เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 159 เข้าใจผิด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 6 บทที่ 159 เข้าใจผิด
เล่มที่ 6 บทที่ 159 เข้าใจผิด
สิบห้านาทีแรกของยามเหม่า [1] หลิงมู่เอ๋อร์ก็รออยู่ที่ห้องรับรองส่วนตัวในร้านอาหารแล้ว บนโต๊ะอาหารจัดวางอาหารชนิดใหม่ไว้มากมาย บริเวณโดยรอบมีพ่อครัวสามคนยืนอยู่ รอคอยการลิ้มลองของเถ้าแก่อย่างกระวนกระวาย
เดิมที ในครั้งแรกที่เหล่าพ่อครัวผู้มีเงินเดือนอย่างงามได้รับประเมินอย่างเข้มงวดจากหลิงมู่เอ๋อร์นั้น มิได้เห็นนางอยู่ในสายตา แต่หลังจากได้เห็นนางจับกระบวยทำอาหารและได้ลองชิมรสชาตินั้นด้วยตนเองแล้ว ก็ถูกเด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มวัยเบื้องหน้าผู้นี้สยบลงอย่างราบคาบ
แต่ละคนต่างมีท่าทางรอคอยการชี้แนะสั่งสอนอย่างนอบน้อม ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งไปสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก
“อื้ม พิซซ่าที่พ่อครัวใหญ่อู๋ทำในวันนี้ไม่เลวเลย ระดับความอ่อนแข็ง ความเข้มข้นและกลิ่นหอมล้วนควบคุมได้ดีมาก แต่ว่าสเต็กเนื้อวัวนี้ย่างนานเกินไป กระทบต่อรสชาติ เมื่อจับคู่กับไวน์แดงแล้วก็ทำให้ด้อยลงไปมาก”
“สปาเก็ตตีอิตาเลี่ยนที่เปรี้ยวเผ็ดของพ่อครัวใหญ่จางนั้นลวกได้นิ่มเด้งพอดี เข้าคู่กับเนื้อวัวชั้นดีที่นุ่มชุ่มฉ่ำ สามารถเปิดต่อมรับรสได้อย่างสมบูรณ์ มีความก้าวหน้า”
“ส่วนรองพ่อครัวหลิว อาหารประเภทของหวานนั้นท่านทำได้ดีแล้ว แต่เนื้อด้านในของเค้กเนยสดชิ้นนี้ยังแข็งเกินไป ครีมหนาเกินไป รสสัมผัสมันเลี่ยน ยังต้องพยายามให้มากกว่านี้”
วางตะเกียบลง หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงมีท่าทางเช่นอาจารย์ผู้ฝึกสอนผู้เข้มงวด ฟังจนทั้งสามคนหน้าแดงหูแดง แม้แต่หลิงต้าจื้อที่อยู่ด้านข้างก็อดขอร้องแทนทุกคนไม่ได้
“มู่เอ๋อร์ ที่จริงแล้วพ่อครัวทั้งสามท่านต่างก็ทำได้ดีมากแล้ว เป็นเพราะเจ้าพิถีพิถันเกินไปหรือไม่?”
“วัตถุประสงค์หลักของร้านอาหารสกุลหลิงของเรา ก็คือการมอบรสสัมผัสที่สมบูรณ์ที่สุดให้ลูกค้า ข้าไม่ยอมให้มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย แน่นอนว่า ข้าเชื่อว่าความเข้มงวดของข้า มีแต่จะทำให้พ่อครัวแต่ละท่านยิ่งโดดเด่น ยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้น” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบหนังสือแผนงานที่เมื่อคืนทำเสร็จออกมาจากอก “นี่เป็นตารางบรรทัดฐานใหม่ชุดหนึ่ง นับจากนี้เงินเดือนของพ่อครัวแต่ละท่าน นอกจากสิบตำลึงที่กำหนดไว้แต่แรกแล้ว จะมีการเพิ่มค่าคอมมิชชั่นเข้าไปอีก”
คำว่า ‘คอมมิชชั่น’ นี้แปลกใหม่ ทุกคนล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลิงต้าจื้อหยิบตารางแผนการขึ้นมา พ่อครัวทั้งสามก็รีบมุงเข้าไปเช่นกัน
“อะไรนะ? ในอนาคตอาหารที่แขกทุกคนสั่ง พวกเรายังจะได้รับเหรียญทองแดงแยกต่างหากอีกห้าเหวินด้วย?” รองพ่อครัวหลี่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“มิผิด ไม่เพียงพวกท่าน ภายหน้าพ่อครัวทุกคนในร้านอาหารสกุลหลิง รวมทั้งเด็กรับใช้ล้วนใช้มาตรฐานนี้ แต่ละคนต่างรับผิดชอบอาหารที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน แขกสั่งอาหารของผู้ใดมาก รางวัลของคนผู้นั้นก็ยิ่งมาก หากผลลัพธ์รายได้ดีแล้วละก็ เงินเดือนของแต่ละคนมิใช่แค่ยี่สิบตำลึงแน่”
เมื่อได้ยินห้าคำสุดท้าย คนทั้งสามล้วนตะลึงงันไปแล้ว
ในอดีตที่พวกเขาอยู่ร้านอาหารอื่นนั้น หนึ่งเดือนหาเงินได้ห้าตำลึงก็ถือว่าสูงเทียมฟ้าแล้ว เมื่อมาถึงร้านอาหารสกุลหลิงไม่เพียงมากกว่าถึงหนึ่งเท่า ยังมีนโยบายการมอบรางวัลอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก วันหลัง ครอบครัวของพวกเขาจะเจริญรุ่งเรืองแล้ว ลูกๆ ของพวกเขาก็จะสามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษาได้แล้ว ในที่สุด ภรรยาก็จะสามารถสวมผ้าไหมแพรพรรณได้แล้ว
“ขอบคุณเถ้าแก่ ขอบคุณหนูหลิงขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย “พวกท่านแสดงความพยายามออกมาเต็มร้อย ทุ่มเทให้ร้านอาหารสกุลหลิงของข้า ข้าย่อมต้องให้ความทุ่มเทของพวกท่านได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน ขอเพียงอาหารทำได้ดี แขกสั่งเยอะ เงินที่พวกท่านหาได้ก็ยิ่งมาก เช่นนั้นก็พยายามเข้าเถิด ทำให้ดี”
รอจนพ่อครัวทั้งสามออกไป หลิงต้าจื้อกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “มู่เอ๋อร์ความคิดนี้ใช่ใจกล้าหาญเกินไปแล้วหรือไม่? เช่นนี้จะต้องจ่ายเงินออกไปมากเท่าใดกัน?”
เงินที่พวกเขาจ่ายให้พ่อครัวและเด็กรับใช้นั้น เดิมก็มากกว่าร้านอาหารอื่นอยู่แล้ว อยู่ดีๆ ก็จะนำออกไปให้ผู้อื่นมากเช่นนี้ เขาเสียดายเหลือเกิน
“ท่านพ่อ การทำการค้า มีสละจึงจะมีได้ อีกทั้ง อาหารหลายชนิดที่พวกเราคิดค้น พวกเขาล้วนไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน ทำออกมายากที่จะเลี่ยงที่รสชาติไม่ถูกต้องได้ ยังมี ทันทีที่ร้านอาหารอื่นคิดจะแย่งคน ข้ามิใช่ฝึกฝนพวกเขาอย่างเสียเปล่าหรือ เช่นนี้ มิเพียงสามารถทำให้พวกเขามีจิตวิญญาณที่ภักดีต่อร้านอาหารของพวกเราจนตัวตาย ยังจะทำให้พวกเขามีแรงจูงใจที่ดีในการต่อสู้ เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ทำเล่า”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบตารางที่คำนวณเรียบร้อยแล้วอีกชุด ออกมาจากในอกอีกครั้ง หลิงต้าจื้อดูอย่างงุนงงอยู่บ้าง “นี่ นี่ล้วนเป็นบัญชีของร้านอาหาร?”
“ละเอียดแล้ว บัดนี้รายได้ของร้านอาหารดีมาก การเสนอเช่นนี้ไม่เพียงไม่ขาดทุน ยังจะช่วยเพิ่มรายได้อีกด้วย ท่านพ่อ ท่านก็วางใจเถิดเจ้าค่ะ นอกจากนี้ ข้ายังคิดจะขยายร้านอาหารให้ใหญ่ออกไปอีก”
ร้านอาหารสกุลหลิงของพวกเขามีทั้งหมดสามชั้น ยามนี้ก็ใหญ่มากแล้ว ยังคิดจะขยายเช่นใดอีก
“ข้าได้ส่งคนออกไปค้นหาสถานที่หรือร้านอาหารที่เหมาะสมในเมืองหลวงแล้ว ร้านอาหารของพวกเราตอนนี้ ชนิดของอาหารมีความหลากหลายมากเกินไป ทำให้ลูกค้าเลือกได้ลำบาก ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาในอนาคต ดังนั้น ข้าคิดจะเปิดภัตตาคารอาหารตะวันตกชั้นสูงแยกต่างหากอีกร้านหนึ่ง พ่อครัวสามคนเมื่อครู่ก็ย้ายไปที่ภัตตาคารตะวันตก ท่านพ่อ ในอนาคตท่านก็รับผิดชอบทางนั้น ที่นี่มอบให้ท่านลุง”
เปิดร้านแยกอีกร้าน ตนยังต้องจากไปด้วย? ในเสี้ยววินาทีนั้น หลิงต้าจื้อพลันตัดใจไม่ได้ขึ้นมา
“มู่เอ๋อร์ จะทำเช่นนี้จริงหรือ ที่จริงแล้วพ่อคิดว่าอยู่ที่นี่ดีมาก”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะยัดหนังสือแผนงานลงไปในฝ่ามือของเขาอีกครั้ง “ท่านพ่อ ยามท่านมีเวลาว่างอ่านแผนงานนี้อย่างละเอียดก็จะเข้าใจทั้งหมดแล้ว ข้าต้องการทำให้ร้านอาหารสกุลหลิงรุ่งเรืองโชติช่วง ไม่อาจเพิ่งพาแค่ร้านอาหารเพียงร้านเดียว พวกเราต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาใต้ร่มธง ภัตตาคารอาหารตะวันตกเช่นนั้นก็คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
“ในเมืองหลวงผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ หรือตระกูลพ่อค้าที่มั่งคั่ง ขอเพียงเป็นของอร่อย พวกเขาล้วนไม่เกี่ยงราคา ยังจำภาพเหตุการณ์ที่ได้รับความนิยม ในยามที่พวกเรานำเสนอหม้อไฟออกไปได้หรือไม่เจ้าคะ ราคาของหม้อไฟแพงกว่าอาหารทั่วไป แต่ยังคงมีคนจำนวนมากเพียงนั้นแย่งชิงกันลิ้มลอง อาหารตะวันตกก็ไม่ต่างกันเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ยามนี้ ชนิดอาหารในร้านอาหารสกุลหลิงมีจำนวนมาก ร้านอาหารแม้จะใหญ่แต่ซับซ้อนเกินไป ข้าวางแผนว่าร้านอาหารที่จะเปิดใหม่จะทำเพียงอาหารตะวันตกเท่านั้น สภาพแวดล้อมนั้นก็ต้องสง่างามมีระดับกว่านี้ ส่วนราคานั้นก็ต้องแพงมากกว่านี้เช่นกัน หากข้าคาดการณ์ไม่ผิดแล้วละก็ รายได้ในหนึ่งวันของภัตตาคารตะวันตกมีค่าเป็นสามเท่าของร้านอาหาร”
“จริงหรือ?” ยามนี้ร้านอาหารก็หาเงินได้มากเพียงพอแล้ว ภัตตาคารตะวันตกถึงกับสามารถทำกำไรได้มากขนาดนั้น? หลิงต้าจื้อตกตะลึงไปแล้ว
“อันที่จริง ข้าก็คิดเหมือนกันว่า ประเภทของที่ร้านพวกเราทำในตอนนี้มากเกินไป มีหลายครั้งที่แขกมาถึงแล้วไม่รู้ว่าจะกินสิ่งใด กลับกลายเป็นลังเล แยกออกไปเช่นนี้ก็ย่อมดีที่สุดแล้ว
“ในเมื่อท่านพ่อคิดเหมือนข้า เช่นนั้นพวกเราก็รีบเคลื่อนไหว หากไม่มีสิ่งใดนอกเหนือความคาดหมาย ต้นฤดูใบผลิหลังปีใหม่ ภัตตาคารตะวันตกก็จะสามารถเปิดกิจการได้แล้ว”
“ดี เช่นนั้นในช่วงนี้ ข้าก็จะกระตุ้นให้พวกเขาทำอาหารตะวันตกให้ดีที่สุด และจะสอนท่านลุงของเจ้าว่าจะดูแลร้านเพียงลำพังได้อย่างไร” หลิงต้าจื้อเมื่อมีแรงจูงใจ ก็ไม่รู้สึกว่าค่าแรงที่จ่ายให้ลูกจ้างมากเกินไปอีกต่อไป
ในยามที่ออกจากห้องรับรองไปนั้น หลิงต้าจื้อลูบท้ายทอยอย่างอิดออด “เรื่องนั้น มู่เอ๋อร์ ขอบคุณเจ้าที่นำพาสกุลหลิงของพวกเรามาถึงจุดนี้”
น้อยนักที่ท่านพ่อจะอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ กับบุตรสาวเหตุใดจึงยังเกรงใจเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะเอ่ยปาก ก็ถูกหลิงต้าจื้อขัดลง “เช่นนั้น เจ้าก็รอเจ้าหนุ่มเฉินอย่างวางใจเถิด ข้าไปทำงานก่อนแล้ว”
เห็นท่านพ่อจากไปอย่างลนลานรีบร้อน หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่านี่กำลังเขินอายแล้ว นางพลันหัวเราะออกมา ก็เป็นยามนั้นเองที่สังเกตเห็นว่า อย่างไม่รู้ตัว ยามเฉินก็ได้ผ่านไปเกือบครึ่งแล้ว
อารมณ์ที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ พลันเปลี่ยนเป็นประหม่ากังวลขึ้นมาในเสี้ยววินาที
เมื่อคืนนัดกับพี่ใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้พบกันที่ร้านอาหารในยามเฉิน หากเขาเต็มใจรับปากข้อเรียกร้องของนางไม่เข้าวัง หรือจะกล่าวว่าไม่ยอมรับการจัดการของฮ่องเต้ก็ให้มาพบนาง
ทว่า ผ่านยามเฉินไปหนึ่งเค่อแล้ว พี่ใหญ่ก็ยังไม่ปรากฏตัว
แต่ไรมา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เป็นผู้ที่รักษาเวลา
สองมือของหลิงมู่เอ๋อร์ประสานเข้าหากัน นิ้วทั้งห้ากดลงบนฝ่ามือไม่หยุด ยืนอยู่ริมหน้าต่าง นางมองออกไปข้างนอกอย่างประหม่า คาดหวังอย่างยิ่งว่า ในยามที่ช้อนสายตาขึ้นโดยไม่ตั้งใจ จะมองเห็นเงาร่างที่สง่างามนั้นควบม้ามา
ทว่านางรออยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม บนท้องถนนเบื้องล่างมีกลุ่มฝูงชนที่กำลังทำงาน และมีเด็กรับใช้ที่กำลังร้องเรียกแขก มีนักแสดงข้างถนนที่เล่นกายกรรม แต่อย่างไรก็ไม่มีเงาร่างของผู้เป็นที่รัก
“เฉิน ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน”
ถอนหายใจอย่างเศร้าสลด หลิงมู่เอ๋อร์ปิดหน้าต่างลง หมุนกายจากไป
ในยามที่ลงจากชั้นบนนั้น เงาร่างหนึ่งกำลังขึ้นมาชั้นบนอย่างครุ่นคิดกังวล คนทั้งสองเดินผ่านกันไป หัวไหล่กระทบกัน คนทั้งสองที่อารมณ์ไม่ดีเหมือนกันพลันบังเกิดประกายไฟนับไม่ถ้วนขึ้น
“กล้าขวางทางของเปิ่นจวิ้นหวาง…” ที่เปิดปากก่อนคือบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า แต่ในยามที่บุรุษช้อนตาขึ้นมาเห็นใบหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้า ความมืดครึ้มทั้งหมดก็พลันสูญสลายไปจนมองไม่เห็น
“ในเวลานี้ เหตุใดแม่นางหลิงจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าได้ยินว่าช่วงนี้โรงหมอยุ่งเป็นอย่างยิ่ง”
ไม่ผิด ผู้ที่ชนนางก็คือจวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อ
หลิงมู่เอ๋อร์อารมณ์ไม่ดี ไม่มีอารมณ์มาเล่นลิ้นกับเขา เอ่ยเสียงเบาว่า ‘ขออภัย’ ครั้งหนึ่งคิดจากไป ข้อมือกลับถูกซูเช่อจับไว้
“ชายในดวงใจจากไป ก็ไม่ควรปวดใจเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้กระมัง”
อะไรเรียกว่าชายในดวงใจจากไป?
หลิงมู่เอ๋อร์ประหม่ากังวลจนเป็นฝ่ายจับข้อมือของเขาไว้แทน “คำพูดนี้ของท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ไม่เคยเห็นยามที่นางตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ซูเช่อติดอ่างไปครู่หนึ่ง ในเสี้ยววินาทีก็เข้าใจขึ้นมา “มิน่า ในช่วงเวลานี้จึงเห็นเจ้าที่ร้านอาหาร ข้าก็ว่าพระโพธิสัตว์หลิงใจดำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด ชายในดวงใจนำทัพออกศึกเป็นตายไม่รู้ แต่กลับไม่ไปส่ง ที่แท้เจ้าไม่รู้สิ่งใดเลย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไปแล้ว?
แม้แต่คำทักทายสักคำก็ไม่เอ่ยกับนาง มิน่า จึงไม่ได้มาตามเวลานัด
ดังนั้น การกระทำของเขากำลังแสดงออกว่า เขาไม่ยอมรับคำขอร้องของนาง?
อารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์พลันพังทลายลงทันที รอบกายพลันแผ่ความหนาวเหน็บออกมา
ซูเช่อพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เก็บรอยยิ้มอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
“จวิ้นอ๋องน้อยค่อยๆ รับประทาน”
ฝืนรอยยิ้มสายหนึ่งออกมามอบให้เขา นี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดที่หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิบัติต่อแขกผู้มีเกียรติในฐานะเถ้าแก่
หลังกล่าวจบ ก็รีบพุ่งออกไปอย่างเร่งร้อน นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ซูเช่อเห็นนางมีอารมณ์ผิดปกติได้เช่นนี้
มือที่ถูกนางจับจนเจ็บเมื่อครู่ค้างอยู่ในอากาศ กำเป็นหมัดแน่น
หลิงมู่เอ๋อร์พุ่งตะบึงไปตลอดทาง วิ่งจากร้านอาหารไปถึงประตูเมืองโดยไม่หยุดพัก เป็นอย่างที่คิด ไกลออกไป คนและม้าจำนวนมากกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
เหลือบมองเพียงครั้งเดียว นางก็เห็นบุรุษสวมเกราะแดงที่ขี่อยู่บนม้าวิเศษเหงื่อโลหิต แม้ว่าจะหันหลังให้ แม้ว่าเงาร่างของเขาจะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ
มือของหลิงมู่เอ๋อร์ที่วางอยู่ในแขนเสื้อกำชายเสื้อแน่น รู้สึกเพียงว่าบริเวณหน้าอกเจ็บปวดเล็กน้อย ร่างของนางสั่นไหว เห็นชัดว่าจะล้มลงแล้ว ที่ด้านหลัง พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างทันเวลา ประคองนางไว้อย่างมั่นคง
“แม่นางหลิง ท่านยังดีอยู่หรือไม่?”
จะดีได้อย่างไร?
คู่หมั้นแม้แต่ออกเดินทางก็ไม่บอกนางสักคำ พลันจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ไร้ไมตรีเช่นนี้ มิเพียงไม่ยอมรับคำขอร้องของนาง แม้แต่คำว่า ลาก่อน สักคำก็คร้านจะเอ่ยปากแล้วหรือ?
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เป็นเช่นนี้แปลกหน้าเหลือเกิน
“เป็นเจ้า?” ในยามที่หันสายตามา ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ความขอบคุณเมื่อครู่ของหลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นรังเกียจรำคาญทันที ถูกแล้ว นางโมโหซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว แม้แต่คนข้างกายของเขาก็ไม่เว้น
“เซียวชีน้อมพบแม่นาง แม่นาง ท่านเข้าใจพี่ใหญ่ผิดแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] ยามเหม่า คือ ช่วงเวลา 5:00 – 6:59 น.