เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 181 จ้วงหยวน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 181 จ้วงหยวน
เล่มที่ 7 ตอนที่ 181 จ้วงหยวน
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษและการตรากตรำสู้มาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ในที่สุดหลิงจือเซวียน หลิงจื่ออวี้และจูชีก็เริ่มเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางแห่งการสอบคัดเลือกขุนนาง
สิ่งที่ค่อนข้างน่าเสียดายก็คือหลิงจื่ออวี้ยังอายุไม่ถึง อยู่ในขั้นเข้าเรียนอีกครั้ง ในขณะที่หลิงจือเซวียนและจูชีเต็มไปด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด มุ่งมั่นที่จะเอาชนะความยากลำบากต่างๆ นานา ต่อสู้กันไปจนสุดทาง
แม้ว่าหลิงจื่ออวี้จะรู้สึกท้อแท้เป็นอย่างยิ่งหลังจากพบกับความล้มเหลว ทว่าหลังจากการได้ปรับความเข้าใจกับทุกคน กำลังใจของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืน อีกทั้งยังให้กำลังใจพี่ชายของตนอีกด้วย
หากอิงตามคำกล่าวของจูชิงเฟิง เขาเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มทั้งสองมาก แม้ว่าเวลาที่พวกเขาเข้าเรียนจะไม่ได้ยาวนานนัก ทว่าพวกเขาทั้งคู่กลับฉลาดและมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง และคนที่เขาคาดหวังตั้งตารอมากที่สุดคือ หลิงจือเซวียน
ผลปรากฏว่า ในการสอบครั้งสุดท้าย เขาได้เขียนบทความเรื่อง ‘บทวิเคราะห์สวรรค์และใต้หล้า’ จนได้ตำแหน่งจ้วงหยวนอันทรงเกียรติ
แน่นอนว่ามีบางคนถือโอกาส หาว่าเขาใช้อำนาจจากจวนจวิ้นอ๋อง ทว่าคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาก็ยังคงเชื่อมั่น ส่วนคนที่ไม่เชื่อ จะอธิบายอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
หลังจากที่ทั้งครอบครัวทราบข่าวก็ล้วนรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง หลิงต้าจื้อที่แสดงออกไม่เก่งยังร้องไห้ราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
“ตระกูลหลิงของพวกเรา ในที่สุดก็มีวันที่ตระกูลหลิงของพวกเราปรากฏจ้วงหยวนขึ้นมาแล้วหรือ? บุตรชายของข้า หลิงต้าจื้อผู้นี้ สามารถสอบจ้วงหยวนได้แล้ว!” เขากุมหัวยืนอยู่ในเรือนมองไปยังท้องฟ้า “บรรพบุรุษของตระกูลหลิง พวกท่านที่อยู่บนสวรรค์เห็นแล้วหรือไม่? บุตรชายของข้า หลิงต้าจื้อผู้นี้ได้เป็นจ้วงหยวนแล้ว ครอบครัวของพวกเรายากจนข้นแค้น คิดว่าทั้งชาตินี้คงจะอยู่ในภูเขาเล็กๆ นั่นไปตลอดชีวิต ทว่ายามนี้พวกเราไม่เพียงแต่ออกมาได้เท่านั้น พวกเรายังมีร้านอาหาร มีโรงหมอ วันนี้ยังมีจ้วงหยวนอีกด้วย ลูกหลานของตระกูลหลิงไม่ละอายใจต่อบรรพบุรุษของพวกเขาแล้ว ฮือๆๆ…”
ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ เสียงร้องไห้ของหลิงต้าจื้อก็ยิ่งดังมากเท่านั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งอยากจะเข้าไปปลอบ ทว่ากลับถูกหยางซื่อคว้าตัวเอาไว้
“พ่อของเจ้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนในชีวิตว่าครอบครัวของเราจะมาถึงระดับนี้ได้ อย่างแรก เป็นเจ้าที่พาพวกเราออกจากความยากจน มู่เอ๋อร์ และยามนี้ก็มีจือเซวียนที่สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน พวกเจ้าคือสมบัติล้ำค่าของพวกเราจริงๆ ความรุ่งโรจน์ของพวกเจ้าทำให้พ่อของเจ้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นยามนี้ก็ปล่อยให้เขาได้ปลดปล่อยออกมาเถิด”
หยางซื่อก็ซาบซึ้งจนน้ำตาซึมเช่นกัน นางมองไปที่เงาร่างของสามีไปพลาง ปาดเช็ดน้ำตาไปพลาง
นางไม่เคยมีความคิดเห็นใดๆ ไม่ว่าเรื่องราวอันใดล้วนเชื่อฟังสามีในทุกๆ เรื่อง นางยังจำได้ว่าตอนที่มู่เอ๋อร์เพิ่งเกิด เขาเคยจินตนาการว่าบุตรชายหญิงจะเก่งกาจเช่นไร ทว่าในตอนนั้น นางยังคงหัวเราะเยาะหลิงต้าจื้อ เกิดมาในหุบเขาเล็กๆ นี่ยังจะให้มีพรสวรรค์โดดเด่นอันใดอีก ขอแค่พวกเขามีชีวิตที่สงบสุขและมั่นคงนั่นก็เพียงพอแล้ว
ทว่าเมื่อมองดูในยามนี้ นางผู้มีผมยาวทว่าวิสัยทัศน์ช่างแสนสั้น มู่เอ๋อร์ของนาง จือเซวียนของนาง ไม่ว่าผู้ใดล้วนเก่งกาจ ไม่ว่าผู้ใดล้วนสามารถวางใจพึ่งพิงได้ พวกเขาสองสามีภรรยามีดีที่ใด ย่อมเป็นพรจากชาติที่แล้วเป็นแน่
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนเสียดายก็คือการที่จูชีเขียนคำตอบที่แตกต่างไปเพียงนิดเดียวทำให้ร่วงลงสู่อันดับที่สอง เดิมทีเขายังมีท่าทีที่ฮึกเหิม ทว่าช่วงเวลานั้นกลับแข็งค้างราวกับมะเขือม่วงที่ถูกน้ำค้างแข็ง ทว่าเมื่อคิดถึงว่าคนที่ขโมยตำแหน่งไปคือพี่ชายของเขา เขาก็ฟื้นคืนกำลังใจได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากสนามสอบของหลิงจือเซวียนและจูชีแยกกัน หลิงจือเซวียนอยู่ในสนามสอบที่อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์ชายหก และจูชีอยู่ในสนามสอบที่อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์ชายเจ็ด ประเพณีของการสอบคัดเลือกขุนนาง ผู้เข้าสอบคนใดที่ออกมาจากสนามสอบใด หากได้รับตำแหน่งก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้คุมสอบคนนั้น
หลิงจือเซวียนย่อมอยู่ในกองกำลังบัญชาการขององค์ชายหก ในขณะที่จูชีได้รับเชิญไปที่จวนขององค์ชายเจ็ดจากคนสนิทขององค์ชายเจ็ดในวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่วันแรกของการสอบเคอจวี่ มีข่าวลือแพร่สะพัดทั้งในและนอกวังว่า การที่ฮ่องเต้มอบหมายให้องค์ชายทั้งสองควบคุมการสอบก็เพื่อทดสอบความสามารถของพวกเขา อีกทั้งบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ก็คือกำลังของพวกเขาในอนาคต ผลของการสอบย่อมต้องมีผลกับตำแหน่งองค์รัชทายาท ตำแหน่งมกุฎราชกุมารในอนาคต
ดังนั้นหลังจากหลิงจือเซวียนได้รับตำแหน่งจ้วงหยวน องค์ชายเจ็ดจึงส่งคนไปเชิญจูชีมาที่จวนเพื่อพูดคุยตลอดทั้งคืน และในทางกลับกันก็เสด็จมาที่ตำหนักเจาหยางจวีเพื่อตีสนิทดึงเขามาเป็นพรรคพวกอีกด้วย
หลังจากจวิ้นอ๋องและหนิงกั๋วโหวทราบข่าวเรื่องนี้ ยามที่องค์ชายเจ็ดเสด็จกลับไปแล้ว พวกเขาล้วนเหยียบย่างมายังจวนแห่งนี้เช่นกัน คนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรม อีกคนคือพ่อตา ความหมายของทั้งสองคนชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง คราแรกพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่งและหวังว่าหลิงจือเซวียนเองก็จะมีความสามารถที่จะคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบข้างอย่างเงียบงันด้วย
หลิงจือเซวียนมองไปที่พวกเขาทั้งสองด้วยความเคารพ “ขอให้เสด็จพ่อและท่านพ่อบุญธรรมโปรดวางใจเถิดขอรับ เมื่อครู่ลูกได้ปฏิเสธความเมตตาขององค์ชายเจ็ดก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จกลับไปแล้ว ลูกคิดว่าองค์ชายเจ็ดคงจะไม่กลับมาอีกในระยะเวลาอันสั้นนี้ขอรับ”
จวิ้นอ๋องค่อนข้างพอใจกับความฉลาดเฉลียวรู้ความของหลิงจือเซวียน เขาชำเลืองมองเจาหยางด้วยความชื่นชม “ยังเป็นเจาหยางของพวกเราที่มีสายตากว้างไกล และคนที่เจ้าเลือกก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
หนิงกั๋วโหวจู่ๆ ก็ได้บุตรชายบุญธรรมซึ่งเป็นจ้วงหยวนมาโดยเปล่าๆ ปลี้ๆ เขายิ้มกว้างจนสุดหู “หากเอ่ยว่าเจาหยางนั้นมีสายตากว้างไกลแล้ว เช่นนั้นแล้วพ่อบุญธรรมเช่นข้ามิใช่ว่าโชคก้าวไกลยิ่งกว่าหรือ?” รอยยิ้มยังคงมี ทว่าท่าทางที่จริงจังเคร่งครัดก็หวนกลับคืน “องค์ชายเจ็ดผู้นี้มีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ หากครั้งแรกเขาล้มเหลว เขาจะหาทางทำให้สำเร็จเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้ล่วงเกินพระองค์ และอย่าได้เป็นผู้ริเริ่ม หากว่ามีเรื่องที่มิอาจปฏิเสธได้ จงมาหาข้าที่จวนโหวเสีย”
“ขอบพระคุณที่ท่านพ่อเอ่ยเตือน จือเซวียนเข้าใจแล้วขอรับ”
จวิ้นอ๋องเองก็ตบไหล่เขาเช่นกัน “ในเมื่อเจ้าได้เป็นกองกำลังขององค์ชายหกแล้ว เจ้าย่อมต้องเคารพพระองค์ให้มาก วางใจเถิด มีข้ากับโหวอยู่ข้างหลัง ไม่ว่าพระองค์คิดจะทำอะไรก็ตามพระองค์จะไม่จงใจกลั่นแกล้งทำให้เจ้าลำบากใจ”
ผลปรากฏว่า ตั้งแต่ถูกปฏิเสธ องค์ชายเจ็ดก็ไม่เคยมาที่ตำหนักเจาหยางอีกเลย แต่เขาปรากฏตัวที่โรงหมอของหลิงมู่เอ๋อร์ทุกวัน
“องค์ชายเจ็ด พระพลานามัยของพระองค์ทรงแข็งแรง กระฉับกระเฉง พระองค์มิได้ป่วยจริงๆ แล้วทรงมีความจำเป็นใดถึงต้องมาที่โรงหมอของหม่อมฉันทุกวัน และทำให้การรักษาผู้ป่วยรายอื่นล่าช้าด้วยเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ แววตารันทดจากการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมองไปทางองค์ชายเจ็ด แต่เขากลับจงใจยื่นมือไปตรงหน้านางราวกับว่าฟังไม่เข้าใจ
“ข้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ ดังนั้นรบกวนท่านหมอตรวจโรคให้ละเอียดแล้ว”
“องค์ชายเจ็ด พระองค์ทรงกำลังกล่าวเรื่องไร้สาระทั้งที่ยังลืมตาอยู่หรือเพคะ พระองค์ทรงดูผิวหน้าที่แดงก่ำสีดอกกุหลาบมีน้ำมีนวล พละกำลังแข็งแกร่งนี่สิ ไม่ต้องพูดถึงโรคที่ซับซ้อนรักษายาก แม้แต่โรคหวัดธรรมดาก็ยังหาไม่พบ พระองค์ควรกลับไปเสียเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำท่าทางผายมือเชิญกลับ และทันใดนั้นก็มีคนไข้คนหนึ่งคำรามอย่างไม่พอใจอยู่ด้านหลังนาง
“แม้จะเป็นองค์ชายก็ไม่ควรจะเอาเปรียบครองห้องสุขาแต่ไม่ทำธุระกระมัง พระองค์ทรงถ่วงเวลาในการหาหมอของพวกข้านี่หมายความอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใช่แล้ว การรังแกประชาชนนี่เป็นเรื่องปกติหรือ?”
เสียงที่ไม่พอใจนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายเจ็ดไม่พูดอันใด ทำเพียงหันศีรษะกลับไปมองบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้เข้าใจและหยิบถุงเงินสองถุงออกมา ก่อนจะโยนมันออกไปตามฝูงชนเหมือนเด็กที่โปรยเงิน
“ไอ๊หยา เงินของผู้ใดที่ตกเต็มพื้นกัน ทุกท่านยังไม่รีบเก็บขึ้นมาเล่า?”
หลังสิ้นเสียงของบ่าวรับใช้ เหล่าฝูงชนพลันผงะอย่างมึนงง เกือบครู่ต่อมาทุกคนก็พากันรุมล้อม ผู้เฒ่าที่เคยอ้างว่าป่วยหนักยามนี้ราวกับได้รับยาอายุวัฒนะก็ไม่ปาน แม้แต่ชายชราที่แขนขาไม่แข็งแรงก็ยังเข้าร่วมการต่อสู้เช่นกัน
“หมอหลิง มาดูกันว่าในคนไข้เหล่านี้มีกี่คนที่ป่วยจริง และกี่คนที่ป่วยปลอม?”
องค์ชายเจ็ดจ้องมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความสนใจราวกับว่าเขาต้องการจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง
“องค์ชายเจ็ดทรงเสด็จมาโรงหมอติดต่อกันหลายวันเพื่อสิ่งใดกันแน่เพคะ?”
“ขอเชิญแม่นางออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งเถิด”
องค์ชายเจ็ดทำท่าทางเชื้อเชิญ หลังจากนั้นเขาก็หยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปทางสนามหญ้าหลังโรงหมอ
ราวกับว่าที่นี่เป็นโรงหมอของเขากระมัง นับว่าองค์ชายช่างคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีเสียเหลือเกิน
หลังจากสั่งการซางจือกับเจี้ยงเซียงแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็เดินตามองค์ชายเจ็ดไป “ถูกพระองค์ก่อกวนจนวุ่นวายถึงเพียงนี้ คนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าย่อมไม่เพียงพอจึงไม่มีคนมาช่วยจัดชาต้อนรับแขก ดังนั้นขอให้องค์ชายเจ็ดได้โปรดอย่าถือสา”
แต่แม้ว่าจะมีคนพอ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะจัดน้ำชาให้เขาอยู่ดี นางยังจำได้ดี ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเห็นพี่หญิงเซิงเอ๋อร์ก็คือตอนที่ภัตตาคารอาหารตะวันตกของนางเปิดเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หากนางไม่มั่นใจว่านั่นคือพี่หญิงเซิงเอ๋อร์ละก็ นางคงคิดว่าสตรีนางนั้นเป็นพี่สาวฝาแฝดของนางแน่
หญิงสาวผ่ายผอมเกินไป ร่างทั้งร่างผ่ายผอมจนไม่งามตา หากอิงตามที่เซิ่งเอ๋อร์เอ่ย องค์ชายเจ็ดไม่ได้ไปเยี่ยมนางที่อวี้เซิงจีมาเกือบเดือนแล้ว ราวกับว่าเขาลืมนางไปจนหมดสิ้นแล้วก็ไม่ปาน เพราะความคิดถึงคะนึงหา เซิงเอ๋อร์จึงไม่กินไม่ดื่มไม่นอนไม่พัก เฝ้าคอยยืนชะเง้อเมียงมองอยู่ที่หน้าประตูทุกวันจนเกือบจะทำให้ตนเองกลายเป็นหินภรรยาผู้ภักดีไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยของหลิงมู่เอ๋อร์ องค์ชายเจ็ดแย้มสรวล ก่อนส่ายศีรษะ “เจ้ากำลังโกรธแทนเซิงเอ๋อร์จึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันย่อมมิกล้าเพคะ” แม้ว่าปากของนางจะเอ่ยว่ามิกล้า ทว่าท่าทางของนางกลับหยิ่งผยอง เปี่ยมไปด้วยท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน “องค์ชายเจ็ดทรงเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ส่วนเซิงเอ๋อร์กับหม่อมฉันก็เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น จะกล้าปฏิบัติกับพระองค์อย่างไม่ใส่ใจได้อย่างไรเล่าเพคะ?”
“เรื่องนี้ข้าย่อมมีเหตุผลส่วนตัวของข้าเอง รอให้แผนของข้าสำเร็จเสร็จสิ้น ข้าจะอธิบายให้นางฟัง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำท่าทางโหดเหี้ยมยามเอ่ยกับเปิ่นหวางเช่นนี้” องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นชาไม่น้อย
“แผนอันใดที่มิอาจเอ่ยกับนางได้ตรงๆ นางเป็นที่ปรึกษาและปีกของพระองค์มาตลอดมิใช่หรือเพคะ? การที่จู่ๆ พระองค์ก็ทรงโยนนางทิ้งข้างทาง ราวกับว่าทิ้งขยะก็ไม่ปานเช่นนี้ พระองค์ทรงเคยคิดหรือไม่ว่าเซิงเอ๋อร์จะใช้ชีวิตหนึ่งวันยาวนานราวหนึ่งปี? หรืออีกนัยหนึ่ง พระองค์ก็เหมือนกับคนอื่นๆ เพื่อเป้าหมายของตนเองแล้วก็สามารถเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุดได้”
“สามหาว!”
องค์ชายเจ็ดระเบิดโทสะ “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะปล่อยผ่านคำพูดของเจ้าเพียงเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของเจ้ากับเซิงเอ๋อร์ ข้าขอแนะนำเจ้า เรื่องของพวกข้าทั้งสองคน ทางที่ดีที่สุดเจ้าไม่ควรเข้ามาสอดมือ หากไม่รู้อะไรชัดเจนก็อย่าได้ตัดสินคนอื่นตามอำเภอใจ”
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางโอหังและถือดี “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา มิกล้าอาจเอื้อมเทียบเคียงเสมอชั้นกับองค์ชาย และโรงหมอของหม่อมฉันเองก็โกโรโกโสเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมาะกับบารมีอันยิ่งใหญ่ขององค์ชายเจ็ด ดังนั้นแล้วเชิญองค์ชายเจ็ดเสด็จกลับไปเถิดเพคะ”
นางเอียงกายก่อนจะทำท่าทางผายมือให้ออกไป
องค์ชายเจ็ดก้าวเข้าไปข้างหน้า เก็บรอยยิ้มเป็นมิตรทั้งหมดในอดีตกลับคืน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดั่งน้ำแข็ง “ที่ผ่านมาข้ามอบสีหน้าดีๆ แก่เจ้าหลายส่วน เจ้าจึงคิดว่าข้าเป็นองค์ชายที่คุยง่ายใช่หรือไม่? เจ้าคงไม่รู้นิสัยของข้า หากข้าต้องการจัดการเจ้าจริงๆ เจ้าคิดว่าแค่อาศัยซูเช่อกับซั่งกวนเซ่าเฉินก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ไว้วางใจมากที่สุดคนนั้น ยามนี้กลับไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”
ขบฟันกรอดด้วยความข่มขู่คุกคาม ดวงตากระหายเลือดคู่นั้นราวกับจะสังหารนางให้ตาย
ทว่าถึงอย่างนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่กลัวเลยแม้แต่นิด นางเงยหน้าขึ้นมองเขา สบประสานสายตากับเขาด้วยรังสีสังหาร “จวนมหาเสนาบดีเคยทำร้ายหม่อมฉัน องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์กับซูกุ้ยเฟยก็เคยทำร้ายหม่อมฉัน จวิ้นจู่องค์ปัจจุบันก็เคยทำร้ายหม่อมฉันเฉกเช่นเดียวกัน โจรก็เคยจับหม่อมฉันมาแล้ว คุกก็เคยอยู่มาแล้ว องค์รัชทายาทก็เคยถูกทำให้ไร้ประโยชน์มาแล้ว หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าองค์ชายเจ็ดยังมีแผนการอันใดอีก แน่นอนว่าไม่ว่าแผนการใด หม่อมฉันย่อมไม่มีทางเกรงกลัวหรอกเพคะ!”
ไม่เคยมีสตรีนางใดที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ต่อหน้าเขา
รังสีสังหารสาดประกายในดวงตาขององค์ชายเจ็ด
หากมิใช่เพราะหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้มีประโยชน์ต่อเขานัก การยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในวันนี้ แค่อาศัยคำพูดนี้ของนาง พฤติกรรมที่กล้าหาญเช่นนี้ของนาง ศีรษะของนางคงจะถูกบั่นออกแล้ว!
“ช่างมันเถิด นับว่าเป็นความผิดของข้าเอง ข้ามาที่นี่เพื่อชดเชยให้แก่เจ้า” องค์ชายเจ็ดระงับความโกรธในใจไว้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้ที่ทำการใหญ่สำเร็จต้องรู้จักยืดและหดได้ องค์ชายเจ็ดผู้นี้ไม่รู้ว่ายาชนิดใดที่ขายในน้ำเต้า [1] ทว่าทันทีที่นางนึกถึงความทุกข์ทรมานในปัจจุบันของเซิงเอ๋อร์ โทสะของหลิงมู่เอ๋อร์กลับลุกโชติช่วงแทนที่จะมอดไหม้ลง
“คนที่องค์ชายเจ็ดควรชดเชยให้ มิใช่หม่อมฉัน”
เชิงอรรถ
[1] ไม่รู้ว่ายาชนิดใดที่ขายในน้ำเต้า ความหมายของสำนวน คือ (ใครสักคน) ในใจมีความคิดหรือแผนการอะไรบางอย่างที่เราไม่ทราบ