เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 177 ไม่ไป
เล่มที่ 6 บทที่ 177 ไม่ไป
วังหลัง
หวางโฮ่วเหนียงเหนียงนั่งอยู่บนแท่นบรรทมหงส์ฟังขันทีรายงานด้วยบุคลิกที่อ่อนโยนใจกว้าง
“เหนียงเหนียง ช่วงนี้ไท่จื่อทรงถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนัก มิได้ออกไปข้างนอก และก็มิได้ส่งคนไปที่จวนจวิ้นอ๋อง ทุกสิ่งดุจคลื่นลมสงบนิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“สงบนิ่ง?” หวางโฮ่วเย้ยหยัน เกรงว่าจะเป็นความสงบก่อนพายุจะมากระมัง
อาจเป็นเพราะนอนพอแล้ว หวางโฮ่วเหนียงเหนียงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน มีมัวมัวเข้าไปประคองร่างของนางทันที “เหนียงเหนียง จะทรงเสวยพระกระยาหารเย็นยามนี้หรือไม่เพคะ?”
“ปมในใจยังมิได้สะสาง จะกินอะไรกัน มิได้ยินพระดำรัสที่ฝ่าบาททรงตรัสในวันนี้หรือ ต่อให้ทรงคิดจะมอบโอกาสให้องค์ชายหกและองค์ชายเจ็ด แต่ก็ยังมิได้ทรงละทิ้งเจ้าคนที่ไร้ทั้งฐานะและตำแหน่งนั่น” เมื่อคิดถึงแล้วนางก็โมโห
หมุนกายไป สายตาที่เยียบเย็นสบเข้ากับขันที “ไป ส่งคนไปเฝ้าไท่จื่อไว้ให้ข้าต่อ ไม่ ยามนี้ควรเรียกองค์ชายสาม ไม่ว่าเขาจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร จะต้องรายงานต่อข้าในทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง”
“พ่ะย่ะค่ง พ่ะย่ะค่ะอะไรกัน คำพูดของเปิ่นกงยังพูดไม่จบ” หวางโฮ่วทรงไม่พอพระทัยความอวดฉลาดของขันทีอย่างมาก “เป็นไท่จื่อมานานหลายปีถึงเพียงนี้ พลันมีวันหนึ่งต้องถูกปลดเพราะสตรีนางหนึ่งอย่างกะทันหัน ไท่จื่อจะต้องไม่ยอมแพ้เป็นแน่ ไม่เพียงต้องคอยเฝ้าดูเขาไว้ ทุกสิ่งในตำหนักของเขานับจากบนลงล่าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือข้ารับใช้ ล้วนเฝ้าไว้ให้ดี ต่อให้มีแม้แต่แมลงวันตัวหนึ่งบินออกไป จงมารายงานเปิ่นกงทั้งหมด รู้หรือไม่”
ขันทีตะลึงไป ในไม่ช้าก็เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของหวางโฮ่ว “เหนียงเหนียงโปรดทรงวางพระทัย ที่บ่าวจัดไปล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ คอยเฝ้าคุมทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดใดขึ้นเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“เยี่ยงนั้นก็ดี” หวางโฮ่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ยังมีจวนจวิ้นอ๋อง ก็หาสองสามคนไปเฝ้าให้ข้าด้วย หากมีโอกาสก็…” คำพูดส่วนหลัง นางมิได้พูดจนจบ ก็ทำสัญลักษณมือเป็นท่าปาดคอให้ขันที
เห็นได้ชัดว่า ขันทีคิดไม่ถึงว่าหวางโฮ่วเหนียงเหนียงถึงกับให้เขาสังหารคน เขาตัวสั่นคุกเข่าลงกับพื้น “เหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ จวนจวิ้นอ๋องนั้นมียอดฝีมือมากมายประดุจเมฆ โดยเฉพาะจวิ้นอ๋องน้อย ยามปกติแม้จะดูไม่จริงจังไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีฝีมือไม่ธรรมดา พวกเราเคยเสียเปรียบมาหลายครั้งนักพ่ะย่ะค่ะ”
มิผิด ในตอนนั้น เมื่อได้รู้ว่าซูเหล่าฟูเหรินช่วยสตรีวิปลาสนางนั้นไป นางก็ได้ส่งคนไปลอบสังหารหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จมาก่อน ครั้งที่ร้ายแรงที่สุด ผู้ที่นางส่งไปตายทั้งกองกำลัง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาแม้แต่คนเดียว ต่อมาเมื่อทำการสืบข่าวจึงได้รู้ว่า ล้วนสิ้นชีพอยู่ในมือของซูเช่อ
“ซูเช่อ” ดวงตาที่ทรงพลังร้ายกาจของหวางโฮ่วกลอกไปมา “เมื่อก่อนข้าดูถูกเขาเกินไป เขาไม่เพียงไม่คล้อยตามมติของจวนจวิ้นอ๋อง ถึงกับมีเจตนาจะเป็นปรปักษ์กับข้าด้วย”
หวางโฮ่วหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตามีไอสังหารลอยขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อก่อน ข้าไม่เอาความกับเด็กคนนั้น คิดว่าขอเพียงเขาไม่เป็นปรปักษ์กับข้าก็พอแล้ว แต่บัดนี้ เพื่อหลิงมู่เอ๋อร์นังเด็กตัวร้ายคนนั้น หลายครั้งหลายคราที่เขาต่อต้านข้า ก็เป็นเวลาที่ควรสั่งสอนเขาแล้ว”
“ความหมายของเหนียงเหนียงคือ?”
“เรื่องที่องค์หญิงใหญ่ทำในปีนั้น อย่าได้คิดว่าปิดบังคนทั่วทั้งแผ่นดินได้ นางคิดอยากปิดบังไปชั่วชีวิตยิ่งเป็นไปไม่ได้ ส่งคนไปตรวจสอบ ไม่ว่าจะนานเพียงใด ข้าจะต้องหาพยานของเรื่องนั้นออกมาให้ได้”
ราวกับได้เห็นผลลัพธ์สุดท้ายของซูเช่อในอนาคต หวางโฮ่วโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ “ซูเช่อมิใช่มีเจตนาช่วยหลิงมู่เอ๋อร์หรือ ข้าจะรอดู หลังจากเรื่องนั้นถูกประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว เขาจะยังมีฐานะใดไปปกป้องนาง!”
“พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ราวกับได้สะสางปมในใจเรื่องใหญ่ไปเรื่องหนึ่ง หวางโฮ่วทรงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง “อื้ม ไม่ว่าเรื่องใดล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ความอยากอาหารก็เกิดขึ้นมาแล้ว มัวมัวไปจัดการให้ห้องครัวหลวงทำอาหารที่ถูกปากส่งมาสักสองสามอย่าง วันนี้เจ้าก็กินกับเปิ่นกงด้วย”
นางตบเบาๆ ไปที่มัวมัวชราที่ติดตามอยู่ข้างกายมานานหลายปี รอยยิ้มอ่อนโยนราวกับสายลมและแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ คล้ายย้อนกลับไปเป็นป้าเฉินผู้อ่อนโยนเป็นมิตรอีกครั้ง ทำให้คนลืมความร้ายกาจเมื่อครู่ไป
จวนสกุลหลิง
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์กลับมาก็เห็นทุกคนกำลังเก็บของ ด้านนอกประตูยังมีรถม้าจอดอยู่อีกหลายคัน
“ท่านแม่ นี่พวกท่านจะทำสิ่งใดกันเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นว่าเป็นบุตรสาวกลับมาแล้ว หยางซื่อชะงักการกระทำในมือไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบพุ่งเข้ามากอดนางไว้ “มู่เอ๋อร์ของข้า มู่เอ๋อรที่น่าสงสารของข้าในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว รีบให้แม่ดูว่ามีที่ใดบาดเจ็บหรือไม่?”
เมื่อได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์ถูกคุมขังเข้าไปในคุกหลวง เมื่อวานคนทั้งบ้านก็ไม่ได้นอนตลอดคืน หยางซื่อรีบวนรอบกายของนางอย่างร้อนรน เมื่อไม่เห็นบาดแผลแม้แต่ปลายเส้นขนจึงได้วางใจลง
ท่านยายเมื่อได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็รีบวางการกระทำในมือลง วิ่งออกมาจากในห้องอย่างเร่งร้อน “เป็นมู่เอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ? กลับมาแล้วจริงหรือ? เหตุใดจู่ๆ จึงได้ถูกขังเข้าไปในคุกหลวงได้เล่า ที่แท้เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
เดิมท่านพ่อกับท่านลุงกำลังจัดการเรื่องของชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่าสูง เมื่อได้ยินเสียงที่เรือนด้านหน้า คนทั้งสองสบตากันครั้งหนึ่งและก็รีบออกมาเช่นกัน เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มองทุกคนอย่างสงสัย แม้จะเป็นชายอกสามศอก ดวงตาก็ชื้นไปด้วยน้ำตา
“กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี มู่เอ๋อร์ เจ้าก็อย่าได้มัวยืนอยู่อย่างโง่งมเลยรีบไปจัดการที่ห้องเจ้าสักหน่อย ห้องของเจ้าพวกเราไม่กล้าแตะต้องส่งเดช พอเก็บแล้ว ก่อนฟ้าจะมืด พวกเราก็ออกเดินทางกัน”
ท่านยายลูบหยาดน้ำตาที่หางตาทิ้ง เร่งเร้าให้นางทำเวลา
หลิงมู่เอ๋อร์มีแต่ความมึนงงอยู่เต็มศีรษะ “จัดของอะไรกันหรือเจ้าคะ พวกเราจะไปที่ใด? เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้?”
“ไปจากเมืองหลวง เรื่องนี้ข้าคิดตกแล้ว พวกเราจะต้องจากไปทันที สถานที่ที่มีแต่ปัญหาและข้อพิพาทแห่งนี้ มิใช่ที่ที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราจะอยู่ได้ อันตรายเกินไปแล้ว คืนนี้จะต้องจากไปให้ได้!”
หยางซื่อหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ยากนักที่จะเห็นท่านแม่มีความคิดเป็นของตนเองเช่นนี้สักครา ในอดีตนางมักจะหลบอยู่ด้านหลังของสามีและบุตรชายอย่างอ่อนแอคล้อยตาม
เห็นได้ชัดว่าเมื่อวาน สำหรับพวกเขาแล้วเป็นผลกระทบเช่นใด
“ทุกคนหยุดความเคลื่อนไหวในมือให้หมดเจ้าค่ะ ไม่อนุญาตให้เก็บต่อแล้ว!” ยืนคอยาวออกไปสั่งการบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมด หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยก้มหน้าลงมองคนในครอบครัวอีกครั้ง “ท่านแม่ พวกเราไม่ไป!”
“ไม่ได้ ครั้งนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจฟังเจ้า!” หยางซื่อมีท่าทีเด็ดขาด
“เจ้าลองดูสิว่าช่วงนี้ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? เมื่อก่อนตอนที่พวกเราอยู่ในตัวอำเภอ มีปัญหาพวกนี้ที่ใดกัน ครั้งนี้หากไม่ไป ในอนาคตหากมีอันตรายอีกจะทำอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลังจากเจ้าเข้าไปอยู่ในคุกหลวงแล้ว พวกเราอดทนผ่านมาได้อย่างไร? มู่เอ๋อร์ แม่กับท่านยายของเจ้าอายุมากแล้ว รับความหวาดหวั่นเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า เมื่อคืนคนทั้งครอบครัวจะต้องน้ำตาอาบหน้าอดทนมาตลอดทั้งราตรี
แต่หากพวกเขาจากไปแล้ว จะสามารถไปที่ใดได้เล่า?
“ท่านแม่ ท่านฟังข้าพูด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ท่านดูข้าตอนนี้สิ มิใช่ยืนอยู่เบื้องหน้าของท่านเป็นอย่างดีหรือ? หากมีปัญหาจริงๆ แล้วละก็ ข้าจะออกมาจากคุกหลวงง่ายๆ ได้อย่างไร แน่นอนว่า หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็ไปถามจวิ้นอ๋องน้อยได้ ยังเป็นเขาที่ส่งข้ากลับมาด้วยตนเองนะเจ้าคะ”
หยางซื่อไม่ฟัง “ตอนนั้นที่ถูกคนใส่ร้ายว่าอาหารไม่สะอาดก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือ? เจ้าเกือบโดนไท่จื่อ…ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือ? จะมีความเข้าใจผิดมากมายเช่นนี้ที่ใดกัน แล้วครั้งหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีก? จะยังจะโชคดีได้รับความช่วยเหลือจากจวิ้นอ๋องน้อยเช่นนี้อีกหรือไม่?” หยางซื่อพูดไปพูดมาก็น้ำตาไหล
“มู่เอ๋อร์ พวกเราไปเถิด หลายปีมานี้ เงินที่พวกเราหาได้ก็พอแล้ว หากเจ้าไม่อยากกลับหมู่บ้านสกุลหลิง พวกเราก็ไปที่อื่นที่ใดก็ได้ เมืองหลวงนี้แม้ว่าจะดี แต่ไม่เหมาะกับราษฎรตัวเล็กๆ เช่นพวกเรา ฟังคำพูดของแม่ ดีหรือไม่?”
มีเสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะพยักหน้ารับปาก เพราะนางมองออกว่า ท่านแม่เป็นห่วงนางจากใจจริง
เมื่อครู่ระหว่างทางที่กลับมา นางก็ได้จินตนาการไปเช่นกัน ว่าหากหวางโฮ่วและไท่จื่อมาหาเรื่องนางอีกครั้ง หากฮ่องเต้หาเหตุผลอะไรมาเรียกนางเข้าวังอีก นางจะแก้ไขอย่างไร จะจัดการอย่างไร? แกล้งทำเป็นผีสางเทวดาอีกหรือ? หากมีคนสงสัยว่านางมีมิติ จะคิดว่านางเป็นปีศาจสาวหรือไม่?
แต่นางยังคงมิอาจตัดใจจากไป ที่นี่มีความฝันของนาง มีปณิธานของนาง
วังหลวงเป็นสถานที่ที่ผู้มีความสามารถมารวมตัวกับ เป็นเมืองศูนย์กลางของแผ่นดิน มีเพียงอยู่ที่นี่นางจึงจะสามารถพัฒนาความสามารถที่แท้จริงของนางออกมาได้
“ท่านแม่ พวกเราไปก็ได้ แต่ท่านทำใจแข็งทิ้งพี่ชายไว้ที่นี่คนเดียวได้หรือเจ้าคะ?” เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ดัง แต่เมื่อกล่าวก็ตรงประเด็น เพียงครั้งเดียวก็ทะลุไปถึงกลางใจของหยางซื่อ
“ร้านอาหารที่พวกเราสร้างกิจการขึ้นมาอย่างยากลำบากก็จะทอดทิ้งไปหมดหรือ ยังมีครอบครัวของอาจารย์จู เป็นพวกเราให้พวกเขาละทิ้งบ้านละทิ้งการงานมาติดตามพวกเรา ท่านจะให้พวกเขาทำอย่างไรในอนาคต? การเรียนของจืออวี้ก็จะทำอย่างไร การสอบเคอจวี่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เรื่องพวกนี้ท่านได้คิดถึงมาก่อนหรือไม่? ”
หลิงจือเซวียนในยามนี้เป็นบุตรเขยของจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ไม่อาจจากเมืองหลวงไปได้
กิจการร้านอาหารสกุลหลิงยังคงเป็นที่นิยมถึงเพียงนี้ จู่ๆ จะวางมือไม่สนใจ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
ยังมีท่านอาจารย์จู เขาได้ถ่ายทอดความรู้ที่ร่ำเรียนมาตลอดทั้งชีวิตให้เด็กทั้งสอง ก็จะโยนพวกเขาทั้งครอบครัวทิ้งออกไปเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นการเนรคุณแล้ว
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ไม่กี่คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์พูดเข้าไปถึงส่วนลึกในจิตใจของหยางซื่อ หัวใจที่ไม่ยอมสงบลงของนาง ในเสี้ยววินาทีก็พังทลายลงแล้ว
“แล้ว แล้วตอนนี้ควรทำเช่นใดเล่า? พวกเราคงไม่อาจทนมองเฉยๆ ได้ หากว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บในวันใดวันหนึ่งอีกกระมัง”
ที่พวกเขารู้สึกขอบคุณที่สุดก็คือบุตรสาว หากมิใช่เพราะบุตรสาว พวกเขาไม่อาจมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ได้ ไม่อาจได้เห็นภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง แต่พวกเขาไม่อยากให้บุตรสาวบาดเจ็บ เพียงอยากให้นางปลอดภัยสงบสุขเท่านั้น
“ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีก”
“แล้วถ้าเจ้าทำไม่ได้เล่า?”
“เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปกับท่าน ท่านอยากไปที่ใด พวกเราก็ไปที่นั่น ข้าจะไม่คัดค้านอีก ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ดวงตาที่สุกสว่างกระจ่างใสของบุตรสาวมองขอร้องวิงวอนนางอย่างน่าสงสาร ต่อให้ท่าทีของหยางซื่อจะเด็ดขาดอย่างไร ในเวลานี้ก็อ่อนลงแล้ว
“ถ้า ถ้าอย่างนั้นถือว่าพวกเราตกลงกันแล้ว”
“โอ้ เอาอย่างไรดี หรือท่านแม่ยังอยากให้มู่เอ๋อร์เขียนหนังสือหลักฐานรับรองไว้ดีหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกระเซ้า ทำให้หยางซื่อที่เมื่อครู่ยังน้ำตานองหน้าขำขึ้นมา
ยามนี้คนทั้งครอบครัวจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่จริงแล้วทุกคนต่างก็ตัดใจจากไปไม่ได้ อย่างไรการลงหลักปักฐานในสถานที่หนึ่งก็ไม่ง่ายเลย มีบ่าวรับใช้รีบยืดคอยาวออกมา “เช่นนั้น นายท่านและฮูหยินทุกท่าน พวกเราสามารถวางของกลับไปได้แล้วหรือไม่ขอรับ”
“วางๆๆ ยังตะลึงอะไรอยู่อีก เอามาจากที่ใดก็วางกลับไปที่นั่น เมื่อครู่พวกเจ้าลำบากแล้ว วันนี้เปิ่นเสียวเจี่ยวเพิ่มกับข้าวให้พวกเจ้า! และทุกคนมีรางวัลด้วย”
ปีใหม่ดีๆ ปีหนึ่ง ความสุขที่จะได้เฉลิมฉลองสลายเป็นผุยผงเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะเข้าครัวด้วยตนเอง ทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยกิน เพื่อปลอบประโลมจิตใจที่ได้รับความตื่นตระหนกของทุกคน
เมื่อได้ยินเจ้านายเอ่ยปาก เหล่าข้ารับใช้ที่เมื่อครู่ยังก้มหน้าถอนหายใจก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที พลางร้องตะโกน “ขอบคุณคุณหนูที่ประทานรางวัลขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งไปเบื้องหน้าของหลิงต้าจื้อ “ท่านพ่อนี่เป็นอาคารที่เมื่อคืนข้าไหว้วานให้จวิ้นอ๋องน้อยช่วยข้าหาเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ ท่านกับท่านลุงไปประเมินเสียหน่อย หากใช้ได้พวกเราก็ซื้อมาทันที เรื่องภัตตาคารอาหารตะวันตกคงต้องรีบทำแล้ว”
หลิงต้าจื้อตะลึงค้างไปแล้ว “ถึงจุดนี้แล้วพวกเรายังจะเปิดภัตตาคารอาหารตะวันตกอีกหรือ?”
หยางต้าหย่งก็มองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่อยากเชื่อเช่นกัน “เจ้าอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้คิดว่าจะให้จวิ้นอ๋องน้อยช่วยเจ้าออกไปอย่างไร แต่เป็นให้เขาช่วยเจ้าหาอาคารงั้นหรือ?”