เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 179 เปิดกิจการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 6 บทที่ 179 เปิดกิจการ
เล่มที่ 6 บทที่ 179 เปิดกิจการ
“จันทราในวันขึ้นสิบหกค่ำคือจันทร์เต็มดวง ร้านอาหารที่เปิดใหม่มีนามว่า ฮวาห่าวเยว่หยวน”
“ยินดีต้อนรับแขกทุกท่านมาเยือน พวกท่านสามารถลิ้มลองพิซซ่าและสเต๊กเนื้อวัวได้ตามอัธยาศัย”
“วันนี้เถ้าแก่อารมณ์เบิกบาน ราคาอาหารจึงพิเศษสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน”
การร่ายรำที่กระโดดโลดเต้นไปมาช่วงหนึ่ง บวกกับการแรปของนักพูดที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ในภัตตาคารอาหารตะวันตก ฮวาห่าวเยว่หยวน เต็มไปด้วยผู้คน กิจการยิ่งคึกคักอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและในอนาคตก็คงไม่อาจเกิดขึ้นอีก
เนื่องจากมีคนช่วยงานไม่พอ แม้แต่จวิ้นอ๋องน้อยก็ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ดึงไปต้อนรับแขกที่หน้าประตูแล้ว เจาหยางจวิ้นจู่และหลิงจือเซวียนก็ทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ชั่วคราวเช่นกัน คล้ายว่าทุกคนจะงานยุ่งจนเหงื่อโชกชุ่มกายแล้ว
เปิดภัตตาคารอาหารตะวันตกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ประเภทของอาหารนั้นมีเอกลักษณ์ที่พิเศษเฉพาะ ยังมีเหล่าจวิ้นอ๋องและองค์หญิงทั้งหลายมาร่วมเป็นเกียรติแก่งาน ราวกับว่าเหล่าผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็มาร่วมงานแล้ว
เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายเมื่อเห็นว่าซูเช่อยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตู ยิ่งแย่งกันเบียดเสียดเข้ามา ในระหว่างนั้นไม่รู้ว่าจวิ้นอ๋องน้อยได้ถูกเอาเปรียบล่วงเกินไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
“ในเมื่อรับปากข้าว่าจะมาทำหน้าที่เป็นคนต้อนรับแขก ก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุด จวิ้นอ๋องน้อย พวกเราต้องยิ้มนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์วางนิ้วชี้ลงบนมุมปากทั้งสองข้าง “ท่านเลียนแบบตามข้า ต้องยิ้ม”
ซูเช่อหลบมืออวบอ้วนข้างหนึ่งที่ยื่นมาอีกครั้ง ในยามที่หมุนกายมานั้น ก็ถลึงตาใส่นาง “ดีเหลือเกินหลิงมู่เอ๋อร์ เปิ่นจวิ้นหวางมาอวยพรให้เจ้าด้วยความใจดี เจ้ากลับให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความน่ายำเกรงในยามปกติของเปิ่นจวิ้นหวางถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว”
มิรู้ว่าเป็นคุณหนูบ้านใดใช้ข้ออ้างจะถามเรื่องชื่ออาหารหวังจะจุมพิตเข้ามา ซูเช่อรีบคลี่พัดออกบังอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ “พูดสิ เจ้าคิดชดเชยให้ข้าอย่างไร?”
“จวิ้นอ๋องน้อยสละกายเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ข้าช่วยชีวิต ในใจของมู่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก นับแต่นี้ท่านและข้าต่างฝ่ายต่างไม่ติดค้างกันแล้ว เป็นอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะและกะพริบตา
วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีดอกท้อตลอดร่าง พลิ้วไสวอย่างอ่อนโยน แม้จะยืนอยู่ในหมู่สตรีก็ยังสะดุดตาเป็นพิเศษ ยามยืนอยู่ข้างกายของซูเช่อ บุรุษยิ่งสง่างามสตรียิ่งเฉิดฉัน มิเพียงดึงดูดเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์จำนวนมาก แต่ยังทำให้เหล่าคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็พากันเมียงมองมา
“ก่อนหน้าวันนี้ ข้าเคยคิดจริงๆ ว่าจะปล่อยเจ้าไป แต่หลังจากวันนี้ อย่าได้คิดหวังไปเลย!”
เพิ่งกล่าวจบ ซูเช่อพลันถูกมือที่แข็งแกร่งทรงพลังข้างหนึ่งดึงออกไปอย่างกะทันหัน เห็นเพียงสตรีที่อวบอ้วนนางหนึ่งดันกายเข้ามาเบื้องหน้าของเขา “สวัสดีจวิ้นอ๋องน้อย ข้าคือบุตรสาวคนโตของภริยาเอกแห่งเรือนค้าหยก ชื่นชมจวิ้นอ๋องท่านมานานแล้ว ขอจวิ้นอ๋องโปรดให้เกียรติดื่มชากับข้าสักหน่อยเถิด?”
ซูเช่อกำลังคิดจะปฏิเสธ มือของหลิงมู่เอ๋อร์ทุบลงบนฝ่ามือ “ได้สิ ห้องรับรองชั้นสองมีห้องว่างห้องหนึ่งพอดี แม่นาง เชิญท่านด้านใน”
มิรอให้ซูเช่อบันดาลโทสะ คนก็ถูกสตรีอวบอ้วนกึ่งลากกึ่งจูงพาตัวไปแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาให้อย่างทะเล้น “จวิ้นอ๋องน้อย ท่านต้องต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของข้าดีๆ นะเจ้าคะ”
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินติดต่อกันอยู่สามวันสามคืน ราวราษฎรทั้งหมดในเมืองหลวงต่างก็รู้จัก ภัตตาคารอาหารตะวันตกที่ชื่อว่า ‘ฮวาห่าวเยว่หยวน’ แห่งนี้แล้ว
ในยามที่กิจการได้รับความนิยมอย่างที่สุดนั้น ด้านนอกประตูมีการต่อแถวยาวถึงหนึ่งร้อยลี้ เห็นได้ชัดว่าอาหารได้รับความชื่นชอบจากผู้คนมากเพียงใด
“มู่เอ๋อร์ ความคิดของเจ้านั้นดีมากเหลือเกิน อาหารประเภทนี้ไม่เพียงรสชาติอร่อย ราคายังสูงมาก จุดสำคัญคือลูกค้ายังไม่ต่อรองราคาอีก นี่เพิ่งผ่านไปสามวัน ก็มีรายได้เท่ากับร้านอาหารของเราครึ่งเดือนแล้ว ทำเอาท่านลุงเช่นข้าจะโมโหแล้ว”
คืนก่อนที่ภัตตาคารอาหารตะวันตกจะเปิดทำการ ทุกคนได้พูดกันเรียบร้อยแล้วว่า วันหลังร้านอาหารมีท่านลุงเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนภัตตาคารอาหารตะวันตกมีหลิงต้าจื้อเป็นผู้ดูแล สิ้นปีมาเปรียบเทียบกำไรสุทธิกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปท่านลุงจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
แม้จะบอกว่าโมโห แต่บนใบหน้าของท่านลุงกลับแขวนรอยยิ้มที่ปิดปากไม่ลงไว้ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามิได้กล่าวออกมาจากใจจริง
“นั่นสิ นี่กำลังคนไม่พอจนทำให้ร้านอาหารและโรงหมอต้องหยุดกิจการแล้ว คุณหนู พวกเราจะไปซื้อบ่าวรับใช้จากที่ทำการมาเพิ่มอีกสักหลายคนหรือไม่เจ้าคะ?”
ในยามที่ซางจือนำสเต๊กเนื้อวัวที่หนึ่งไปส่งที่ดาดฟ้าก็เตือนนางอย่างปรารถนาดี ราวกับเสียงพูดเพิ่งจบลง รองพ่อครัวหลี่ที่รับผิดชอบเรื่องขนมก็ออกมาจากห้องครัวพร้อมเหงื่อเต็มศีรษะ “ได้ยินเด็กทำความสะอาดที่ร้านอาหารเก่าของข้าบอกว่า สองสามวันมานี้ แขกทั้งหมดล้วนมาที่นี่หมดแล้ว ร้านอาหารข้างนอกแปดส่วนล้วนว่างเปล่า คุณหนู ท่านเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิด นับถือ พวกเรานับถือเหลือเกินขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือ มิกล้ารับคำชมเช่นนี้จากพวกเขา
เห็นด้านนอกยังมีผู้คนจำนวนมากต่อแถว หลิงมู่เอ๋อร์รีบนำแผ่นป้ายหมายเลขที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วส่งให้เจี้ยงเซียง ให้นางแจกจ่ายออกไป
ลูกค้าเยอะกิจการคึกคักเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเป็นเพราะผู้คนมากจนทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหล ก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
แม้วันนี้จะมีจวิ้นอ๋องจวิ้นจู่ช่วยแบกรับสถานการณ์เป็นหน้าเป็นตาให้นาง แต่คำพูดเมื่อครู่ของรองพ่อครัวหลี่ก็ได้เตือนสตินาง นางแย่งกิจการของคนจำนวนมากขนาดนั้น ยากจะเลี่ยงมิให้คนริษยาจนตาแดง พวกนางจะต้องเพิ่มความระมัดระวังจึงจะได้
คล้ายความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นในสมอง จูชีที่รับผิดชอบการเก็บเงินชั่วคราววิ่งหายใจหอบขึ้นมาจากชั้นล่าง
“มู่เอ๋อร์ เจ้ารีบลงไปดูเถิด พวกเราไปสร้างปัญหาเข้าแล้ว”
ทุกคนประหลาดใจพร้อมกัน รอยยิ้มที่ยังสดใสเมื่อครู่แข็งค้างอยู่บนใบหน้า รีบลงไปชั้นล่างอย่างเร่งร้อน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้ดูแลของพวกเจ้าเล่า ผู้ดูแลรีบไสหัวออกมาให้ข้า นี่มันของอะไรกัน เชื่อหรือไม่ว่าทำให้คนกินแล้วตายน่ะ?”
ชายฉกรรจ์ร่างกายล่ำสันที่แต่งกายอย่างสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ยืนอยู่กลางห้องส่วนตัวชั้นสอง ร้องตะโกนเรียกเสียงดัง ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมานับไม่ถ้วน
ซูเช่อและหลิงจือเซวียนที่คอยแอบคุ้มกันอย่างลับๆ อยู่ตลอดจะออกหน้าแก้ไขปัญหา หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาว่าอย่าได้ร้อนใจให้กับพวกเขา
นางประดับรอยยิ้มที่อ่อนโยนตรงมาตรฐาน เดินไปหาบุรุษผู้นั้น
“ข้าก็คือผู้ดูแลของฮวาห่าวเยว่หยวน มิทราบว่าแขกท่านนี้รับประทานอาหารของร้านเราแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นหรือ ผู้ใดเสียชีวิตหรือ พวกเราจะได้แจ้งความ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นหญิงงามเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็ตะลึงไป แต่เขาก็ระลึกถึงเป้าหมายในวันนี้ของตนได้อย่างรวดเร็ว จึงชี้ไปที่อาหารที่อยู่ข้างกายในห้องอาหาร “อีกนิดเดียวก็มีคนตายแล้ว หากข้าตายไปจริงๆ เป็นผีก็ไม่มีทางปล่อยพวกเจ้า”
เขายกสเต๊กเนื้อวัวชุดหนึ่งขึ้นมา “ทุกคนต่างก็มาลองดู ของที่เรียกว่าสเต๊กเนื้อวัวอะไรนี่ ด้านบนมีแมลงสาบ สเต๊กเนื้อวัวชุดหนึ่งมีราคาถึงห้าตำลึงเต็ม ราคาที่สูงเทียมฟ้าเช่นนี้ ยังมีของสกปรกแบบนี้อีก นี่มิใช่ร้านมิจฉาชีพหรือ?”
คำนี้เพิ่งกล่าวจบ ก็มีคนยื่นศีรษะออกมาชมดูสถานการณ์ และก็มีคนกลับไปสำรวจอาหารบนโต๊ะของตนอย่างละเอียด มีบางคนกำลังอาเจียน มีบางคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์
ที่สามารถมาทานอาหารที่นี่ได้หากมิใช่ผู้ที่ร่ำรวยก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะ วันนี้หากถูกคนผู้นี้ทำให้วุ่นวาย ในอนาคตต้องทำกิจการอย่างยากลำบากอย่างแน่นอน หัวคิ้วของหลิงมู่เอ๋อร์ขมวดแน่น ขณะกำลังคิดจะก้าวเข้าไปจัดการ รองพ่อครัวหลี่ที่รับผิดชอบเรื่องของหวานพลันมุดเข้าไปในกลุ่มคนอย่างกะทันหัน
“โอ้ นี่มิใช่อู๋จั่งกุ้ย[1] ของร้านฝูหมั่นโหลว[2] หรือ เหตุใดวันนี้จึงให้เกียรติมากินข้าวที่ฮวาห่าวเยว่หยวนของพวกเราได้ ท่านบอกว่าบนสเต๊กเนื้อวัวมีแมลงสาบ อยู่ที่ใดกัน ข้าขอดูหน่อย?”
“นั่น แมลงสาบตัวใหญ่ถึงเพียงนี้เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร” ชายที่ถูกเรียกว่าอู๋จั่งกุ้ยยื่นสเต๊กเนื้อวัวเข้าไปในมือของรองพ่อครัวหลี่
บนสเต๊กเนื้อวัว แมลงสาบที่ยังมีชีวิตยังคงคืบคลานอยู่ หลังจากรองพ่อครัวหลี่เหลือบมองครั้งหนึ่ง พลันชี้ไปบนท้องฟ้าร้องขึ้นเสียงดังอย่างกะทันหัน “ทุกคนดูสิ” หลังดึงดูดสายตาของทุกคนไปได้สำเร็จแล้ว เขารีบก้มศีรษะลงนำแมลงสาบไปซ่อน รอจนคนทั้งหมดไม่เห็นสิ่งใดที่น่าประหลาดแล้วได้สติกลับมา เขาก็ยิ้มมองอู๋จั่งกุ้ยอย่างเบิกบาน
“ขออภัยด้วย ตัวข้านั้นสายตาไม่ดี มองไม่เห็นแมลงสาบใดๆ จริงๆ ขอรบกวนถามว่าอยู่ที่ใดหรือ?”
เจ้าตัวน้อยน่ารักที่เมื่อครู่ยังคลานไต่ไปมาอยู่ชัดๆ เหตุใดจึงหายไปแล้ว?
อู๋จั่งกุ้ยมองไปรอบๆ ทั้งซ้ายและขวา แม้แต่บนพื้นก็ยังหาอย่างรอบคอบ จากนั้นก็ชี้และตะคอกใส่เขาอย่างโมโห “เจ้า เป็นเจ้าเล่นลูกไม้ เป็นเจ้าเอาแมลงสาบไปซ่อนแล้ว!”
“ข้าก็มิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงแมลงสาบ ข้าจะซ่อนเจ้าของสิ่งนั้นไปเพื่ออันใด? เหตุใดบนโต๊ะของผู้อื่นไม่มีแมลงสาบ แต่บนอาหารของท่านกลับมีเล่า?” รองพ่อครัวหลี่เค้นถาม จากนั้นใช้สายตามองไปที่ทุกคน “ต้องขออภัยแขกทุกท่านด้วย ท่านนี้คือผู้ดูแลอู๋ของร้านฝูหมั่นโหลว เมื่อก่อนข้าก็เคยเป็นพ่อครัวในร้านอาหารของเขา คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมร้ายกาจ ในอดีตนั้นยามที่ร้านอาหารที่เปิดด้านข้างแย่งการค้าไป เขาก็มักจะใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายต้องล้มเลิกกิจการ หากทุกท่านไม่เชื่อสามารถค้นตัวเขาได้ ในถุงผ้าของเขาจะต้องยังมีแมลงสาบอย่างแน่นอน”
รองพ่อครัวหลี่กล่าวด้วยความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอก “ข้าเห็นว่าวันนี้เขาได้มากินข้าว แต่ที่จริงแล้วมาหาเรื่องต่างหาก”
คำนี้เมื่อกล่าวออกมา ทุกคนล้วนเข้าใจขึ้นมาทันใด
หลิงมู่เอ๋อร์รีบส่งสายตาให้เด็กรับใช้สองสามคน สองคนจับตัวอู๋จั่งกุ้ยไว้ ค้นขวดใบหนึ่งออกมาจากตัวเขาได้อย่างที่คิดจริงๆ
“คุณหนู ในนี้มีแมลงสาบเต็มไปหมดเลยขอรับ”
เห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดโปง อู๋จั่งกุ้ยก้าวเท้าได้ก็วิ่งหนีทันที น่าเสียดายที่ด้านหลังของเขามีจวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อที่ฝีมือไม่ธรรมดายืนอยู่
“ต่อหน้าต่อตาผู้คนเช่นนี้ ใส่ร้ายป้ายสีผู้ที่ทำการค้าในวงการเดียวกัน หากวันนี้ เปิ่นจวิ้นหวางไม่ช่วยทุกคนกำจัดอธรรม ก็จะเป็นการเหยียบย่ำต่อชุดขุนนางชุดนี้แล้ว” ส่งสายตาให้จื่อถง “พาตัวไป ส่งไปที่จวนของผู้ว่าการเมือง”
คนถูกพาตัวไปแล้ว แต่ยังสามารถได้ยินเสียงร้องวิงวอนของอู๋จั่งกุ้ยอยู่
การก่อความวุ่นวายฉากหนึ่งจบลง เพื่อเป็นการปลอบขวัญทุกคน หลิงมู่เอ๋อร์ให้คณะละครที่ปิดงานไปเรียบร้อยแล้วแสดงการร้องเล่นเต้นรำให้ทุกคนชมอีกชุดหนึ่ง บรรยากาศที่ครึกครื้นเมื่อครู่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มองรองพ่อครัวหลี่อย่างชื่นชม “ของที่กินยากเช่นแมลงสาบท่านกลับกินลงไปได้ รองพ่อครัวหลี่ มู่เอ๋อร์ขอบคุณท่านที่เมื่อครู่ก้าวออกมาเพื่อคุณธรรม”
รองพ่อครัวหลี่ลูบท้ายทอยอย่างซื่อๆ “คุณหนูไม่ต้องเกรงใจข้าขอรับ ท่านให้เงินข้ามากมายถึงเพียงนั้น ให้ข้าเป็นพ่อครัว นั่นเป็นการเห็นคุณค่าของข้า นอกจากนั้น อู๋จั่งกุ้ย คนผู้นั้นยังเป็นอันธพาลไร้เหตุผลในวงการร้านอาหาร เมื่อก่อนตอนทำงานกับเขาถูกเขารังแกไว้ไม่น้อย การกระทำที่ต่ำช้าเช่นนั้น ข้าขัดตามานานแล้วขอรับ ถือโอกาสนี้สามารถสั่งสอนเขาได้ เป็นเรื่องที่ทำให้คนสะใจอย่างมากขอรับ”
สร้างผลงานเพื่อภัตตาคารอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับยังไม่เรียกร้องผลงาน หลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชมความซื่อสัตย์นี้ของเขา
“ผลงานที่ท่านทำข้าล้วนจดจำไว้ในใจ เช่นนี้แล้วกัน นับจากวันนี้ ขอเพียงเป็นการสร้างผลงานให้ภัตตาคาร มิว่าจะเป็นพ่อครัวหรือเด็กรับใช้ ในยามสิ้นปีล้วนจะมีรางวัลให้ อย่างน้อยที่สุดห้าสิบตำลึง สูงสุดห้าร้อยตำลึง ทุกคนจงมีกำลังใจ ตั้งใจทำงานให้ดี”
เมื่อได้ยินจำนวนห้าร้อยตำลึงนี้ ทุกคนก็ตะลึงงันไปแล้ว พากันโห่ร้องเสียงดังแล้วกลับไปประจำที่ตำแหน่งของตน
หลิงมู่เอ๋อร์พาท่านพ่อและจูชีกลับไปยังชั้นหนึ่งคิดจะกำชับบางสิ่ง ในยามที่เดินไปถึงทางเลี้ยว ก็เห็นพ่อครัวใหญ่จางกำลังถูกชายสองคนล้อมอยู่อย่างเลือนราง จูชีคิดจะเอ่ยปากเตือน แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ยื่นมือห้ามไว้ นางทำสัญลักษณ์มือเป็นการให้เงียบเสียง
“จางฉี่ฟา เจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เจ้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ไปที่ร้านอาหารของข้า ช่วยข้าเปิดร้านอาหารตะวันตกแบบนี้ขึ้นมาอีกร้านเถอะ รับรองว่าไม่มีทางทำให้เจ้าต้องเสียเปรียบแน่”
ชายอีกผู้หนึ่งยื่นนิ้วออกมาห้านิ้ว “เมื่อก่อนเจ้าทำงานที่ร้านอาหารของข้า หนึ่งเดือนได้สองตำลึง ครานี้ข้าให้เจ้าห้าตำลึง”
ชายอีกคนหนึ่งหยิบถุงผ้าออกมา หลังชั่งน้ำหนักอยู่สองสามครั้งก็ยัดเข้าไปในมือของพ่อครัวใหญ่จาง “ถูกแล้ว ยังมีหัวหน้าพ่อครัวคนอื่นเจ้าก็เรียกมาด้วย นำอาหารที่พวกเจ้าเรียนรู้จากที่นี่ ขอเพียงมาก็ได้เงินเดือนห้าตำลึงทั้งหมด รับรองว่าในอนาคตพวกเจ้าจะไม่ลำบากเรื่องปากท้องเครื่องนุ่งห่มอีก เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เชิงอรรถ
[1] จั่งกุ้ย เป็นตำแหน่งผู้ดูแล หรือ ผู้จัดการร้าน
[2] ฝูหมั่นโหรว มีความหมายว่า วาสนาเต็มอาคาร