เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 164 วางแผน
เล่มที่ 6 บทที่ 164 วางแผน
“เจ้าลูกชั่ว! จากที่เจิ้นรู้ หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นได้ทำการหมั้นหมายแล้ว คู่หมั้นคือผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้าวิ่งมาหาข้าเพื่อขอราชโองการอะไรกัน!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ไท่จื่อตกใจจนรีบคุกเข่าลงกับพื้น “เสด็จพ่อทรงโปรดระงับโทสะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ นั่น หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นเป็นเพียงสตรีสามัญชนนางหนึ่งเท่านั้น การหมั้นหมายของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังมิได้ทำการสู่ขอ ลูกได้ยินว่า เนื่องจากเรื่องของหลิงจือเซวียนกับเจาหยาง พวกเขาทั้งสองคนได้ยกเลิกวันแต่งงาน ลูกชื่นชมในนิสัยของหลิงมู่เอ๋อร์ ขอเสด็จพ่อทรงโปรดให้สมปรารถนาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นเป็นผู้ที่เจิ้นส่งไปต้านศึกที่ชายแดนด้วยตนเอง หากให้เขารู้ว่า ในช่วงเวลาที่เขาจากไป คู่หมั้นของเขาถูกเจ้ายึดครองไปเป็นของตน ในยามที่เขากลับมาพร้อมชัยชนะ เจ้าจะให้เจิ้นอธิบายกับผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดินว่าอย่างไร? เจ้าไปต้องใจผู้ใดไม่ว่า แต่กลับไปพึงใจผู้หญิงของเขา เจิ้นไม่มีทางรับปาก ออกไป!”
เดิมไท่จื่อก็มีความไม่พอใจซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่แล้ว ในครานี้ ฮ่องเต้ยิ่งทรงปกป้องเช่นนี้อีก เพลิงโทสะในใจของเขาก็ยิ่งแผดเผา
“เสด็จพ่อ นั่นเป็นขุนนางของพระองค์ ต่อให้นำทัพออกศึกก็เพื่อเกียรติยศของอาณาจักรเรา นั่นเป็นหน้าที่ของเขา! หลิงมู่เอ๋อร์มีการหมั้นหมายอยู่กับเขาก็จริง แต่หากเขาพึงใจในตัวหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ คงจะแต่งงานไปนานแล้ว เหตุใดจึงต้องรอจนถึงยามนี้?” ไท่จื่อคอยสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้อย่างละเอียด ที่จริงแล้ว ที่วันนี้เขามาขอราชโองการ อย่างแรก เป็นเพราะต้องการมอบการสั่งสอนให้หลิงมู่เอ๋อร์สักครั้งจากใจจริง อย่างที่สอง เป็นเพราะอยากสืบให้ชัดเจนว่า ที่แท้ฝ่าบาททรงมองและปฏิบัติต่อซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างไรกันแน่
“เสด็จพ่อ ในวังของลูกตอนนี้ นอกจากชายาเอกแล้วก็ไม่มีชายารองพ่ะย่ะค่ะ ด้วยฐานะของหลิงมู่เอ๋อร์ สามารถเข้าสู่จวนรัชทายาทได้ สำหรับนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลแล้ว เปรียบกับติดตามซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วยังถือว่าทรงเกียรติเสียยิ่งกว่า อีกทั้ง ในยามนี้ไท่จื่อเฟยกำลังตั้งครรภ์ หลิงมู่เอ๋อร์เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ หากสามารถปกป้องให้นางให้กำเนิดเชื้อสายของราชวงศ์ได้ มิถือเป็นการทำเพื่ออาณาจักรของเราเช่นกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หน้าอกของฮ่องเต้ขึ้นลงติดต่อกัน ยิ่งมองบุตรชายที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างยิ่งโมโห เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงแต่งตั้งผู้ที่เอาแต่หมกมุ่นกับอิสตรีเช่นนี้เป็นไท่จื่อได้
“เจ้าต้องการหลิงมู่เอ๋อร์ หรือต้องการรักษาเด็กในท้องของไท่จื่อเฟย เจิ้นรู้อย่างชัดเจนดี สรุปแล้ว ผู้หญิงของซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้า แตะต้องไม่ได้!”
ไท่จื่อไม่ยอมแพ้ “เสด็จพ่อ เหตุใดจึงทรงให้ความสำคัญกับซั่งกวนเซ่าเฉินถึงเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ? ไม่เพียงลูก เหล่าขุนนางในราชสำนักทุกคนต่างก็กำลังวิจารณ์ถึงเรื่องนี้! เดิมเขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ต่อให้ฝีมือสูงส่งเพียงใด ก็ไม่พอที่จะให้นำทัพออกศึก แต่เสด็จพ่อกับเต็มพระทัยมอบโอกาสนี้ให้เขา นอกจากนี้ ยังทรงปกป้องสตรีสามัญชนที่ยามนี้ยังไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเขา หรือเป็นเช่นที่ทุกคนพูด เขาคือ…ในปีนั้นของท่าน”
“หุบปาก!”
มิได้มอบโอกาสให้ไท่จื่อได้พูดจบ ฮ่องเต้ก็โกรธจนหน้าอกสั่นสะท้านแล้ว เขาชี้ไปที่ประตู “ไสหัวไป อย่าให้เจิ้นเห็นเจ้าอีก ไสหัวไป!”
วันนี้หากไม่ทำให้เข้าใจอย่างชัดเจน กระจ่างแจ้ง ไท่จือไม่มีทางยอมเลิกรา
“เหตุใดเสด็จพ่อจึงทรงมีอารมณ์ถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ? หรือว่าลูกกล่าวสิ่งใดถูกต้อง? ขอเสด็จพ่อโปรดทรงคลายความสงสัยให้ลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
โขกศีรษะลงอย่างหนักสามครั้ง ไท่จื่อมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์
“คลายความสงสัย?” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างเย็นชา ไม่สนใจว่าในมือจะหยิบสิ่งใดขึ้นมาล้วนปาใส่ใบหน้าของเขา “ใครก็ได้เข้ามา ถ่ายทอดราชโองการของเจิ้น ตั้งแต่วันนี้ ไท่จื่อถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน หากไม่มีคำอนุญาตจากเจิ้น ไท่จื่อมิอาจก้าวออกจากตำหนักแม้เพียงก้าวเดียว นำตัวเขาไป! ”
มิเพียงไม่อาจถามคำถามใดออกมาได้ แม้แต่อิสระก็ไม่มีแล้ว ไท่จื่อดิ้นรนไม่หยุด “เสด็จพ่อ…”
องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ที่ผ่านทางมาได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ไท่จื่อถูกลากออกไปพอดี นางรีบคว้าขันทีที่อยู่ข้างกายไว้ “สี่กงกง เสด็จพี่รัชทายาททรงทำให้เสด็จพ่อพิโรธอะไรอีกหรือ?”
สี่กงกงเป็นคนรับใช้ประจำกายของฮ่องเต้ แต่ก็เป็นผู้ที่เห็นเหลียนเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโตเช่นกัน เหลียนเอ๋อร์แม้จะเอาแต่ใจ แต่ในอดีตเพื่อจะสืบข่าวสาร ก็ได้มอบผลประโยชน์ให้เขาไม่น้อย เขาลองมองดูแล้วไม่มีผู้อื่นแอบฟัง ก็กล่าวเสียงเบาว่า “หากมิใช่เพราะสตรีสามัญชนหลิงมู่เอ๋อร์คนนั้น ไท่จื่อก็ไม่ทรงทราบว่าเป็นเส้นเอ็นเส้นใดที่จับคู่ผิดพลาด จะทรงทูลขอให้ฝ่าบาททรงรับเป็นชายารองให้ได้ แต่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นเป็นคู่หมั้นของซั่งกวนเซ่าเฉิน บัดนี้ ใต้เท้าซั่งกวนไปทำศึกที่ชายแดน นั่นเป็นเรื่องที่นำเกียรติยศมาสู่แว่นแคว้น หากยามได้รับชัยชนะกลับมา พบว่าสตรีของตนถูกรับตัวเป็นชายารอง ผลลัพธ์นั้นสามารถเดาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทย่อมไม่มีทางที่จะทรงรับปาก”
เหลียนเอ๋อร์ที่เข้าใจสถานการณ์เยาะหยัน “ดังนั้น เสด็จพี่รัชทายาทก็ไม่ทรงรับปาก และทะเลาะกับเสด็จพ่อขึ้นมาแล้ว?”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ถูกกักบริเวณหนึ่งเดือนไม่พอ ยังทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย จิ๊ๆๆ องค์ไท่จื่อทรงขาดทุนแล้ว!”
เหลียนเอ๋อร์หยิบเศษเงินออกมาจากชายแขนเสื้อก้อนหนึ่ง แอบยัดให้ขันทีอย่างลับๆ “เดิมเหลียนเอ๋อร์ยังคิดจะไปรบกวนเสด็จพ่อ ยามนี้ดูไปแล้ว ต้องขอบคุณกงกงที่กล่าวเตือน สายหน่อยข้าค่อยมาดีกว่า”
“บ่าวชราก็ขอขอบพระทัยที่องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ประทานรางวัลมากพ่ะย่ะค่ะ รอจนฝ่าบาททรงพระอารมณ์ดีขึ้นแล้ว บ่าวชราจะต้องส่งคนไปทูลอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี”
รับคำอย่างรวดเร็วตรงไปตรงมา เหลียนเอ๋อร์จากไปในเส้นทางที่มา ทว่า จากที่ไกลออกไป ยังสามารถได้ยินเสียงตะโกนด้วยโทสะของไท่จื่อและราชองครักษ์
เสด็จพี่รัชทายาททรงถึงกับไปต้องตาหลิงมู่เอ๋อร์
ช่างเป็นศัตรูบนทางแคบจริงๆ
เหลียนเอ๋อร์กำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ลูกนัยน์ตากรอกรอบหนึ่ง ในใจก็พลันมีแผนการขึ้นมา
นางรีบวิ่งกลับวัง เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จก็พาสาวใช้ออกจากวัง
ในยามที่ไท่จื่อกลับมาถึงตำหนักรัชทายาทนั้น องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นถึงรัชทายาท แต่กลับถูกคนคุมตัวกลับตำหนัก ไท่จื่อทรงอับอายและมีโทสะอย่างยากที่จะรับได้ มองผู้ใดก็ไม่เข้าตา “ไสหัวไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เปิ่นไท่จื่อก็ไม่พบทั้งสิ้น”
เหลียนเอ๋อร์จะทนให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ติดที่แผนการของตน นางสะกดเพลิงโทสะในใจลง ขยับไปด้านหลังของไท่จื่อ ช่วยเขาทุบหลังบีบไหล่ น้ำเสียงอ่อนโยนเปี่ยมเสน่ห์ “เหตุใดเสด็จพี่รัชทายาทจึงทรงมีโทสะต่อเหลียนเอ๋อร์มากถึงเพียงนี้เล่าเพคะ เหลียนเอ๋อร์รู้ว่าเสด็จพี่ทรงอารมณ์ไม่ดี นี่มิใช่ตั้งใจมาช่วยพระองค์วางแผนโดยเฉพาะหรือเพคะ เสด็จพี่อย่าได้ทรงพิโรธเลย”
มุมปากของไท่จื่อ อมยิ้มเยาะหยันไว้ “หึ ก็รู้ว่าเจ้าเห็นเรื่องขายหน้าของข้าจึงได้ตามมา อะไรกัน อยู่ในวังดูไม่พอ ยังวิ่งมาดูที่ตำหนักรัชทายาทของข้าอีก?”
เหลียนเอ๋อร์รีบขยับเข้าไปอยู่เบื้องหน้าของเขา รินชาเทน้ำไม่ขาดตกแม้แต่สิ่งเดียว “เหตุใดเสด็จพี่รัชทายาทจึงทรงคิดกับเหลียนเอ๋อร์เช่นนี้เล่าเพคะ แม้เหลียนเอ๋อร์จะไร้ความสามารถ แต่ก็ยืนอยู่ฝั่งเสด็จพี่รัชทายาทมาโดยตลอด เสด็จแม่ก็ทรงบอกเหลียนเอ๋อร์เป็นประจำว่า วันหลัง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ความเคารพเสด็จพี่รัชทายาท พระองค์ทรงเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในอนาคต ในภายภาคหน้า มิอาจทรงลืมเหลียนเอ๋อร์นะเพคะ”
ถูกคนดันไปสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุด แม้จะเพิ่งได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมา ยามนี้ ก็สูญสลายไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว
ไท่จื่อโค้งริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “ยากนักที่เจ้าจะมีใจเช่นนี้ เจ้าวางใจเถิด วันหลังเมื่อข้าครองราชย์ ย่อมไม่ลืมเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ากับข้าแม้จะมิได้กำเนิดจากมารดาเดียวกัน แต่หลายปีมานี้ ในวังแห่งนี้ก็มีแต่เจ้าที่เห็นข้าเป็นพี่ชายเท่านั้น เปิ่นไท่จื่อล้วนจดจำไว้แล้ว”
หากเห็นนางเป็นน้องสาวจริงๆ เมื่อครู่จะปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาได้อย่างไร?
เหลียนเอ๋อร์ยิ้มหยัน หากมิใช่เพื่อแผนการของตน นางไม่มีทางยอมรับความไม่เป็นธรรมอยู่ที่นี่แน่
“เสด็จพี่รัชทายาท พระองค์ก็ทรงทราบว่าช่วงก่อนหม่อมฉันถูกคนวางแผนทำร้าย เกือบจะสิ้นชีพไปแล้ว ทรงทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด?”
แน่นอน ไท่จื่อย่อมมิได้สนใจกับเรื่องพวกนี้ เพียงแค่องค์หญิงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานคนหนึ่งเท่านั้น ในอนาคตก็มิอาจช่วยสิ่งใดเขาได้ แต่ในเมื่อนางได้เอ่ยปากแล้ว จึงรับคำของนางต่อด้วยความยินดี “อย่างไร เรื่องนั้นก็เกี่ยวข้องกับหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยหรือ?”
“ไม่ผิดเพคะ!” เหลียนเอ๋อร์ดีดนิ้ว
“ผ่านการตรวจสอบหลายด้านของข้า ก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ที่ลงมือกับข้า! เสด็จพี่รัชทายาทยังทรงจำได้หรือไม่ว่า วันเวลาในช่วงนั้นหม่อมฉันอดทนผ่านมาได้อย่างไร ล้วนเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่น่ารังเกียจผู้นั้น นางถือโอกาสที่หม่อมฉันไม่ทันระมัดระวังวางยาหม่อมฉัน จงใจชักนำฝูงงูทำให้หม่อมฉันตกอยู่ในอันตรายถึงตาย หากมิใช่เพราะเหลียนเอ๋อร์มีวาสนาชะตาแข็งกล้า เวลานี้ ก็ไม่อาจมาพูดคุยเป็นเพื่อนเสด็จพี่รัชทายาทได้แล้วเพคะ”
เห็นนางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ในใจของไท่จื่อก็เกิดความสงสารขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าชอบซั่งกวนเซ่าเฉินมาโดยตลอด แต่เขากลับต้องการให้หลิงมู่เอ๋อร์เป็นคู่หมั้น ดังนั้น นางจึงจงใจเป็นปรปักษ์กับเจ้า?”
“เสด็จพี่รัชทายาททรงพระปรีชา” เหลียนเอ๋อร์ชำนาญในการประจบประแจงเป็นที่สุด นางเช็ดหางตาอย่างน้อยใจ “ใครๆ ก็รู้ว่า หม่อมฉันชอบซั่งกวนเซ่าเฉิน เสด็จพ่อก็เกือบจะประทานสมรสให้พวกเราทั้งสองคนแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีหลิงมู่เอ๋อร์ผุดออกมากลางอากาศ นางมิเพียงแย่งพี่เฉินของหม่อมฉันไป ยังคิดวางแผนทำร้ายหม่อมฉันอีก เสด็จพี่รัชทายาท หม่อมฉันมิอาจกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้เพคะ”
“หืม? เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำสิ่งใด?” ไท่จื่อยกจอกชาขึ้นมา จิบน้ำชา “ยังมี เมื่อครู่เจ้าพูดว่า เสด็จพ่อเกือบจะประทานสมรสให้เจ้าแล้ว?”
หากเขาเดาไม่ผิดแล้วละก็ เสด็จพ่อทรงไม่มีทางตัดสินพระทัยเยี่ยงนี้ออกมา นี่หรือว่า เป็นเหลียนเอ๋อร์กำลังโป้ปด
“จริงแท้แน่นอนที่สุด! หากเสด็จพี่ไม่ทรงเชื่อ วันหน้าก็ทรงสามารถเข้าวังไปสอบถามเสด็จพ่อได้ เรื่องนี้แม้แต่สี่กงกงก็ทราบเพคะ”
เหลียนเอ๋อร์เบิกตาโต กล่าวคำเท็จเก่งยิ่งกว่าคำจริงเสียอีก ทำเอาไท่จื่อทรงงุนงงไปในเสี้ยววินาที
หรือว่า เขาคาดเดาผิดพลาด?
“พูดเถอะ เจ้าต้องการข้าช่วยเจ้าอย่างไร?”
“มิใช่เสด็จพี่รัชทายาทช่วยหม่อมฉัน แต่เป็นหม่อมฉันมาช่วยเสด็จพี่รัชทายาท” เหลียนเอ๋อร์มีลับลมคมใน “ก็ไม่ถูก หากจะพูดให้ถูกต้องแล้วละก็ นี่เป็นการร่วมมือเพื่อชนะร่วมกันของพวกเราเพคะ”
ไท่จื่อมิได้ตรัสสิ่งใด ส่งสายตาว่าให้นางพูดต่อไป
“เมื่อครู่สี่กงกงบอกกับเหลียนเอ๋อร์ว่า เสด็จพี่รัชทายาททรงอยากทูลขอราชโองการจากเสด็จพ่อ ให้ทรงประทานหลิงมู่เอ๋อร์ให้เป็นชายารองของพระองค์ แต่ถูกเสด็จพ่อปฏิเสธ พอดีกับที่เหลียนเอ๋อร์พึงใจในตัวซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ทำให้แผนที่เตรียมไว้วุ่นวาย มิสู้ พวกเรามาวางแผนกัน เยี่ยงนี้ ทรงได้หลิงมู่เอ๋อร์ของพระองค์ หม่อมฉันได้ซั่งกวนเซ่าเฉินของหม่อมฉัน เป็นเช่นไรเพคะ?”
“เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าเสด็จพ่อทรงมิได้เห็นด้วย เจ้าจะให้ข้าได้มาอย่างไร?” บนใบหน้าของไท่จื่อแขวนสีหน้า ‘เจ้าหลอกข้า’ ไว้
“บนโลกไร้เรื่องยาก กลัวแต่ไม่มีใจ เสด็จพี่รัชทายาททรงต้องการประทานความสุขให้หลิงมู่เอ๋อร์ นั่นเป็นเรื่องที่เชิดชูวงศ์ตระกูลของนาง ต่อให้เป็นพวกเราใช้ลูกไม้เล็กน้อย ในวันข้างหน้า นางคงยังจะขอบคุณพวกเรานะเพคะ”
บนใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์แขวนไว้ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย “ขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์กลายเป็นคนของพระองค์ ต่อให้ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาบันดาลโทสะ แล้วจะทำสิ่งใดได้เพคะ? นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้น หม่อมฉันย่อมมีวิธีให้เขาก้มศีรษะ เรียกตัวเป็นคนของหม่อมฉัน เสด็จพี่รัชทายาทโปรดทรงวางพระทัยเถิดเพคะ”
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ไท่จื่อหวั่นไหวแล้ว
หลังจากครั้งก่อนที่ได้เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ผลัดอาภรณ์โดยมิได้ตั้งใจนั้น เขาก็คิดถึงคะนึงหาทุกทิวา หลายคราที่หลับฝันในยามราตรี ก็ล้วนเป็นเรือนร่างอรชรของสาวน้อยนางนั้น หากสามารถได้นางมาครอบครองจริงๆ จะมิใช่เรื่องดีงามได้อย่างไร?
“หืม? เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาดู เจ้ามีวิธีใดให้นางเต็มใจมาที่ตำหนักรัชทายาทของข้า?”
“ขอเพียงเสด็จพี่รัชทายาททรงเชื่อเหลียนเอ๋อร์ เรื่องนี้ก็มอบให้หม่อมฉันเป็นผู้จัดการทั้งหมดเถิดเพคะ บังเอิญที่ใกล้จะถึงช่วงข้ามปีแล้วพอดี ถือว่าเป็นของขวัญส่งท้ายปีที่เหลียนเอ๋อร์แสดงความกตัญญูต่อเสด็จพี่เถิดเพคะ”
ไท่จื่อมองนางจากบนลงล่าง เหลียนเอ๋อร์แต่ไรมาก็เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น หากครั้งที่แล้ว เรื่องฝูงงูในวังหลวงเป็นหลิงมู่เอ๋อร์เป็นฝีมือของหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ นางหาโอกาสแก้แค้นก็ไม่แปลกเลย หากนางอยากช่วยตนอย่างจริงใจ ก็ปล่อยไปตามใจนาง ต่อให้ถึงเวลาถูกเสด็จพ่อไต่สวน วิธีนี้ก็เป็นเหลียนเอ๋อร์คิดขึ้นมา สาเหตุของนางก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้ตนเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
“ได้ เช่นนั้นเปิ่นไท่จื่อก็รอข่าวดีของน้องเหลียนเอ๋อร์แล้ว”
“เสด็จพี่ ทรงรอทอดพระเนตรเถิดเพคะ”
นำคำตอบจากไปอย่างพึงพอใจ ก่อนเหลียนเอ๋อร์จะจากไป ในก้นบึ้งของดวงตามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์วาบผ่าน
ผู้คนล้วนพูดว่าไท่จื่อสามัญ ช่างสมกับคำร่ำลือจริงๆ เพราะเรื่องนี้ เสด็จพ่อถึงกับทรงกักบริเวณเขาแล้ว เขายังคิดถึงหญิงงามอีก ช่างเถอะ ขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์กลายเป็นคนของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จะกลายเป็นของนางไปโดยปริยาย ต่อให้เสด็จพ่อทรงตำหนิลงมา นางก็จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ไท่จื่อ ก็บอกว่าเขาทูลขอราชโองการไม่สำเร็จในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา