ค่ายทหารเป็นสถานที่สำคัญมิใช่ที่ที่เจ้าจะก่อเรื่องได้ เมื่อครู่นี้เจ้าคิดจะทำอันใด?”
เมื่อได้ยินเสียงตวาด ร่างของหลิงไฉ่เว่ยพลันสั่นสะท้าน น้ำตาไหลอาบใบหน้าของนางทันที “ท่านดุข้าหรือ? ท่านดุข้าเพื่อนางหรือ?”
หลิงไฉ่เว่ยกัดฟันด้วยรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม “นางเป็นแค่หมอผีที่รู้จักยาเพียงผิวเผิน นางจะรู้วิชาแพทย์ได้อย่างไร เซ่าเฉิน อย่าหลงกลนาง!”
เมื่อเห็นหลิงไฉ่เว่ยผลักตนเอง ทำท่าจะเข้าไป ซั่งกวนเซ่าเฉินพลันขมวดคิ้ว “เจ้าจะทำอะไร?”
“ท่านบาดเจ็บ ข้าจะเข้าไปดูแลท่านเอง”
“ไม่ได้!”
“เพราะเหตุใด?”
“หมอบอกแล้วว่า ช่วงเวลาในการรักษาต้องอยู่แยกสันโดษ ดังนั้นเจ้าจึงเข้าไปไม่ได้”