เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 174 ผีหลอก
เล่มที่ 6 บทที่ 174 ผีหลอก
“เป็นผู้ใดทำกัน มู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเช่อที่ซื้อตัวผู้คุมเรียบร้อยแล้วรีบเร่งมา เห็นบนพื้นมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ นอนอยู่เต็มไปหมด คิ้วที่งดงามก็ขมวดเข้าหากัน แม้แต่เขาซึ่งเป็นบุรุษที่โตแล้ว เมื่อได้เห็น ก้นบึ้งของจิตใจยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ นางซึ่งเป็นสตรีบอบบาง เมื่อครู่อดทนผ่านมาได้อย่างไร
หลิงมู่เอ๋อร์ที่นอนหลับไปแล้วลืมตาที่ง่วงงุนขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของซูเช่อค่อยๆ ใกล้เข้ามา ก็เกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ
“จวิ้นอ๋องน้อย เหตุใดท่านจึงมาได้?” มองไปที่ด้านหลังของเขาอีกครั้ง มีข้ารับใช้ที่แต่งกายปลอมตัวมาอยู่ผู้หนึ่ง
“เร็ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากับนาง ข้าจะรอเจ้าออกไป”
ซูเช่อกล่าวจบ ข้ารับใช้ที่รับเงินไปแล้วด้านหลังก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ “ท่านให้นางแทนที่ข้า?”
รู้ว่านางทนทำใจแข็งไม่ได้ ซูเช่อรีบอธิบาย “เดิมนางเป็นสาวใช้ที่ถูกตัดสินโทษประหาร ข้ารับปากนางว่าจะดูแลคนในครอบครัวให้ นางรับการลงทัณฑ์แทนเจ้า หลังจากเจ้าออกจากวังไปได้สำเร็จ ที่นี่ก็จะเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น มู่เอ๋อร์ เวลาของข้ามีไม่มากแล้ว”
ซูเช่อเรียกนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้นางโมโหมากกว่านั้นก็คือ นี่มิใช่การหลบหนีความผิดหรอกหรือ?
“หากข้าเปลี่ยนเสื้อผ้ากับนางแล้วจากที่นี่ไปจริงๆ ก็ไม่อาจใช้ฐานะของหลิงมู่เอ๋อร์เผชิญหน้ากับผู้คนอีก เมืองหลวงแห่งนี้ยิ่งไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว ร้านอาหารและโรงหมอของข้าจะทำเช่นใด? ข้าไม่อาจไปได้”
“นี่เป็นเวลาใดแล้วเจ้ายังคิดถึงเรื่องพวกนี้อีก?” ซูเช่อเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง “มีหวางโฮ่วออกหน้าเป็นพยาน ยืนกรานกล่าวอ้างว่าเจ้าวางแผนทำร้ายองค์หญิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการลอบสังหารองค์หญิงมีโทษถึงตาย!”
หลิงมู่เอ๋อร์ยกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย “ข้ามิได้ทำ ข้าเชื่อว่าความยุติธรรมย่อมอยู่ในจิตใจของผู้คน วันนี้ในวังหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หรือจะยังไม่ลอยไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทอีก?”
ซูเช่อก็รู้ว่านางจะถามเช่นนี้
“หลังจากที่เจ้าถูกขังในคุกหลวง ข้าก็ไปขอเข้าเฝ้าทันที แต่วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี ฝ่าบาททรงดื่มสุรามากเกินไปเสด็จเข้าพักผ่อนนานแล้ว ตามธรรมเนียมแล้ว สามวันแรกของปีจะไม่มีการประชุมราชสำนัก อย่าพูดถึงสามวัน เจ้าอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งชั่วยาม ก็มีอันตรายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั่วยาม มู่เอ๋อร์ เจ้าเชื่อฟังเถิด”
เสียงเรียกมู่เอ๋อร์นี้ เรียกจนก้นบึ้งในใจนางอบอุ่นขึ้นมา
ราวกับเป็นความรักเอ็นดูที่พี่ชายมีต่อน้องสาว ในดวงตาร้อนรนของซูเช่อกังวลอย่างยิ่ง ในหัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
“ซูเช่อ ช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งเถิด”
ยังคิดว่านางมีความคิดที่ดีอะไรมาแก้ไขเรื่องนี้ ซูเช่อจึงพยักหน้าตกลง
“ช่วยข้าหาอาคารข้างนอกที่ใหญ่พอๆ กับร้านอาหารสกุลหลิง เมื่อก่อนเคยทำสิ่งใดไม่สำคัญ ขอเพียงขนาดกว้างพอ และตำแหน่งที่ตั้งดีพอ ที่ดีที่สุดคือ รอบข้างมีพวกภัตตาคารและร้านขายอาหารประเภทเดียวกัน หากสามารถอยู่ใกล้เขตพระราชฐานก็ยิ่งดี”
นางพูดอย่างคล่องแคล่วสบายๆ ราวกับคนทั้งสองกำลังพูดคุยเล่นกันอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างผ่อนคลาย
ใบหน้าที่หล่อเหลาสง่างามของซูเช่อเปลี่ยนจากสีแดงเป็นขาว จากขาวเป็นเขียว โมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หลิงมู่เอ๋อร์!”
น้อยนักที่เขาจะเรียกชื่อของนางด้วยการขานชื่อสกุลพร้อมกันเช่นนี้ และน้อยนักที่จะโมโหใส่นาง
เหมือนว่านับตั้งแต่รู้จักซูเช่อมา คนผู้นี้ก็รักษารอยยิ้มดุจจิ้งจอกมาโดยตลอด ทำให้คนคาดเดามิได้ ต่อให้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างไร ในสายตาของเขาก็ราวกับไม่ควรค่าให้กล่าวถึง บัดนี้โมโหถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าเขาโกรธเพียงใดแล้ว
“นี่เป็นเวลาใดแล้วเจ้ายังคิดเรื่องเปิดร้านอีก!”
จะสามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ยังไม่แน่เลย ที่แท้เป็นนางมั่นใจเกินไป หรือไม่เชื่อในความสามารถของหวางโฮ่วกับซูกุ้ยเฟยกัน
“จวิ้นอ๋องน้อย มีคนมาแล้วขอรับ” ผู้คุมที่ทำหน้าที่ดูต้นทางที่นอกประตูโผล่หัวเข้ามา
ซูเช่อไม่สนใจสิ่งใดอีก ใช้กำลังกดหลิงมู่เอ๋อร์ลงบนกำแพง จากนั้นก็ออกมาคำสั่งต่อข้ารีบใช้ที่อยู่ด้านหลังว่า “ยังตะลึงสิ่งใดอยู่อีก เปลี่ยนเสื้อ!”
เขาไม่อาจเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีอันตรายต่อหน้าไม่ว่าจะเป็นอันตรายแบบใด เขาทำไม่ได้
ไม่อาจใช้ชื่อหลิงมู่เอ๋อร์แทนตนเองแล้วอย่างไร ไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงแล้วอย่างไร วันหลังนางไปที่ใด เขาไปที่นั่น นางไม่มีชื่อที่น่าฟัง เขาก็จะตั้งให้ ร้านอาหารและโรงหมอไม่มีแล้ว เขารับผิดชอบช่วยนางสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง สรุปแล้ว ขอแค่เพียงนางมีชีวิตอยู่!
“ซูเช่อ หากท่านทำเพื่อข้าจากใจจริง ก็ควรเคารพข้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงดันเขาออกไป มีพละกำลังมากแต่กำเนิด แม้ว่าฝ่ายหลังจะมีวรยุทธ์เหนือธรรมดา ก็ถูกการกระทำอย่างกะทันหันของนางทำให้ตกใจเข้าแล้ว
ซูเช่อล้มลงบนพื้น ไม่ทันระวังไปสัมผัสโดนเจ้าตัวน้อยพวกนั้น สะอิดสะเอียนจนขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีสีหน้าแน่วแน่ เขาก็ถอนหายใจยาว
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหวางโฮ่วจึงทรงจงใจลงมือกับเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นพระนางหรือซูกุ้ยเฟย เมื่อเจ้าเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ ก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าเป็นสุขแน่ ฟ้ากำลังจะสว่างแล้ว หลังผู้คุมที่รับผิดชอบการเปลี่ยนกะมาถึงก็จะเริ่มใช้ทัณฑ์ทรมานกับเจ้าทันที หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้ว่าที่นี่โหดร้ายกว่าที่เจ้าคิดไว้มากนัก!”
“งูพิษพวกนี้ก็อันตรายมากเช่นกัน แต่มิใช่ถูกข้าปราบจนยอมสยบแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งกลับลงบนที่นั่งของตน “ความปรารถนาดีของจวิ้นอ๋องน้อยข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว ท่านกับข้ารู้จักกันมาระยะหนึ่ง ท่านสามารถทำเพื่อข้าได้ถึงเพียงนี้ ในใจของมู่เอ๋อร์ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก”
นางเชิดศีรษะ รอยยิ้มเต็มใบหน้า รอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่บนใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามของนาง แม้ว่าจะยังอยู่ในคุก แต่ก็ยังทำให้คนมองจนเคลิบเคลิ้ม
“ต้องรบกวนจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว ช่วยข้าหาอาคารที่ข้าต้องการ หากไม่นอกเหนือจากความคาดหมายแล้วละก็ หลังปีใหม่ก็วางแผนจะเปิดกิจการ”
ซูเช่อโมโหจนเกือบจะตีอกชกหัว ยังคิดจะพูดอะไรกับนางอีก ผู้คุมด้านนอกประตูก็มาเร่งอีกครั้ง เขาจึงได้แต่พาข้ารับใช้จากไปก่อน
“เจ้าวางใจ ข้ายังคงจะคิดหาวิธีช่วยเจ้า”
“ควรเป็นท่านวางใจจึงจะถูก ข้าไม่มีทางให้ตนเองได้รับบาดเจ็บแน่ ขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยมาก”
หลังจากซูเช่อจากไป ในคุกหลวงก็กลับมาเป็นปกติ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่านางถูกขังอยู่ที่ใด สรุปแล้วบริเวณรอบๆ ก็มีห้องขังเพียงห้องเดียวเท่านั้น และก็มีนางเพียงผู้เดียวเช่นกัน ไม่มีหน้าต่าง รอบด้านมืดมิดไปหมด แม้แต่แสงจันทร์ก็มิอาจสาดส่องเข้ามา นางคิดจะเข้าไปในมิติเพื่อพักผ่อนสักครู่ นอกประตูกลับมีเสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนดังลอยมา
มิใช่บอกว่าฟ้าสว่างจึงจะเปลี่ยนกะหรือ ซูกุ้ยเฟยยังคงรอไม่ไหวแล้วจริงๆ
หลิงมู่เอ๋อร์เชื่อคำพูดของซูเช่อทั้งสิบส่วน เมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว ก็อย่าคิดจะออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วน ดังนั้น นางตัดสินใจ—ปกป้องตนเอง
ผู้คุมสองสามคนคล้ายเพิ่งดื่มสุราเสร็จ เดินส่ายอาดๆ เข้ามา แถมผู้เป็นหัวหน้ากำลังแคะฟันอยู่ด้วย เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นอย่างเรียบร้อย ผู้คุมก็ร้องเสียงดัง “เอาตัวนางออกมา มัดไว้บนที่แขวน ปรนนิบัตินางด้วยทัณฑ์บีบนิ้ว”
กล่าวจบ ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็หมุนกายไป นั่งไขว่ห้างลงบนเก้าอี้ที่อยู่เบื้องหน้าแท่นพลางเคาะขาไปมา
ลูกน้องทั้งสองคนรับคำสั่ง ผู้หนึ่งไปหยิบกุญแจ อีกผู้หนึ่งยืนรออย่างสงบ หลิงมู่เอ๋อร์ฉวยโอกาสจากช่องว่างยามที่ทุกคนมิได้สนใจนาง ขับเคลื่อนพลังจิตเข้าสู่มิติเทพ
ผู้คุมที่เดิมดื่มสุราจนเมามายหยิบกุญแจเดินมาที่ห้องขัง ขณะที่คิดจะเปิดประตูนั่นเอง ก็รู้สึกเพียงว่าเงาร่างหนึ่งขยับ ราวกับมีบางสิ่งหายไปแล้ว หลังจากที่เขาสะบัดหัวขยี้ตา ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เป็นดั่งที่คาด ในห้องขังนั้นมิมีสิ่งใดอยู่เลย
“พี่ พี่ใหญ่ คน คน…หายไปแล้วขอรับ”
ผู้คุมตัวสั่นสะท้าน ด้านหนึ่งตะโกน อีกด้านเปิดประตู
ผู้เป็นหัวหน้าเมื่อได้ยินก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามา มองซ้ายมองขวา ไม่มีเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ เขาตบลงบนหัวของลูกน้องหนึ่งฝ่ามือ “คนละ?”
“ไม่ ไม่รู้ขอรับ เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่ชัดๆ”
คนทั้งสามมองซ้ายมองขวา แต่ก็หาเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่พบ หนึ่งในพวกเขากลืนน้ำลายกล่าวว่า “คงไม่ใช่ว่าผีหลอกแล้วหรอกนะ?”
“ผายลม!” ผู้เป็นหัวหน้าไม่เชื่อ เขารับหน้าที่อยู่ที่นี่มานานหลายปี ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ยังเข้าใจว่าเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ขโมยกุญแจไป เขามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ “ค้น ค้นไปทีละห้องขังให้ข้า จะต้องไปซ่อนที่ห้องขังอื่นแล้วแน่ๆ ต่อให้ต้องค้นจนพลิกแผ่นดิน ก็ต้องหาคนออกมาให้ข้าให้ได้”
“ขอรับ!” คนทั้งสองได้รับคำสั่ง หมุนกายเตรียมจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ในมิติ มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เม้มปากหัวเราะเบาๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังหมุนกาย นางก็ออกมาจากมิติอย่างไม่ลังเล
แสร้งทำเป็นบิดขี้เกียจ แถมยังทักทายผู้คุมทั้งสามอย่างเกรงใจ “ไฮ ท่านพี่ผู้คุมทั้งสาม พวกท่านมาไต่สวนข้าใช่หรือไม่?”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ทั้งสามคนที่หมุนกายไปพลันตะลึงค้าง หนึ่งในนั้นค่อยๆ หันสายตากลับมาอย่างระมัดระวัง เห็นห้องขังที่เดิมว่างเปล่า พลันปรากฏเงาร่างสีขาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็ตกใจจนรีบกระโดดขึ้นไปบนร่างของชายที่อยู่ข้างกาย “พี่ พี่ใหญ่ นางเหตุใด เหตุใดจึงโผล่ออกมาอีกได้เล่า?”
ผู้เป็นหัวหน้าไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีเทพเจ้าอยู่จริง เขาสวดคาถาบทหนึ่งในใจ ราวกับให้กำลังใจตนเอง หลังจากรวบรวมความกล้าจนเพียงพอและหันกายกลับไป ก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องขังอย่างเชื่อฟังดังคาด ทั้งยังยิ้มทักทายพวกเขาอีกด้วย
“หรือเป็นเพราะดื่มสุรามากเกินไป ตาลายแล้ว?” เขาคล้ายจะถามตนเอง และก็คล้ายถามพี่น้องที่อยู่ข้างกาย
“เจ้า เมื่อครู่ไปที่ใดมา?” เขาชี้ไปที่หน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
“คำพูดนี้ของท่านพี่ผู้คุมหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้าก็ถูกพวกท่านขังอยู่ในห้องขังแห่งนี้อยู่ตลอด ตัวข้าซึ่งเป็นหญิงสาวบอบบางที่มือไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ จะสามารถไปที่ใดได้?”
ทุกคนมองซ้ายมองขวา มั่นใจว่าประตูห้องขังไม่เคยถูกเปิดมาก่อน ส่วนตำแหน่งของนางก็มิได้เปลี่ยนแปลง จึงได้คิดว่าจะต้องเป็นเพราะดื่มจนเมามาย เป็นเหตุให้ตาลายแล้ว
“ยังเหม่ออะไรอยู่อีก ยังไม่รีบเอาตัวออกมา เหนียงเหนียงได้ทรงกำชับแล้ว เพียงแค่รักษาลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ ที่เหลือจะทรมานอย่างไรก็ได้”
ก็ไม่รู้ว่าที่ปากของเขาเอ่ยออกมาเป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียง หรือ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง แต่กับเรื่องพวกนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีความสนใจ นางเพียงรอเวลาที่ผู้คุมเข้ามาใกล้อีกครั้ง พลังจิตขับเคลื่อน ก็หลบเข้าไปในมิติอีกรอบ
ผู้คุมที่เปิดประตูห้องขังเรียบร้อยและคิดจะดึงคนออกมาก็ตกตะลึงไปอีกครั้ง หลังมั่นใจว่าคนได้หายตัวไปหาไม่พบอีกครั้งแล้ว ก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานออกมาจากห้องขัง
“ผีหลอกแล้ว ผีหลอกแล้วจริงๆ!”
ผู้เป็นหัวหน้ากำลังคิดจะดื่มชาระงับสติ ยามเห็นลูกน้องวิ่งหนีไป ยังหัวเราะเขาทีหนึ่งว่า ‘เจ้าคนขี้ขลาด’ รอเขาได้สติกลับมา พบว่าในห้องขังไร้เงาของหลิงมู่เอ๋อร์อีกแล้ว แก้วน้ำชาในมือก็หล่นลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วเสียง
“คน คนไปที่ใดอีกแล้ว?”
ผู้คุมที่รับหน้าที่ไปนำเครื่องทรมานมา เพิ่งกลับมาถึง ก็ถูกหัวหน้าซัดหนึ่งหมัดจนล้มลง เขานอนอยู่บนพื้นมองไปยังประตูห้องขัง ก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่หลิงมู่เอ๋อร์ปรากฎตัวขึ้นและหายไป หายตัวไปแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งเข้าพอดี ตะลึงงันไปชั่วครู่ ปากที่อ้าออกนั้น สามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้ฟองหนึ่ง นานอยู่พักใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา
“ผีหลอกแล้ว ผีหลอกแล้ว! ”
“ล้วนกลับมาหาข้าให้หมด!”
ผู้เป็นหัวหน้าตะเบ็งเสียงร้องตะโกนเสียงดัง แต่พี่น้องทั้งสอง คนหนึ่งยิ่งวิ่งเร็วกว่าอีกคนหนึ่ง เขาเป็นหัวหน้าผู้คุม ที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา หากเขาไม่สามารถทำภารกิจที่เหล่าเจ้านายมอบหมายให้สำเร็จ กลับไปก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลงทัณฑ์ได้ เขาทำใจกล้าคิดจะไปสำรวจสถานการณ์ พบว่าบนพื้นที่ที่ว่างเปล่า พลันมีเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ยังคิดว่าเป็นภาพหลอนที่คิดไปเอง เขาหยิบกาน้ำชาที่อยู่ด้านหลังมาสาดลงบนใบหน้าของตนเองทั้งหมด หวังให้ตนเองฟื้นคืนสู่ความแจ่มใส
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ที่เห็นได้ชัดว่าได้หายตัวไปแล้ว กลับมาปรากฏตัวอยู่ในห้องขังอย่างชัดเจน นางผมเผ้ายาวสยาย ชุดขาวตลอดร่าง อีกทั้งยังยิ้มให้ตนอย่างอ่อนโยน
“ผี ผีหลอกกก!”