เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 207 คนที่ช่วยชีวิต
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 207 คนที่ช่วยชีวิต
เล่มที่ 7 ตอนที่ 207 คนที่ช่วยชีวิต
มีมือข้างหนึ่งตบเข้าที่ไหล่ของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปตามสัญชาตญาณ ก่อนที่กำปั้นรุนแรงจะกระแทกใส่โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ผลัวะ กระแทกเข้าที่ใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างรุนแรง
“ตอนแรกข้าก็รู้สึกว่าท่านเกะกะสายตาอยู่แล้ว ยามนี้ท่านก็ยังไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!” ซูเช่อกัดฟัน กำปั้นถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่กลับถูกซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าจับเอาไว้แน่น
“จวิ้นอ๋องน้อยซู ที่นี่คือค่ายทหาร ข้าคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด หากท่านยังหยิ่งยโสโอหังไม่เห็นหัวผู้อื่นเช่นนี้ ข้าสามารถจัดการกับท่านได้ด้วยกฎทางการทหาร!”
เขาหาได้สนใจเพลิงโทสะของซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ ซูเช่อเหยียดยิ้มเย้ยหยันเย็นชาที่มุมปาก “เฮอะ ช่างเป็นขุนนางที่มีอำนาจเสียเหลือเกิน แต่ถึงแม้ว่าท่านจะต้องการชีวิตของข้า ข้าก็ไม่อนุญาตให้ท่านทำร้ายนางได้แม้แต่ปลายเล็บ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่หลบหมัดที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป ทั้งสองต่อสู้กันนัวเนียในพื้นที่โล่งนอกค่ายทหาร
หากเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ในอดีต นางจะรีบพุ่งเข้าไปหยุดทันทีหากเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ทว่ายามนี้นะหรือ หญิงสาวทำเพียงแค่หมุนกายเตรียมจะจากไป
ใช่แล้ว ประโยคเมื่อครู่นี้ทำร้ายนางมากมายเหลือเกิน
เขาจำตนเองไม่ได้ก็ช่างมันเถิด ทว่าเขากลับตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา?
ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่พี่ใหญ่ของนาง ไม่ใช่บุรุษที่นางปรารถนาจะทิ้งทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เป็นเช่นนี้ ไม่คู่ควร!
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน นั่นคือแม่นางที่ท่านให้ความสำคัญมากกว่าชีวิต ท่านลืมไปแล้วจริงๆ หรือ?” เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ทำท่าจะจากไปอย่างอ้างว้าง ในดวงตาของซูเช่อฉายประกายเจ็บปวด ยิ่งไม่อยากลงมืออย่างไว้ไมตรีอีก
“เรื่องนี้ยังไม่ถึงตาที่จวิ้นอ๋องน้อยจะต้องสอดมือเข้ามาช่วยตัดสินใจ ทว่า การที่ท่านอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมกลุ่มแพทย์ทหาร ข้าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” ซั่งกวนเซ่าเฉินจับแขนของซูเช่อกดเขาเข้ากับลำต้นของต้นไม้
ขาทั้งสองข้างของซูเช่อใช้ความแข็งแกร่งของลำต้นของต้นไม้ ก่อนที่พลิกกายตีลังกากลับอย่างสวยงามจนสามารถหลุดพ้นจากการคุมขังได้สำเร็จ ชายหนุ่มฉวยโอกาสยามที่ยังไม่ถูกจับรุกไล่โจมตีกลับ แขนทั้งสองข้างคว้าหมับบีบเข้าที่คอของเขาทันที “ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดสตรีอย่างมู่เอ๋อร์ถึงต้องมาในสถานที่ที่แม้แต่นกยังไม่กล้าออกไข่เช่นนี้ หากมิใช่เพราะนางต้องการทำเพื่อท่าน”
ยามที่เขาเอ่ยเช่นนี้ ซูเช่อรู้สึกอิจฉา “ทันทีที่ได้ยินข่าวว่าค่ายทหารต้องการความช่วยเหลือ นางก็อาสาเข้าร่วมเพื่อช่วยท่านแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของนางเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง หากมิใช่เพราะความรักอันลึกล้ำของนางที่มีต่อท่าน ท่านคิดว่านางจะว่างขนาดไม่มีอะไรทำ จนต้องถ่อมาถึงสถานที่อันทุกข์ทรมานซึ่งไม่รู้ว่าจะสามารถเห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งได้หรือไม่เช่นค่ายทหารนี้หรือ?”
ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าหัวใจของซั่งกวนเซ่าเฉินสั่นไหวเพราะคำพูดเหล่านี้ แต่ในจิตสำนึกจากขนบโบราณของเขา หน้าที่หมอเป็นงานสำหรับบุรุษ และค่ายทหารก็เป็นสถานที่ที่บุรุษควรอยู่ ไม่ว่านางจะเก่งกาจเพียงใด นางก็เป็นเพียงแค่แม่นางน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะจวิ้นอ๋องน้อย ท่านจะปล่อยให้นางก่อความวุ่นวายไม่ได้!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินคำรามด้วยโทสะ “ข้าไม่สนว่าท่านกับนางมีความสัมพันธ์กันเช่นไร และไม่สนว่าแต่ก่อนข้ากับนางความสัมพันธ์กันแบบไหน นางไม่สามารถอยู่ในค่ายทหารต่อได้ ข้าขอสั่งให้ส่งนางกลับไปทันที!”
ซูเช่อปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่ากำปั้นของเขาจะกลายเป็นใบมีดที่แหลมคม กรีดหัวใจของคนคนนี้ออกมาดูว่ามันเป็นสีดำหรือไม่ เหตุใดเขาจึงกลายเป็นคนเย็นชาและไร้หัวใจหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือน?
“เฮอะ ท่านพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไล่ให้นางกลับไป ทว่าท่านลองดูสิว่านางกำลังทำสิ่งใด?”
ซูเช่อชี้ไปที่เงาร่างงดงามซึ่งอยู่ไม่ไกล แม้ว่านางจะแต่งกายในเครื่องแบบแบบเดียวกันและปะปนอยู่ในฝูงชนเหมือนแพทย์ทหารคนอื่นๆ แต่เขาก็จำนางได้ในทันที “นางกำลังรักษาทหารของท่าน แม้นางจะถูกท่านทำร้ายจนปวดร้าวยับเยิน แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังยิ้มเพื่อปลอบใจเหล่าทหารที่บาดเจ็บสาหัสอีกด้วย”
เห็นได้ชัดเจนว่าหัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์ร้าวรานจนทนแทบไม่ไหว แต่เพื่อให้กำลังใจเหล่าทหาร ใบหน้าของนางจึงประดับรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอ หัวใจของซูเช่อทุกข์ทรมานแสนสาหัส “ท่านลืมสตรีที่งดงามคนนี้ไปก็ช่างมันเถิด ทว่าท่านกลับทำร้ายนางเพื่อสตรีอีกคน? ที่แท้แล้วข้าเดาไม่ผิดเลยจริงๆ ท่านไม่คู่ควรกับนางเลยแม้แต่นิด!”
ฉวยโอกาสยามที่เขายังไม่ทันตั้งตัว กำปั้นอีกหมัดพุ่งเข้ากระแทกลงบนใบหน้าด้านข้างอย่างรุนแรงทันที
ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ็บปวด แต่เขากลับไม่รีบร้อนตอบโต้ เพราะดวงตาของเขาถูกหลิงมู่เอ๋อร์ดึงดูดอย่างควบคุมไม่ได้
เห็นเพียงฝีมือที่เชี่ยวชาญ อ่อนโยนและอดทน เมื่อเห็นร่างกายที่เหวอะหวะและบาดแผลอันน่าสะอิดสะเอียนของทหารที่บาดเจ็บ นางกลับไม่กลัวเลยแม้แต่นิด กลับกันแล้วนางกลับยิ่งปวดใจและพิถีพิถันมากกว่าเก่า
รอบกายของนางดูเหมือนว่าจะมีเวทมนตร์วิเศษ ในสถานที่ที่โหดร้ายเช่นค่ายทหารนี้ นางกลับสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวได้
“ท่านเอาแพทย์ทหารตัวจริงไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว?”
ซูเช่อคิดไม่ถึงว่าเขายังคงวางแผนจะคิดบัญชีกับปัญหาในอดีตของหลิงมู่เอ๋อร์อีก “ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูด ข้าก็จะพานางกลับไป แต่ข้าสามารถบอกท่านอย่างชัดเจน ท่านจะต้องเสียใจในภายหลังแน่ เพราะแม้ว่าแพทย์ทุกคนในใต้หล้านี้จะมารวมตัวกันก็ยังมิอาจเทียบนางเพียงคนเดียวได้”
เขาคร้านเกินกว่าจะเสียเวลากับชายหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป ซูเช่อหันหลังเตรียมจากไป ก่อนจากไป เขาโยนคำพูดที่เย็นชาทิ้งไว้ว่า “หากท่านไม่ต้องการทำให้ตัวเองเสียใจในภายหลัง ทางที่ดีที่สุดคือยอมรับการรักษาของนาง เว้นเสียแต่ท่านจะคิดว่าความทรงจำของสามปีนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้”
“มีสะเก็ดดาบตกค้างอยู่ในบาดแผลซึ่งจำเป็นต้องเอาออกให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นมือทั้งสองข้างของเจ้าจะพิการเอาได้ มันจะเจ็บนิดหน่อย จงอดทนเอาไว้”
หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยปากอธิบายกับทหารผ่านศึกตรงหน้าอย่างอ่อนโยน นางยื่นผ้าขนหนูให้เขา “กัดสิ่งนี้เอาไว้ ข้าห่วงว่าหลังจากนี้มันจะเจ็บมากจนเจ้ากัดลิ้นของตัวเอง”
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นแพทย์หญิงมาก่อน อีกทั้งนางยังเป็นแพทย์หญิงที่อ่อนโยนถึงเพียงนี้ เมื่อครู่นี้เขาเจ็บปวดจนแทบจะสูญสิ้นความหวังในการใช้ชีวิต แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าประกายแห่งความหวังนั้นจะถูกจุดติดลุกพรึบขึ้นมาอีกครั้ง
ทหารคนนั้นมองนางอย่างขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านหมอ ข้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้จริงๆ หรือ?”
เขาถูกกระสุนดินปืน และในค่ายทหารก็มีแพทย์ไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงถูกผลัดไปวันแล้ววันเล่า มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ความรู้สึกนี้ยากจะรับไหวเกินไป เขาฝันถึงท่านแม่ที่ตายไปแล้วหลายครั้ง คิดว่าตนเองกำลังจะได้กลับไปพบท่านเสียอีก
“แน่นอนสิ เพราะข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ให้กำลังใจเขาพลางใช้มีดผ่าตัดที่ทำขึ้นเองหยิบสะเก็ดดาบออกอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีทหารที่บาดเจ็บมากเกินไป ยาสลบจึงถูกใช้ไปจนหมด และเพื่อลดทอนความเจ็บปวดของเขา นางทำได้เพียงลงมือให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ส่งผ้าพันแผลมาให้ข้า” หลิงมู่เอ๋อร์รับผ้าพันแผลมา โดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ “ขอบใจ”
“ต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ อีกหรือไม่?” ชายคนนั้นมิได้จากไปไหน อีกทั้งยังเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทันที “เหตุใดถึงเป็นท่านไปได้?”
“ข้ามิใช่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ทำให้เจ้าผิดหวังแล้วหรือ?” ซูเช่อถามกลับ
ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะสนใจคนเลวคนนั้นแล้วจริงๆ หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตามองเขา “หากท่านไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าท่านโง่หรอกนะ”
ในใต้หล้านี้มีเพียงสตรีตรงหน้าเท่านั้นที่กล้าจิกหัวใช้เขาเช่นนี้ได้
“อารมณ์ของเจ้าไม่ปกติ ข้าจะขอให้แพทย์ในสำนักหมอคนอื่นมาแทน” ซูเช่อลุกขึ้นยืนทำท่าจะไปจัดแจง
“ท่านไม่เห็นหรือว่างานของที่นี่ยุ่งเป็นอย่างยิ่ง ยังมีทหารบาดเจ็บอีกมากที่รอให้เรารักษา หากมีคนน้อยกว่านี้คนหนึ่ง พวกเขาจะยิ่งต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้อีกหนึ่งนาที” หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ “แม้ว่าเขาจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าดีใจที่ได้มาที่นี่และได้ช่วยเหลือพวกเขา”
แม่นางน้อยที่หัวใจปวดร้าวยากจะฟื้นฟู ไม่คิดจะหาที่ซ่อนตัวเพื่อร่ำไห้เงียบๆ ทว่ากลับต้องการที่จะรักษาทหารเหล่านี้ ซูเช่อคิดว่านี่น่าจะเป็นส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดของนาง
“ได้ งั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ซูเช่อม้วนแขนเสื้อขึ้น ไร้ซึ่งมาดของจวิ้นอ๋องแม้แต่นิด เขากลายเป็นผู้ช่วยตัวน้อยประจำกายของหลิงมู่เอ๋อร์
ในตอนแรกเขาไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนัก แต่ก็ค่อยๆ คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของซูเช่อนั้นแข็งแกร่งมาก “ไม่เลวนี่นา ไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ส่งท่านนำทัพมาเป็นกำลังเสริมสนับสนุน ข้าประเมินจวิ้นอ๋องน้อยต่ำเกินไปจริงๆ”
หลังจากได้รับคำชม ซูเช่อก็ทำตัวราวกับเด็กที่ได้รับขนมน้ำผึ้ง ใบหน้ามิอาจถอดความอวดดีได้อีกแล้ว “เฮอะ หลังจากนี้ข้าจะทำให้เจ้าประหลาดใจมากกว่านี้อีก”
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบสายตามองเขา นางยอมรับว่านางอารมณ์ดีขึ้นมากจริงๆ
เมื่อเห็นทหารที่บาดเจ็บกลุ่มหนึ่งถูกส่งตัวมาอีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว “การต่อสู้ไม่ได้หยุดลงชั่วคราวหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับทหารที่บาดเจ็บเหล่านี้กัน?”
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านผู้บัญชาการกังวลว่าพวกเขาจะนอนรับลมกลางคืนด้านนอกจนทำให้บาดแผลแย่ลง ดังนั้นจึงจงใจสั่งให้ท่านแม่ทัพหลายคนสละกระโจมของตนเพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อน นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นขอรับ” ทหารที่เข้ารับการรักษาชี้แจง
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งนัก ซั่งกวนเซ่าเฉินเมื่อสามปีก่อนนั้นเย็นชาและโหดเหี้ยม แต่เขายังคงปฏิบัติต่อทหารด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงต้องไปที่หมู่บ้านตระกูลหลิง เหตุใดถึงต้องเปลี่ยนนิสัยของตนเองด้วย?
“แม่นางหลิง รีบเข้ามาช่วยพวกเราดูหน่อยเถิด พวกเราไร้ปัญญาแล้วจริงๆ สถานการณ์นี้ดูเหมือนจะต้องพึ่งพา ‘การผ่าตัด’ ที่เจ้าเคยกล่าวถึงจึงจะสามารถรักษาได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้นแล้ว ปล่อยให้การรักษาทหารที่นี่เป็นหน้าที่ของคนอื่นเถิด” หมอหลวงคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมอย่างรวดเร็ว สองมือของเขาเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยท่าทางประหม่าราวกับว่ามีเรื่องร้ายแรงอันใดเกิดขึ้น
พอดีกับที่ทหารตรงหน้านางพันผ้าพันแผลเสร็จแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้น “เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้แม้แต่ท่านยังไม่อาจจัดการได้เจ้าคะ?”
การขานเรียกเช่นนี้เป็นการยกยอสถานะแพทย์ในสำนักหมอหลวง หัวใจของหมอหลวงท่านนั้นสงบนิ่งลงมากทีเดียว “เป็นแม่ทัพโจว เขาต่อสู้กับศัตรูเมื่อวันก่อน ไม่ทันระวังจึงตกอยู่ในแผนการของฝ่ายตรงข้าม ขาซ้ายถูกแทง ก่อนหน้านี้ที่พวกเราจะมาถึง แพทย์ทหารที่นี่คิดว่ามันเป็นบาดแผลธรรมดาจึงพันผ้าพันแผลเอาไว้ แต่ตอนนี้ท่านแม่ทัพโจวจู่ๆ ก็มีอาการปวดอย่างรุนแรง พวกเราถึงได้พบว่าบาดแผลนั้นไม่เพียงแต่เปิดออกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนองอีกด้วย เจ้าลองมาดูก่อนค่อยตัดสินใจเถิด”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์และซูเช่อมาถึงกระโจมนั้น ซั่งกวนเซ่าเฉินก็คอยคุ้มกันท่านแม่ทัพอยู่ด้านข้างพอดี
แพทย์จากสำนักหมอหลวงที่เพิ่งจากไปกล่าวว่าเขาจะเชิญหมอที่เก่งกาจมาช่วย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิง ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว “พวกท่านล้วนเป็นแพทย์จากสำนักหมอหลวง แต่แม้กระทั่งบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ก็จัดการให้ดีไม่ได้หรือ?”
“ใช่ แพทย์จากสำนักหมอหลวงอย่างพวกท่านล้วนสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับองค์ฮ่องเต้ได้ แต่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้ยังมิอาจสู้สตรีคนหนึ่งได้หรือ?” ท่านแม่ทัพโฉวอวี่จินเอ่ยตาม น้ำเสียงของเขาแปลกพิกล หางเสียงตอนท้ายเขาพ่นเสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม
“ไม่ผิด ฝีมือของพวกเขาไม่อาจสู้สตรีคนนี้เพียงคนเดียวจริงๆ!” ซูเช่อโกรธจัดจนคว้าแขนหลิงมู่เอ๋อร์ลากออกไป “ในเมื่อพวกเขาดูถูกพวกเราเช่นนี้ พวกเราจะไม่ช่วยรักษาแล้ว ไป”
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับยืนกรานที่จะไม่ไปไหน “ข้าเป็นหมอ คนไข้ต้องมาก่อนเสมอ”
นางมองซูเช่อด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว นางไม่สนใจคำดูถูกเหยียดหยามของซั่งกวนเซ่าเฉินและโฉวอวี่จิน รีบร้อนเดินไปข้างเตียง
เมื่อเห็นว่าบาดแผลบนต้นขาข้างที่บาดเจ็บของแม่ทัพโจวนั้นเลวร้ายลง ไม่เพียงแต่มีน้ำขุ่นๆ กลิ่นเหม็นๆ ไหลออกมา แต่ยังมีเลือดสีดำคล้ำซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาการถูกพิษไหลออกมาด้วย
นางหยิบเข็มเงินออกมาโดยไม่ลังเลเพื่อห้ามเลือด แต่ก่อนที่นางจะได้แตะต้องเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็หยุดนางเอาไว้
“ดูเหมือนว่าเจ้าได้ยินไม่ชัดว่าข้าพูดอะไรไปเมื่อครู่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่สตรีจะมายุ่งวุ่นวายได้ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าใช้วิธีการใดทำให้พวกเขาเชื่อใจเจ้า แต่ที่นี่คือค่ายทหาร และพวกเขาเป็นทหารของข้า ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าก่อเรื่องที่นี่!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินสั่ง “ทหาร ส่งผู้หญิงคนนี้ออกไป!”