เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 102 พัวพัน
เล่มที่ 4 บทที่ 102 พัวพัน
แก้มของเจาหยางจวิ้นจู่กลายเป็นสีแดง ดวงตาสั่นไหว
เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ท่าทางเช่นนี้กลับไม่เหมือนว่าจะมาหาเรื่องหลิงจือเซวียน แต่ว่า นางไม่ต้องการให้พี่ชายมีความเกี่ยวข้องใดกับจวิ้นจู่น้อยที่เอาแต่ใจผู้นี้ แบบนี้เทียบกับการที่นางมาหาเรื่องพี่ชายแล้วยังทำให้คนปวดหัวกว่าเสียอีก
พี่ชายมีหน้าตาหล่อเหลา เจาหยางจวิ้นจู่ผู้นี้ก็งดงามดุจดอกไม้ ขอเพียงเก็บนิสัยเอาแต่ใจของนาง ดูแล้วก็เป็นหญิงสาวที่ไม่เลวนางหนึ่ง ทว่าคนทั้งสองมีฐานะแตกต่างกันมาก ฐานะครอบครัวของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็แสดงอยู่ตรงนั้น หากเกิดความขัดแย้งระหว่างชายหญิงขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อพี่ชาย สำหรับครอบครัวสกุลหลิงแล้วก็มิใช่เรื่องดี
หยางซื่อเป็นคนซื่อ เพียงต้องการหาลูกสะใภ้ที่อ่อนโยนและจิตใจดีงามเท่านั้น เจาหยางจวิ้นจู่น้อยนางนี้ไม่ว่าจะมองจากด้านใด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความอ่อนโยนและจิตใจดีงามทั้งสิ้น และหยางซื่อก็ไม่มีทางชอบให้สตรีเช่นเจาหยางจวิ้นจู่น้อยมาเป็นลูกสะใภ้ นอกจากนี้ หากหลิงจือเซวียนอยู่ร่วมกับสตรีผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ต่ออนาคตของเขาแม้แต่น้อย ในกลับกัน กลับง่ายที่จะถูกผู้คนครหาว่าเป็นเจ้าหนุ่มหน้าขาวที่อาศัยสตรีในการขึ้นสู่ตำแหน่ง ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไร เจาหยางจวิ้นจู่น้อยนางนี้ก็คือความยุ่งยากในความยุ่งยาก นางจะต้องป้องกันไม่ให้พวกเขาเกิดความเกี่ยวข้องกันขึ้นมา
นางรู้ว่า หลิงจือเซวียนในตอนนี้มิได้มีความรู้สึกใดๆต่อเจาหยางจวิ้นจู่แม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่แสดงออกมาในตอนนี้ ล้วนเป็นความเต็มใจแต่เพียงฝ่ายเดียวของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยเท่านั้น
“เจ้าจะยุ่งทำไมว่าข้าหาเขาเพราะเหตุใด? เปิ่นจวิ้นจู่หาเขา แน่นอนว่าย่อมมีธุระ” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยใบหน้ากลายเป็นสีแดง กล่าวอย่างไม่พอใจ “เขาล่ะ?”
“พี่ชายไม่อาจเปรียบกับจวิ้นจู่น้อยที่มีชีวิตอิสรเสรี เขาเป็นเสาหลักของสกุลหลิงเรา ทุกวันต้องวิ่งวุ่นเพื่อการดำรงชีวิต ตอนนี้ย่อมต้องอยู่ในสถานที่ที่เขาควรอยู่” หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบ ก็เดินผ่านข้างกายของจวิ้นจู่น้อยเข้าไปในร้านอาหาร เสี่ยวเอ้อร์ที่พบเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ ต่างก็ทำความเคารพทักทายนาง หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าตอบให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร
จวิ้นจู่น้อยตามหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในร้านอาหารอย่างกระชั้นชิด นางเห็นการตอบสนองของทุกคน จึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เหลาอาหารสกุลหลิงเป็นกิจการของครอบครัวนาง นางอดกลั้นจนใบหน้าน้อยๆเป็นสีแดง ยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง ภายใต้สายตาสงสัยของหลิงมู่เอ๋อร์ นางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “พี่ชายของเจ้าจะต้องลำบากเช่นนั้นไปทำไม? ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ใช่ของครอบครัวเจ้าหรือ? เหตุใดเขาจะต้อง…ไอ้หยา เขาไม่อยู่ก็ช่างเถอะ หาเจ้าก็เหมือนกัน ข้ากับเหล่าพี่น้องผ่านที่นี่ คิดอยากจะกินข้าวในที่แห่งนี้ของเจ้า…”
เสียงของจวิ้นจู่น้อยเบาลงเรื่อยๆ ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับเข้าใจความหมายของนาง ผ่านไปครึ่งวัน ที่แท้จวิ้นจู่น้อยคนนี้อยากเปิดประตูหลัง จองโต๊ะสั่งอาหารที่นี่
หลิงมู่เอ๋อร์กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้าง เสี่ยวเอ้อร์เมื่อเห็นก็รีบวิ่งเข้ามา กล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเคารพว่า “คุณหนูใหญ่มีคำสั่งใดขอรับ?”
แม่นางท่านนี้เป็นน้องสาวของเพื่อนข้า เจ้าพานางไปห้องปีกข้างที่ปกติข้าใช้ทานอาหาร ก็ถือเป็นกรณีพิเศษให้นางแล้วกัน ปกติแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์เคยชินกับการที่คนในครอบครัวจะส่วนตัวแยกออกมาด้านข้าง และจะเหลือห้องข้างไว้สำหรับคนใกล้ชิดด้วย ดังนั้น นอกจากห้องปีกข้างที่ปกติจะให้จองออกไปแล้ว โดยปกติแล้วก็จะเหลือห้องเปล่าบริเวณปีกข้างไว้สองห้องเพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับเวลาที่จำเป็น
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องในวันนี้ก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นต้องใช้ขึ้นมากะทันหัน
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง สายตาของนางก็อบอุ่นขึ้นมาก
“เอ่อ ขอบคุณมาก” แม้จะไม่เต็มใจ แต่เจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็ยังคงกล่าวขอบคุณออกมาคำหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองเจาหยางจวิ้นจู่น้อยที่ราวกับผีเสื้อที่บินจากไปตัวหนึ่ง สายตาหนักอึ้ง นางมองเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ข้างกายถามว่า “จวิ้นจู่น้อยนางมักจะมาหาคุณชายที่นี่หรือ?”
เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึงไป ตอบตามความจริงว่า “นั่นกลับไม่ใช่ขอรับ แต่ว่าสองวันมานี้ กลับวิ่งมาที่ร้านอาหารของพวกเราทุกวัน นางระบุว่าจะให้คุณชายใหญ่เป็นผู้รับใช้”
“วันหลังหากนางมาหาคุณชายใหญ่อีก เจ้าก็บอกว่า คุณชายใหญ่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ออกจากบ้านบ่อยนัก” หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วพูด “ทางที่ดีที่สุด เปิดเผยโดยไม่ตั้งใจซักเล็กน้อยว่า คุณชายใหญ่ได้หมั้นหมายแล้วอะไรทำนองนั้น จะอย่างไร ก็อย่าให้นางมาเสนอตัวอยู่ต่อหน้าคุณชายใหญ่ได้ ”
เสี่ยวเอ้อร์สามารถถูกหยางต้าหนิวเลือกเข้ามาอยู่ในร้านอาหารได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่มีไหวพริบดี เมื่อฟังความหมายของหลิงมู่เอ๋อร์ยังจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก ก็รับคำในที่นั้นทันที
หลิงมู่เอ๋อร์ให้เสี่ยวเอ้อร์พาตนไปยังห้องที่ว่างอยู่อีกห้องหนึ่ง นางสั่งอาหารสองสามอย่างในห้อง ใช้ฐานะนักชิมลองชิมอาหารเด่นประจำร้านสองสามเมนู
“ไก่ตัวนี้แก่เกินไปแล้ว ให้พ่อครัวควบคุมไฟให้ดีกว่านี้อีกหน่อย” หากไม่ใช่เพราะมีน้ำจากในมิติ อาหารเช่นนี้มิอาจเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ดูไปแล้ว การฝึกฝนที่มีต่อเหล่าพ่อครัวใหญ่ในยามปกตินั้นยังไม่เพียงพอ เรื่องของร้านยายังคงต้องวางลงก่อน จะต้องจัดการร้านอาหารให้ดีก่อนจึงจะได้ เพราะที่นี่จึงจะเป็นรากฐานในการดำรงชีวิตของคนทั้งครอบครัว
เพียงครั้งเดียว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ชี้ข้อผิดพลาดออกมาหลายจุด พ่อครัวใหญ่ในห้องครัวต่างก็น้อมรับฟังการสั่งสอน หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าท่าทีของพวกเขายังไม่เลว ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับพวกเขา
พึ่งออกจากห้อง ก็เห็นห้องด้านข้างมีบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมา ชายผู้นั้นชุดขาวพลิ้วไหว บรรยากาศสง่างาม รูปลักษณ์โดดเด่น ที่สำคัญคือผู้ที่ประคองชายหนุ่มผู้นั้นเป็นสตรีที่แต่งกายอย่างประณีตงดงามนางหนึ่ง หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างชื่นชม ดวงตาคู่นั้นไม่มีความกระจ่างใส มีแต่ประกายของการวางแผน
มองชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง ฝีเท้าล่องลอย แก้มแดง ดวงตาแฝงความปรารถนา ดูจากสัญญาณเหล่านี้ก็ไม่ยากที่จะมองออกว่า ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ใด
หลิงมู่เอ๋อร์มองคนทั้งสองครั้งหนึ่ง หญิงสาวเบื้องหน้าค้นพบสายตาของนาง ใบหน้างดงามก็เคร่งขรึมขึ้นมา “มองอะไร? หากยังกล้ามองมั่วอีก จะทำให้ตาของเจ้าบอดซะ”
ช่างเป็นคุณหนูที่เกเรไร้เหตุผลเหลือเกิน! ฝีมือนี้เทียบกับเจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็ไม่ต่างกันมากแล้ว
นางที่เดิมไม่อยากยุ่งเรื่องไร้สาระ วันนี้กลับจะต้องยุ่งกับเรื่องไร้สาระนี้แล้ว ใครใช้ให้หญิงสาวนางนี้มาหาเรื่องนางเข้าแล้ว
“คุณชายใหญ่สกุลซู ไม่ถูก จวิ้นอ๋องน้อยก็มีเวลาที่ถูกผู้หญิงวางแผนใส่เช่นกัน วันนี้ได้ดูงิ้วที่ดีฉากหนึ่งแล้วจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษเบื้องหน้าอย่างเย้ยหยัน
ชายคนนั้นมิใช่ผู้อื่น คือซูเช่อนั่นเอง และซูเช่อในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกคนวางยาแล้ว
หญิงสาวไม่คิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะรู้จักกับซูเช่อ นางถลึงตาใส่นางอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนนางว่าอย่างได้ยุ่งเรื่องของผู้อื่น
ซู่เช่อกำลังสะลึมสะลือแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ตัวเขาที่ยังรักษาสติไว้ได้อยู่บ้างก็ผลักหญิงในอ้อมแขนออก เดินโผเผมาทางนาง
หญิงสาวนางนั้นไม่ทันตั้งตัว ถูกซูเช่อผลักล้มลงกับพื้น นางเงยหน้าขึ้นอย่างประหม่า ก็เห็นใบหน้าหล่อเหล่าที่มืดครึ้มเย็นชาของซูเช่อเข้าพอดี
เป้าหมายของหลิงมู่เอ๋อร์ได้สำเร็จลงแล้ว จึงเตรียมจากไป ส่วนพิษที่ซูเช่อโดนนั้น ออกนอกประตูไปเลี้ยวซ้าย ร้านค้าร้านที่สามก็คือโรงหมอ อดทนไปจนถึงที่นั่นไม่มีปัญหาอะไร
มือข้างหนึ่งโอบกอดเอวของนางไว้ กอดทั้งตัวของนางไว้ในอ้อมอก ร่างอบอุ่นร่างหนึ่งกดทับเข้ามา ครอบครองริมฝีปากของนางอย่างเอาแต่ใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดว่าเจ้าคนผู้นี้จะถือโอกาสชุลมุนปล้นชิง นางผลักซูเช่อออก เงยหน้าขึ้นเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของคนผู้นั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ร้องไห้โดยไร้น้ำตา
ฟ้าดินเป็นพยาน นางไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ เพราะอย่างไรซูเช่อเต็มใจให้หญิงสาวผู้นั้นเข้าใกล้ ก็หมายความว่าเขารู้จักกับหญิงสาวนางนั้น หากไม่มีการอนุญาตจากซูเช่อ องครักษ์ของซูเช่อย่อมต้องออกหน้าขัดขวาง เดิมนางก็เพียงแค่ขัดตากับท่าทางแยกเขี้ยวกางเล็บของหญิงสาวนางนั้นเท่านั้น
ไม่ได้คิดเลยว่าจะชักไฟมาใส่ตนเอง อีกทั้งฉากนี้ก็ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเข้าพอดี
ซั่งกวนเซ่าเฉินในเวลานี้มีสีหน้าที่ไม่น่าดูอย่างมาก ปกติในยามที่เขาไม่พูดจาก็มีบรรยากาศที่เผด็จการ ดังนั้น หญิงสาวพวกนั้นจึงไม่กล้าเข้าใกล้เขา บัดนี้ ทั่วร่างของเขาแผ่รัศมีอันตรายออกมา แม้แต่นางที่ไม่เคยกลัวเขามาก่อน ก็รู้สึกขนหัวลุกอยู่บ้าง
“พี่ใหญ่ เป็นเขาโถมเข้ามา ไม่เกี่ยวกับข้านะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็อธิบายอย่างน้อยอกน้อยใจ
ซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่ในชุดหรูหรา ทั่วทั้งร่างสาดรัศมีเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งออกมา บางทีเขาอาจไม่หล่อเหลา ทว่าองคาพยพที่เย็นชาและแข็งกระด้างทั้งห้าเมื่อผสานเข้าด้วยกัน ก็มีเสน่ห์ที่พิเศษชนิดหนึ่ง
บัดนี้ ที่เบื้องหลังของเขามีชายวัยฉกรรจ์ยืนอยู่หลายคน ชายพวกนั้นมองซูเช่อที่อยู่บนพื้นด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ก็เผยรอยยิ้มเห็นใจออกมา
พี่ใหญ่ของพวกเขาโกรธมาก ผลลัพธ์ร้ายแรงมาก
แน่นอนว่า พี่ใหญ่ย่อมไม่อาจรังแกพี่สะใภ้ในอนาคตได้ ดังนั้น เจ้าคนเคราะห์ร้ายบนพื้นนั่นก็จะเคราะห์ร้ายแล้ว เพราะเขาจะต้องรองรับไฟโทสะของพี่ใหญ่
“จวิ้นอ๋องน้อยดื่มจนเมามายแล้ว พวกเจ้าประคองเขาไปสร่างเมา” ซั่งกวนเซ่าเฉินอุ้มหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา พูดกับบรรดาลูกน้องที่อยู่เบื้องหลัง
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่เอาแต่สนใจนางในดวงใจ โยนเรื่องเละเทะไว้ให้พวกเขา ก็โอดครวญเสียงเบาอย่างตัดพ้อไม่ได้
“พวกเจ้าจะพาจวิ้นอ๋องน้อยไปที่ใดกัน?” หญิงสาวนางนั้นพูดอย่างตะกุกตะกัก “พวกเจ้าจะทำอะไร?”
“ลุกอนุของรองเสนาบดีกรมคลัง คุณหนูสามสกุลหวัง…” ลูกน้องคนหนึ่งของซั่งกวนเซ่าเฉินมองหญิงสาวด้วยใบหน้าแย้มยิ้มหยอกเย้า “การกระทำของเจ้าในวันนี้เป็นการจัดการด้วยตนเอง หรือเป็นแผนการของรองเสนาบดีกรมคลังกันเล่า? เจ้ายังคงคิดให้ดีเถิดว่าจะอธิบายกับจวิ้นอ๋องน้อยอย่างไร! ด้วยฐานะของเขา คิดว่าคงไม่ยอมเสียเปรียบเช่นนี้แน่”
หญิงสาวฟังคำพูดของคนผู้นั้น บนใบหน้างดงามก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นางกล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าก็ถูกให้ร้ายเช่นกัน ยานั่นข้าไม่ได้เป็นคนวาง”
ถูกแล้ว ถูกแล้ว ยาไม่ใช่นางเป็นผู้วาง แม้จะถูกผู้อื่นเล่นงาน ก็ไม่อาจโทษนางได้ หญิงสาวสะกดจิตตนเองอยู่ในใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากฟังเรื่องน่ารังเกียจพวกนี้ ยานั้นถึงจะไม่ใช่หญิงสาวเป็นผู้วาง แต่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับนาง อีกทั้งที่นางสามารถฟันธงได้ก็คือ หญิงสาวนางนี้ทั้งที่รู้เรื่องราว แต่ก็ยังคงพาซูเช่อจากไป เจตนานั้นชัดเจนอย่างมาก
บนโลกนี้เหตุใดจึงได้มีผู้หญิงที่ไม่รักตัวเองเช่นนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็ยอมสูญเสีย หรือนางไม่เคยคิดว่า หลังจากซูเช่อกินแล้วจะไม่ยอมรับหรือ? นางกลับไม่คิดว่าซูเช่อเป็นสุภาพบุรุษ บุรุษเช่นเขาทระนงตนเป็นที่สุด หากรู้ว่าตนเองถูกผู้อื่นวางแผนใส่ จะต้องไม่ใช่ผู้ที่รักถนอมหยก [1] แน่
ซั่งกวนเซ่าเฉินปิดบังดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ กล่าวที่ข้างหูของนางว่า “ข้าจะพาเจ้าไป ที่นี่อย่าได้ดูแล้ว ไป”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าติดๆกัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินพาหลิงมู่เอ๋อร์กลับบ้านสกุลหลิง เขาขี่ม้าตะบึงไปบนเส้นทาง คนจำนวนมากต่างก็เห็นเขาพาสตรีนางหนึ่งขี่ม้าด้วย ฐานะของคนทั้งสองถือได้ว่าถูกกำหนดลงมาแล้ว นับจากนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถูกประทับตราที่มีสัญลักษณ์ว่าซั่งกวนเซ่าเฉิน นี่ก็คือสถานการณ์ที่ซั่งกวนเซ่าเฉินยินดีจะเห็น ไม่เช่นนั้น เขามักต้องคอยระวังเหล่าหมาในและสุนัขจิ้งจอก
ในห้อง ซั่งกวนเซ่าเฉินยึดหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ที่กำแพง หลิงมู่เอ๋อร์เบี่ยงออกจากเงื้อมมือของเขา เมื่อหมุนกาย ก็ถูกเขากักขังไว้แล้ว
“พี่ใหญ่ ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ ท่านอย่าได้โมโหแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าหนีไม่พ้น จึงได้แต่พูดจาดีๆมาขอร้อง “เรื่องเมื่อครู่…”
คำพูดยังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าเย็นชาที่เข้ามาใกล้ก็อยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากบางครอบครองปากน้อยๆที่ประดุจลูกอิงเถาของนาง [2] เริ่มจากกันขบกัดประดุจการลงทัณฑ์ก่อน จากนั้นจึงเป็นการดึงดูดคลอเคลีย
ในตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยนางออกนั้น อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นไม่น้อย นางใบหน้าแดง ถลึงตาใส่เขาอย่างเขินอาย “ท่านถือโอกาสเอาเปรียบ”
“ข้าช่วยเจ้าลบรอยประทับของเขา ที่นี่มีแต่ข้าเท่านั้นที่แตะต้องได้ หากให้ข้าเห็นชายอื่นมาแต่ต้องอีก ข้าจะฆ่าเขาทิ้งซะ” ซั่งกวนเซ่าเฉินแตะริมฝีปากสีชาดของนาง เมื่อครู่เจ้ามีโอกาสหลบพ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับถูกเขาจู่โจมเอาได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า อีกนิดเดียวข้าเกือบจะสังหารเขาแล้ว?
————————
[1] รักถนอมหยก เป็นสำนวนหมายถึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างรักใคร่และอ่อนโยน
[2] อิงเถา คือ ลูกเชอร์รี่