เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 96 จวิ้นจู่
เล่มที่ 4 บทที่ 96 จวิ้นจู่
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อเจาหยางจวิ้นจู่ บัดนี้ เมื่อได้ยินหลิงจือเซวียนพูดเช่นนี้อีก ก็ยิ่งตัดสินใจอยู่ให้ห่างจากตระกูลซูเสียหน่อย นางดึงหลิงจือเซวียนจากไป ไม่สนใจเจาหยางจวิ้นจู่ที่มองพวกเขาจากไปอยู่ด้านหลัง เจาหยางจวิ้นจู่มองเงาหลังของหลิงจือเซวียนลับหายไป มุมปากก็เม้มแน่น
“จวิ้นจู่ กลับจวนไปให้ท่านหมอมาดูบาดแผลบนใบหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ!” สาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่งเตือนเจาหยางจวิ้นจู่ด้วยความขลาดกลัว
เจาหยางจวิ้นจู่เมื่อคิดถึงบาดแผลบนใบหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปหลายรอบ นางหันศีรษะมามองสาวใช้ตัวน้อยอย่างดุดัน กล่าวอย่างลนลานว่า “เมื่อครู่ที่เขาไม่มองข้า เป็นเพราะใบหน้าของข้าน่าเกลียดมากใช่หรือไม่? ลักษณะของข้าในตอนนี้น่ากลัวมากหรือ?”
สาวใช้ตัวน้อยไม่เข้าใจ “บาดแผลของจวิ้นจู่ร้ายแรงมากเจ้าค่ะ”
ไม่ได้กล่าวตามตรงว่าน่ากลัวมากหรือไม่ แต่ผลลัพธ์กลับชัดเจนมาก ความหมายก็คืออาการรุนแรงมาก องค์หญิงเจาหยางไม่เขลา รีบขี่ม้ากลับจวนจวิ้นอ๋องทันที
จวนจวิ้นอ๋องเป็นจวนที่ฮ่องเต้ประทานให้ซูเช่อ บิดาและมารดาของซูเช่อมีจวนองค์หญิงและจวนราชบุตรเขยแยกต่างหาก จวนองค์หญิงและจวนราชบุตรเขยอยู่ติดกัน ทว่าความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาแน่นแฟ้น หลังจากที่มีจวนจวิ้นอ๋อง พวกเขาก็ไม่ไปอยู่ที่จวนองค์หญิงและจวนราชบุตรเขยอีก แต่พาบุตรชายบุตรสาว และ ฮูหยินผู้เฒ่ามาอยู่ในจวนจวิ้นอ๋อง
ในฐานะที่เจาหยางจวิ้นจู่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่ แต่เล็กจึงได้รับความรักใคร่โปรดปรานอย่างที่สุด ฮ่องเต้เห็นแก่หน้าขององค์หญิงใหญ่ จึงแต่งตั้งให้นางเป็นจวิ้นจู่ตั้งแต่ยังเด็กมาก ทั้งยังพระราชทานที่ดินประจำตำแหน่ง แม้ในเมืองหลวงจะมิได้มีนางเป็นจวิ้นจู่เพียงผู้เดียว ทว่ามีเพียงนางเท่านั้น ที่มีที่ดินประจำตำแหน่ง สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นความหยิ่งผยองของนางให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์และหลิงจือเซวียนกลับถึงจวน หลิงจือเซวียนได้นำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกกลับไปที่ห้องหนังสือในเรือนด้านหลัง ที่นั่นเป็นห้องสอนหนังสือที่พวกเขาจัดไว้ให้จูชิงเฟิง ภายหน้า เหล่านักเรียนก็จะศึกษาวิชากันที่นั่น ในช่วงเวลาเรียน คนทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้รบกวนพวกเขา ดังนั้น ที่แห่งนั้นจึงกลายเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนทั้งบ้าน
หลิงมู่เอ๋อร์ยุ่งกับเรื่องในโรงหมอ หลังจากครั้งนั้น ตระกูลซูก็มิได้มาหานางอีก นางทำหน้าที่เซียนแพทย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของนางอย่างสุขเสรีเท่านั้น
“ยื่นมือออกมา” หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ก้มหน้าเขียนใบสั่งยาจนเรียบร้อยและส่งให้ซางจือที่อยู่ด้านข้างแล้ว ก็กล่าวกับผู้ป่วยที่อยู่เบื้องหน้า
เห็นผู้ป่วยเงยหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มขึ้นมา เขามองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างยิ้มแย้ม “ท่านหมอ ช่วงนี้จิตใจข้าหวั่นวิตก ว้าวุ่น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านว่าข้าเป็นโรคใดหรือ? หรือว่าถูกคนเกี่ยววิญญาณไป?”
มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุก ปัดมือที่อยู่เบื้องหน้าลง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คุณชายท่านนี้น่าจะมาผิดที่แล้ว ออกจากประตูไปเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปอีกสองตรอก จะเห็นบริเวณนั้นแขวนโคมสีแดงอยู่ ท่านไปเคาะประตูรับยาจากพวกเขาเถิด บรรดาคนที่อยู่ที่นั่นถนัดในการรักษาคนไข้เช่นท่านที่สุด”
มีเสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มคนด้านหลัง ทุกคนต่างไม่โง่ หลิงมู่เอ๋อร์พูดถึงสถานที่ใด แม้จะเป็นสตรีก็ทราบเช่นกัน
เจ้าตัวประหลาดนั่นสีหน้าหมดหนทาง ก่ายหน้าผากถอนใจเบา “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าวิชาแพทย์ของเซียนแพทย์สูงส่งกว่า สตรีในสถานที่นั้นจะรักษาอาการของคุณชายเช่นข้าได้อย่างไร”
“อยากให้ข้ารักษาก็ได้ ทว่าวิธีการรักษาของข้าอาจพิเศษสักหน่อย ไม่อ่อนโยนเช่นคนเหล่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเข็มยาวที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ปลายเข็มหนาประมาณนิ้วคนและยาวราวครึ่งแขน เพียงเห็นตัวเข็มก็รู้สึกขนลุก
เจ้าตัวประหลาดในใจบิดเกลียว รีบลุกขึ้นอย่างเร่งร้อน หลบหลีกจากเข็มเล่มยาวในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไปไกล “เจ้าเจ้าเจ้าอย่าได้เข้ามา เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
“เจ้ามิใช่จะรักษาโรคหรือ? ตัวข้านั้นมีจิตใจเมตตาเป็นที่สุด ในเมื่อผู้ป่วยมีข้อร้องขอเช่นนี้ ข้าจะไม่ดูให้ได้อย่างไร!” หลิงมู่เอ๋อร์กวักนิ้วเรียกชายผู้นั้น มานี่ แม่นางเช่นข้าจะแทงให้เจ้าเข็มหนึ่ง เจ้าจะกลับเป็นปกติดังเดิมในทันที อาการจิตใจว้าวุ่น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในไม่ช้าก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เอาเถิดกูไหน่ไน่ [1] ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรแกล้งเจ้า” เจ้าตัวประหลาดนั่น ซึ่งก็คือหนานกงอี้จือรีบร้องขอความเมตตา “เจ้ามาถึงเมืองหลวง ข้าในฐานะเจ้าบ้านน้อยก็ควรต้อนรับเสียหน่อย ครั้งนี้ ข้าตั้งใจมาเชิญเจ้าไปพักที่บ้านสักระยะ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เจ้าก็ละเว้นข้าเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์เล่นเข็มในมือ จากนั้นเก็บเข็มในมือลงไป เหลือบตามองเขาอย่างดูหมิ่นครั้งหนึ่ง “ข้ายุ่งอยู่ไม่ว่าง ไม่เห็นหรือ?”
“ถึงเจ้าจะไม่พบข้า ก็คงต้องพบญาติผู้พี่ของข้ากระมัง? พวกเจ้าไม่ใช่พี่น้องบุญธรรมหรือ เขาได้ยินว่าเจ้ามาเมืองหลวงแล้วก็ดีใจมาก” หนานกงอี้จือยิ้มประจบ
การกระทำในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง นางกำลังลังเล แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินดีต่อนางไม่น้อย สุดท้ายจึงตัดสินใจไปดูก่อนค่อยว่ากัน
หนานกงอี้จือเห็นนางพยักหน้า ในที่สุดหินก้อนใหญ่ในใจจึงถูกวางลง ภารกิจในครั้งนี้ มารดาของเขาเป็นผู้วางแผน หากทำไม่สำเร็จ กลับไปก็จะต้องถูกแส้อีกแน่ ท่านแม่กล่าวแล้วว่า ญาติผู้พี่ไม่เคยใส่ใจผู้ใดเช่นนี้มาก่อน บัดนี้ ยากนักที่แสดงความรู้สึกดี ๆ ต่อสตรีนางหนึ่ง พวกเขาควรรีบตีเหล็กเมื่อยังร้อน
หนานกงอี้จือเข้าใจเจตนาของมารดาของเขา เป็นเพราะนางกังวลว่า หลานชายที่ไม่รู้จักเอาใจสตรีของนางจะอยู่เป็นโสดไปชั่วชีวิต จึงต้องการรีบเชื่อมด้ายแดงอย่างไม่รอช้า!
ผู้ป่วยด้านหลังเมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์รู้จักกับคุณชายที่หล่อเหลางดงามเช่นนี้ เดิมผู้ที่มีเจตนาหมายปองนางก็พากันแอบถอดใจ หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมไม่รู้แน่นอนว่า การปรากฏตัวของหนานกงอี้จือ ได้ช่วยนางกันเหล่าดอกท้อไว้ไม่น้อย และยังได้ช่วยนางลดจำนวนชายที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ป่วย แต่กลับแสร้งทำเป็นป่วยด้วยเช่นกัน หลายวันถัดมา นางจึงได้ทำงานเบาลงมาก
ในคืนนั้นเอง หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนมาสวมกระโปรงยาวสีเขียวตัวหนึ่ง เกล้าผมเป็นทรงงดงาม นางพึ่งเตรียมตัวเสร็จ คนรับใช้ของตระกูลหนานกงก็มารับนางไปที่จวน
นางยังไม่ได้บอกพวกนางหยางซื่อเรื่องที่เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่นี่ นางไม่รู้ว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินในตอนนี้ต้องการทำสิ่งใด ฐานะผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์หลวง ตำแหน่งนี้มีความซับซ้อนอยู่บ้าง หากการคงอยู่ของพวกเขานำความเดือดร้อนมาสู่นาง ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักจะดีกว่า ดังนั้น วันนี้นางจึงตัดสินใจไปดูสถานการณ์ที่บ้านของหนานกงอี้จือ หากซั่งกวนเซ่าเฉิงหวังให้พวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน นางก็จะทำตามการจัดการของเขา ภายหน้าเมื่อพบเขาข้างนอก ก็จะปฏิบัติตัวเช่นคนแปลกหน้า
“จวนหนิงกั๋วโหว” หลิงมู่เอ๋อร์มองแผ่นป้าย อ่านตัวอักษรด้านบน “จวิ้นอ๋องผู้หนึ่ง จวนโหวหลังหนึ่ง โชคของข้าไม่เลวเลยจริง ๆ ”
น่าเสียดายที่โชคเช่นนี้ นางกลับไม่ปรารถนา
จวนโหวลึกล้ำดุจทะเล เข้าไปเกี่ยวข้องกับตระกูลสูงศักดิ์พวกนี้มากเกินไป นางย่อมไม่อาจมีชีวิตธรรมดาได้แน่ บิดามารดาของนางต่างก็เป็นคนปุถุชน ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
“แม่นาง เชิญด้านใน” พ่อบ้านได้ยินเสียงอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบมาต้อนรับ
หลิงมู่เอ๋อร์ยกกระโปรงยาว ก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ นางมองสำรวจทุกสิ่งในจวน มีคำกล่าวที่ว่า การตกแต่งของบ้านสามารถแสดงถึงลักษณะนิสัยของผู้ปกครองเรือนได้ จากการสังเกต ลักษณะนิสัยของคนครอบครัวนี้น่าจะไม่เลว อย่างน้อยการตกแต่งในจวนก็ดูสง่าผ่าเผยมาก
“ใช่แม่นางหลิงหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา ยอบกายให้นาง “เชิญแม่นางทางนี้ ซื่อจื่อ [2] ของพวกเรารอท่านอยู่ที่ศาลาพักร้อนเจ้าค่ะ”
“ซื่อจื่อ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองสาวใช้อย่างงุนงง ซื่อจื่อใช่หนานกงอี้จือหรือไม่? คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นซื่อจื่อผู้หนึ่ง แต่ก็ถูกต้อง ที่นี่เป็นจวนโหว หนานกงอี้จือเป็นบุตรชายของบ้านนี้ ฐานะย่อมไม่ต่ำต้อย เพียงแต่นางไม่คิดว่า เขาที่ดูทะเล้นไม่จริงจัง จะดำรงตำแหน่งซื่อจื่อได้ หรือว่า หนิงกั๋วโหวผู้นี้จะมีบุตรชายเพียงคนเดียว?
ในศาลาพักร้อน หนานกงอี้จื้อยืนอยู่ที่นั่นกวักมือเรียกนาง เขายิ้มอย่างเจิดจ้า เผยฟันขาวสะอาดทั้งปาก
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของเขา ก็แอบด่าว่าเจ้าทึ่มอยู่ในใจ ใบหน้าที่ดีเช่นนี้กลับมาอยู่บนตัวเจ้าโง่นี้ได้ ช่างเสียของจริง ๆ
“ญาติผู้พี่ของเจ้าเล่า?” ในศาลาพักร้อนไม่มีบุคคลอื่น มีเพียงหนานกงอี้จือ เจ้าทึ่มคนนี้เท่านั้น หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างโมโห “เจ้าหลอกข้า?”
หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตัดพ้อ “เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่รังเกียจข้าเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในเมืองหลวงมีหญิงจำนวนเท่าใดที่อยากโผมาเสนออ้อมกอดแก่ข้า?”
“เช่นนั้น เจ้าก็ไปเชิญหญิงที่อยากเสนอตัวเหล่านั้นเถอะ! ข้าไม่ได้อยากกินข้าวกับเจ้า” หลิงมู่เอ๋อร์แสดงท่าทีที่ต้องการจะจากไป
หนานกงอี้จือผิดหวัง พูดกับผู้ที่อยู่ในที่ลับว่า “ท่านแม่ ท่านใช่ควรออกมาแล้วหรือไม่? ตอนนี้เห็นลูกชายของท่านถูกผู้อื่นรังเกียจ พอใจแล้วหรือไม่ขอรับ?”
อุ๊บ ฮ่า! มีเสียงพ่นหัวเราะลอยมาจากในที่ลับ
หญิงที่ออกเรือนแล้วนางหนึ่งเดินออกมาจากที่ซ่อนอย่างสง่างาม ในดวงตางดงามคู่นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อหลิงมู่เอ๋อร์
นั่นเป็นหญิงออกเรือนแล้วที่งดงามน่าหลงใหลอย่างมากนางหนึ่ง นางมีหน้าตาคล้ายกับหนานกงอี้จือมาก เพียงแต่นางงดงามกว่า เย้ายวนกว่า และมีเสน่ห์ที่หลากหลายกว่าหนานกงอี้จือ
ฮูหยินผู้นั้นกุมมือของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติราวกับคุ้นเคยกันมานาน นางยิ้มบาง ๆ ว่า “เจ้าทำให้ข้าต้องมองใหม่อย่างชื่นชมจริง ๆ ข้ายังไม่เคยเห็นลูกชายของข้าถูกคนรังเกียจถึงเพียงนี้มาก่อน สาวน้อยเช่นเจ้าช่างน่าสนใจจริง ๆ ”
“ฟูเหรินท่านนี้มีนามว่ากระไรหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่านี่คือมารดาของหนานกงอี้จือ “หรือข้าควรเรียกท่านว่า โหวฟูเหริน [3]?”
“ไม่ต้องเหินห่างเช่นนั้น ตำแหน่งฟูเหรินของท่านโหวนี้เอาไว้ให้คนนอกดูเท่านั้น เจ้าเป็นคนกันเอง เรียกข้าว่า ป้าอวิ๋น ก็พอ” อวิ๋นซื่อไม่ปิดบังความพอใจที่มีต่อหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่น้อย “ได้ยินว่าเป็นน้องบุญธรรมของเฉินเอ๋อร์ เจ้าอยากพบเฉินเอ๋อร์ใช่หรือไม่? เดิมข้าจะเรียกเขามา แต่วันนี้เขาถูกฝ่าบาทรั้งตัวไว้ในวัง วันหน้าพวกเราค่อยเรียกเขามา วันนี้ก็ถือซะว่ามากินข้าวเป็นเพื่อนป้า ว่าอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้เข้าใจว่า งานเลี้ยงในวันนี้เป็นความคิดของอวิ๋นซื่อ นางเห็นว่าอวิ๋นซื่อไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนาง แต่ก็ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของนางจริง ๆ
หรือนางตั้งใจมาดูนางโดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบว่านางจะเป็นภัยต่อซั่งกวนเซ่าเฉินหรือไม่? ตอนนี้เมื่อได้เห็นนางและวางใจแล้ว จึงได้แสดงความเมตตาออกมา?
ไม่อาจไม่พูดว่า หลิงมู่เอ๋อร์เดาถูกแล้ว
อวิ๋นซื่อมีเจตนาเช่นนั้นจริง ๆ
ในยามที่หนานกงอี้จือพาซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมา อวิ๋นซื่อได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ในหลายปีมานี้ของซั่งกวนเซ่าเฉินจากหนานกงอี้จือ และยังได้รู้อีกว่า เขามีน้องสาวบุญธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกนางหนึ่ง ในยามนั้น อวิ๋นซื่อมีเพียงความระวังสงสัย แต่กลับมิได้นำมาใส่ใจ หลายวันก่อน หนานกงอี้จือกลับบอกว่าได้พบน้องบุญธรรมผู้นั้น อวิ๋นซื่อจึงได้เริ่มกังวลขึ้นมา
นางกลัวหลิงมู่เอ๋อร์จะส่งผลร้ายต่อซั่งกวนเซ่าเฉิน จึงบังคับให้หนานกงอี้จือไปเชิญหลิงมู่เอ๋อร์มา ทั้งยังไม่ยอมให้หนานกงอี้จือบอกซั่งกวนเซ่าเฉินเรื่องที่หลิงมู่เอ๋อร์เข้าเมืองหลวงมา จนกระทั่งบัดนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงยังไม่รู้ว่า หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้น งานเลี้ยงในวันนี้จึงไม่ใช่ความคิดของเขา
เรื่องทั้งหมดนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ล้วนไม่ทราบ นางเข้าใจเพียงว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ว่างมาร่วมงานจริง ๆ ดังนั้น ในใจจึงได้ปล่อยวางไป
“เจ้ายังตะลึงอะไรอยู่ตรงนี้อีก? ที่นี่มีธุระอะไรของเจ้ากัน?” อวิ๋นซื่อเงยหน้าตำหนิหนานกงอี้จือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นมารดาที่ไม่พอใจบุตรชายเช่นนี้มาก่อน ทว่าความไม่พอใจนี้ ก็ค่อนข้างจะคล้ายหมอนปักลาย [4] เท่านั้น นางรังเกียจแต่เพียงเปลือกนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดวงตากับเต็มไปด้วยความอบอุ่น ท่าทีที่นางมองหนานกงอี้จือนั้นไม่ต่างกับมารดาทั่วไปเลย เห็นได้ว่า ยามปกติสองแม่ลูกก็อยู่ร่วมกันเช่นนี้
หนานกงอี้จือถอนใจเบา “นับตั้งแต่ญาติผู้พี่กลับมา ฐานะในบ้านของข้าแม้แต่เสี่ยวหวังก็เทียบไม่ได้แล้ว ช่างเถอะช่างเถอะ ไม่ต้อนรับข้า ข้าไปหาเสี่ยวหวังก็ได้”
———————–
[1] กูไหน่ไน่ เป็นสรรพนามที่ใช้สตรีในครอบครัวที่ออกเรือนไปแล้ว หรือใช้เรียกหญิงสาวที่สนิทสนมในเชิงตำหนิ
[2] ซื่อจื่อ คือ ทายาทผู้จะได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดบรรดาศักดิ์
[3] โหวฟูเหริน คือ ฮูหยินของท่านโหว
[4] หมอนปักลาย เป็นสำนวนหมายถึง ดูดีแต่เปลือกนอก ภายในกลับไม่มีอะไร