เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 204 เจ็บปวดหัวใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 204 เจ็บปวดหัวใจ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 204 เจ็บปวดหัวใจ
ไม่ผิด สตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามซั่งกวนเซ่าเฉิน สตรีที่ทำราวกับกำลังมอบของล้ำค่าเป็นอาหารที่นางทำด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นสตรีที่รินชาและน้ำให้เขาด้วยความสนิทสนม ไม่ใช่หลิงไฉ่เวย ป้าน้อยของนางแล้วจะเป็นผู้ใด
แม้ว่านางจะแต่งตัวเรียบๆ อีกทั้งดูเหมือนว่าจะผอมลงไปมาก แต่นางก็คือป้าน้อยที่ทุบตีเตะนาง รังแกนางบ่อยครั้งคนนั้น
ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิง นางก็ไม่ได้พบผู้ใดที่มาจากตระกูลหลิงอีกเลย วันนี้ไม่คิดว่าจะเจอนางในสถานที่เช่นนี้ มิใช่ว่านางแต่งกับจ้วงต้าหลินพร้อมกับหลิงหูเตี๋ยในฐานะภรรยาที่เท่าเทียมมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเข้ามาพัวพันกับพี่ใหญ่ได้?
ยังจำได้ว่าปีนั้นก่อนที่จะออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิง หลิงไฉ่เว่ยได้ไปหานางที่โรงหมอ ตอนนั้นนางตั้งครรภ์ได้หกเดือน ยังไม่ทันคลอดเด็กก็เสียชีวิตในท้องแล้ว ยามนี้ดูเหมือนว่านางอาจจะหย่ากับจ้วงต้าหลินแล้ว?
มีคำถามมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจของนาง หลิงมู่เอ๋อร์แทบจะจับหลิงไฉ่เว่ยมัดเอาไว้เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อนางเห็นท่าทีที่อ่อนโยนของซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีต่อหลิงไฉ่เว่ย นางก็โกรธจนหันหลังกลับก่อนวิ่งหนีไป
“มู่เอ๋อร์?”
ซูเช่อเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่สนใจว่าที่นี่เป็นค่ายทหาร ไม่สนใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจะเป็นท่านผู้บัญชาการ ชายหนุ่มชูกำปั้นขึ้น ก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปทันที
“กรี๊ด!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อต่อสู้กันในกระโจมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของหลิงไฉ่เว่ย
กว่าหนานกงอี้จือจะได้สติกลับมา พวกเขาทั้งสองก็ได้ผลัดกันรุกผลัดกันรับจากในกระโจมจนออกมานอกกระโจมแล้ว
“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันทั้งสิ้น พวกท่านสองคนหยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้” หนานกงอี้จือต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อแยกทั้งสองคนออก แต่ทั้งสองคนมีวรยุทธ์การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำเช่นไร
“กล้ารังแกมู่เอ๋อร์เช่นนี้ ข้าจะใช้กำปั้นนี้สั่งสอนบทเรียนให้แก่ท่านแทนมู่เอ๋อร์เอง!”
ซูเช่อคำรามด้วยความโกรธ เขาเอ่ยจบก็ยกกำปั้นขึ้นต่อยอีกครั้ง ความเร็วของเขาว่องไวยิ่งนัก อีกทั้งยังมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าที่ผ่านมาซั่งกวนเซ่าเฉินจะหลบ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
กองกำลังเสริมที่ส่งมาจากฮ่องเต้จะลงมือกับเขาได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นจวิ้นอ๋องน้อยที่ไม่เคยไปมาหาสู่ด้วยกันอีกด้วย
ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินมืดครึ้ม วางแผนที่จะไปตายเอาดาบหน้าอย่างไม่เกรงใจอีกแล้ว “เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร อีกทั้งยามนี้ข้าก็ไม่รู้จักแพทย์ทหารผู้นั้น เป็นท่านที่ลงมือก่อน ดังนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด โทสะของซูเช่อก็ยิ่งโหมกระพือ “มู่เอ๋อร์รักท่านมาก ถึงขนาดเดินทางมาจากเมืองหลวงเพื่อช่วยท่านถึงชายแดน แต่ท่านกลับปฏิบัติกับนางแบบนี้ ข้าจะฆ่าท่าน!”
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารแล้วจริงๆ
การเคลื่อนไหวของซูเช่อนั้นร้อนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต ซั่งกวนเซ่าเฉินหลบหลีกและหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขาอย่างรวดเร็ว
“ไร้สาระ!”
“ท่านไม่เชื่อเรื่องไร้สาระที่ข้าเพียงคนเดียวพูด แต่ท่านก็จะไม่เชื่อเรื่องไร้สาระที่คนหลายๆ คนพูดด้วยหรือ? ท่านถามหนานกงอี้จือดูว่ามู่เอ๋อร์เป็นคู่หมั้นของท่านใช่หรือไม่!”
ทันทีที่เอ่ยจบ หนานกงอี้จือก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้หยุดต่อสู้ เป็นตอนที่เขาวิ่งเข้าไปตรงกลางระหว่างคนทั้งสองคน ดวงตาพลันเห็นว่ากำปั้นของคู่ต่อสู้กำลังปล่อยลงมา ชายหนุ่มวางมือบนหัวตนเอง รีบร้อนร้องขอความเมตตา “อย่าตีข้า อย่าตีข้า อย่าตีข้า!”
“พูด!”
ทั้งสองยื่นมือออกไปผลักหนานกงอี้จือก่อนจะเอ่ยปากพูดพร้อมกัน
“ให้ข้าพูดอันใด?” หนานกงอี้จือผู้หวาดกลัวหอบหายใจอย่างหนัก โชคดีที่เขาหลบได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นหมัดของทั้งสองจะกระแทกลงมา และเขาต้องกลายเป็นคนที่สูญเสียความทรงจำเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าทั้งสองหยุดต่อสู้กันในที่สุด หลิงไฉ่เว่ยก็รีบเข้าไปกอดแขนของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางมองซ้ายขวา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนนุ่มว่า “เซ่าเฉิน ท่านไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่?”
เมื่อมองไปที่ซูเช่ออีกครั้ง นางก็ทำท่าราวกับเป็นนายหญิงของบ้านก็ไม่ปาน หญิงสาวเอ่ยวาจาก้าวร้าวทันที “เจ้าเป็นใครกัน เจ้า เซ่าเฉินเป็นถึงท่านผู้บัญชาการ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาชกต่อยกับท่านผู้บัญชาการ ไม่กลัวหัวจะหลุดออกจากบ่าหรือ!”
ซูเช่อไม่รู้จักหลิงไฉ่เว่ย แต่เมื่อเห็นว่าคิ้วตาของนางดูคล้ายกับหลิงมู่เอ๋อร์อยู่หลายส่วน และเมื่อนึกถึงชื่อที่มู่เอ๋อร์เอ่ยเรียกนาง เขาก็คาดเดาแปดเก้าส่วนอยู่ในใจ ชายหนุ่มเหลือบมองนาง ทว่ากลับไม่สนใจนาง
“ท่านไม่ได้บอกซั่งกวนเซ่าเฉินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับมู่เอ๋อร์หรือ?”
คำพูดนี้เขาเอ่ยกับหนานกงอี้จือ
“ข้าพูดแล้ว แต่ท่านคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดมีประโยชน์หรือ?” หนานกงอี้จือกางมือของเขาอย่างผู้บริสุทธิ์ “ความทรงจำของญาติผู้พี่จำได้แค่เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีนี้ไม่ได้ อีกทั้งคนที่มีบุญคุณคนนี้ก็ตัวติดกับเขาตลอดเวลา ท่านว่าอย่างไรเล่า?”
“ข้าว่าอย่างไรกับผีของท่านนะสิ”
ซูเช่อยกมือขึ้นคิดจะลงมือต่อยตีอีกครั้ง แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับจ้องมองอย่างคมปราบ “จวิ้นอ๋องน้อย ข้ามิมีความแค้นอันใดกับท่านในอดีต และหาได้มีความเคืองแค้นใจในปัจจุบันไม่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดท่านถึงได้ลงมือต่อยตีตั้งแต่ที่เราพบกันครั้งแรก แต่เนื่องจากท่านคือกำลังเสริมที่ฮ่องเต้ส่งมาช่วย ดังนั้นข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพฤติกรรมของท่านในตอนนี้ แต่ถ้ายังเกิดขึ้นอีก ข้าจะไม่ไว้ไมตรีท่านอีกแล้ว”
ดวงตาของเขามองไปทางหนานกงอี้จือ ชายหนุ่มใช้คางชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ตามข้ามา!”
“เซ่าเฉิน~” หลิงไฉ่เว่ยทำท่าจะตามไป ทว่าทั้งสองได้เข้าไปในกระโจมแล้ว
ก่อนที่จะมาถึงค่ายทหาร ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ออกคำสั่งกับนางว่านางสามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในค่ายทหาร เว้นแต่ว่าเรื่องการทางทหาร นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม หนานกงอี้จือเป็นรองแม่ทัพ และการสนทนาระหว่างทั้งสองก็เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการทหาร ดังนั้นนางจึงตามเข้าไปด้วยไม่ได้
นางเบิกตาจ้องไปที่ซูเช่อ หากดวงตาของนางสามารถฆ่าคนได้ นางก็อยากจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นจริงๆ
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ในเมื่อเจ้ากลับมาพร้อมกับนังหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าก็คือศัตรูของข้า! ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าพูดจาเหลวไหลอันใดกับเซ่าเฉิน เขาเป็นของข้าแล้ว!”
สองมือของหลิงไฉ่เว่ยเท้าเอว นางเงยหน้าขึ้น มองด้วยท่าทางอาฆาตมาดร้าย แต่ซูเช่อกลับไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่นิด เขาหันหลังกลับและเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเย็นชา
ในกระโจม ซั่งกวนเซ่าเฉินนั่งบนที่นั่งหลัก เขาจ้องมองไปที่หนานกงอี้จือด้วยสายตาที่แหลมคม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความปรานีว่า “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?”
“เรื่องอันใดอะไรกัน ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้บอกท่านแล้วหรือว่าท่านมีคู่หมั้นชื่อหลิงมู่เอ๋อร์ แพทย์ทหารที่เพิ่งวิ่งหนีไปด้วยโทสะคนนั้น”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้วแน่น “เป็นไปไม่ได้!”
ท่าทีของเขาหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าหนานกงอี้จือจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่เชื่อ “ในเมื่อข้ามีคู่หมั้น แล้วเหตุใดข้าถึงจำนางไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว? อีกอย่าง ในเมื่อนางเป็นคู่หมั้นของข้า แล้วเหตุใดถึงได้ปรากฏตัวในกองทัพ โดยการสวมรอยเป็นแพทย์ทหาร แถมยังมีความสัมพันธ์กับจวิ้นอ๋องน้อยด้วย?”
หนานกงอี้จือปวดหัวแทบระเบิด เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรแล้ว “ข้าว่านะญาติผู้พี่ ท่านหลงใหลหลิงไฉ่เว่ยจนหัวปักหัวปำแล้ว แม่นางหลิงเป็นคู่หมั้นของท่านจริงๆ เป็นท่านที่ออกจากเมืองหลวงเมื่อสามปีก่อนจะได้รู้จักกับนางที่หมู่บ้านตระกูลหลิง เมื่อก่อนพวกท่านเป็นแค่พี่น้องบุญธรรมกัน จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อน พวกท่านได้กลับมาพบกันอีกครั้งในเมืองหลวงและได้ให้คำมั่นสัญญาต่อกัน แต่เรื่องที่เหตุใดนางจึงปรากฏตัวในค่ายทหารในฐานะแพทย์ทหาร อีกทั้งมีความสัมพันธ์อย่างไรกับซูเช่อ ข้าไม่รู้จริงๆ”
พี่ชายและน้องสาวบุญธรรม?
หลายเดือนก่อน?
คู่หมั้น?
คำพูดแปลกประหลาดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของเขาซ้ำไปซ้ำมา ซั่งกวนเซ่าเฉินพยายามจะนึกถึงเรื่องที่หนานกงอี้จือพูดอย่างสุดชีวิต ในสมองเองก็มีชิ้นส่วนมากมายแวบเข้ามาเช่นกัน ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเลย
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสอบสวนเรื่องของหลิงไฉ่เว่ย การสอบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนานกงอี้จือนั่งตรงข้ามกับเขาด้วยท่าทีจริงจังเคร่งขรึม “นางมาจากหมู่บ้านตระกูลหลิงอย่างที่ท่านพูดจริงๆ และนางก็เป็นเด็กกำพร้าจริงๆ ข้าได้ยินมาว่านางถูกครอบครัวไล่ออกจากบ้านและอาศัยอยู่เพียงลำพัง”
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น หนานกงอี้จือมองไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแอบฟัง เขาก็โน้มตัวตัวไปด้านข้างหน้า เปล่งเสียงเบาๆ ว่า “ว่าแต่ว่าท่านทั้งสองเป็นอย่างนั้นกันจริงๆ หรือขอรับ?”
“ไสหัวออกไป!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินผลักร่างของหนานกงอี้จือออกไปอย่างหมดความอดทน ก่อนจะมองด้วยสายตาเย็นชาที่พาให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง “อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับคนอื่น และไม่อนุญาตให้ถามอีก”
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการถาม แต่ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าข้าควรจะปฏิบัติต่อหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไรต่อจากนี้”
หนานกงอี้จือถอนหายใจ เขารู้สึกว่ามันยากเกินไปสำหรับเขา
ในเดือนที่ผ่านมาญาติผู้พี่ของเขาหายไปครึ่งเดือน เขาทั้งกังวลทั้งหวาดกลัวมาตลอดเวลาครึ่งเดือน ในที่สุด ไม่ง่ายเลยที่ญาติผู้พี่จะกลับมา ทว่าเขากลับพาผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นยังรักญาติผู้พี่ของเขามาก ส่วนญาติผู้พี่ที่ไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีคนไหนก็ยังอ่อนโยนกับนางมากเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เคยอาศัยอยู่ในกระโจมเดียวกัน แต่มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าหลิงไฉ่เว่ยคือภรรยาของท่านผู้บัญชาการในอนาคต?
เขาไม่รู้ว่าหลิงไฉ่เว่ยทำไปโดยบังเอิญหรือจงใจ นอกจากนี้ นางยังบอกด้วยว่านางมีความสัมพันธ์แบบสนิทแนบเนื้อกับญาติผู้พี่ในระหว่างขั้นตอนของการรักษาเขา
เขาไม่เชื่อว่าญาติผู้พี่ของเขาเป็นคนประเภทที่ฉวยโอกาสยามที่ตกอยู่ในอันตราย เดิมทีคิดว่าหากสามารถจัดการให้แล้วเสร็จก่อนกลับเมืองหลวงก็คงจะไม่เป็นกระไร แต่จู่ๆ หลิงมู่เอ๋อร์ก็มาปรากฏตัวถึงค่ายทหาร
สวรรค์ หากท่านแม่ที่บ้านรู้ว่าทั้งสองคนรังแกหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยวิธีนี้ ยามที่พวกเขากลับไปจะไม่ถูกถลกหนังหรือ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านั้นก็ยังคงต้องตรวจสอบอยู่ สำหรับเรื่องท่าทีว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อหลิงมู่เอ๋อร์? นางเป็นเพียงแพทย์ทหาร เจ้าจงจัดการกับนางตามกฎของแพทย์ทหาร”
หนานกงอี้จือเสียสติไปแล้ว “ญาติผู้พี่ ท่านเป็นญาติผู้พี่ของข้าจริงๆ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่านางปะปนเข้าไปในฝ่ายหมอหลวงได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่ถูกคนเหล่านั้นเปิดโปง แต่หากท่านปฏิบัติกับนางอย่างนั้นจริงๆ ในอนาคตท่านต้องเสียใจในภายหลังแน่”
เขาเชื่อใจหนานกงอี้จือมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ทุกคนบอกว่าเขาสูญเสียความทรงจำ ญาติผู้น้องคนนี้จึงเป็นคนเดียวในค่ายทหารที่เขาไว้ใจ
หากอิงตามคำพูดของเขาจะเห็นได้ว่าก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำ เขาให้ความสำคัญกับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างมาก?
“หลังจากจัดการเรื่องทางการทหารแล้ว ข้าจะไปคุยกับนางเอง”
หนานกงอี้จือรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ดียิ่ง ไม่เพียงแต่ต้องคุยกันเท่านั้น แต่จะเป็นการดีที่สุดหากให้นางแสดงให้ท่านเห็น นางมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม นางอาจจะดึงความทรงจำที่หายไปของท่านกลับคืนมาได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าบอกว่าจะคุยกับนาง แต่เจ้ากลับใช้อำนาจทางสายเลือดได้คืบจะเอาศอก ทำไมหรือ ในสายตาของเจ้าข้าป่วยหนักถึงขนาดนั้นเลยหรือ?”
หนานกงอี้จืออยากจะตอบว่าใช่ แต่เมื่อเขาตระหนักถึงรังสีสังหารของญาติผู้พี่ ชายหนุ่มก็รีบส่ายหัว “ท่านผู้บัญชาการผู้สง่างามเก่งกาจ เฉลียวฉลาดยอดเยี่ยม แม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไปสามปี แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนสติปัญญาของท่านได้ คำพูดเมื่อครู่ข้าแค่ล้อท่านเล่นก็เท่านั้น”
“ข้าไม่สนว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ และข้าไม่สนว่าความทรงจำในช่วงสามปีนั้นสำคัญเพียงใด กล่าวโดยสรุป ข้าจำเป็นต้องเอาชนะอามูเต๋อให้เร็วที่สุด” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “อย่าลืมว่าแผนของข้าคืออะไร ข้าเตรียมการมานานถึงเพียงนี้ก็เพื่อจะล้างแค้นให้กับเสด็จแม่ของข้า ขอแค่ได้นั่งบนตำแหน่งนั้น ข้าจะทำให้คนคนนั้นได้รู้ว่าความผิดพลาดของเขาร้ายแรงแค่ไหน!”
“ดังนั้นแล้ว หนานกงอี้จือ ในเมื่อเจ้าตามข้ามาที่ค่ายทหาร เจ้าต้องเอาจริงเอาจัง ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องล้มเหลวแน่!”
ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าหลังจากความจำเสื่อม ญาติผู้พี่ของเขาก็ย้อนเวลากลับไปในตอนที่เขาไม่รู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ เขาที่กลายเป็นท่านยมบาลผู้เย็นชาและไร้หัวใจ
ผลปรากฏว่า บุรุษยังคงต้องการสตรีมาหล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่น แต่ตอนนี้เขาจะกล้าเอ่ยเหตุผลกับญาติผู้พี่ได้อย่างไร
“ขอรับ ท่านผู้บัญชาการ ไม่ต้องกังวล ข้าจะเลิกเหลาะแหละและเอาจริงเอาจังกับสถานการณ์ทางทหาร ส่วนหลิงมู่เอ๋อร์ คู่หมั้นของท่าน ก็ปล่อยให้นางหนีไปกับชายคนอื่นเถิด”
“เจ้า…”