เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 90 เสาะถาม
เล่มที่ 3 บทที่ 90 เสาะถาม
หลังหลิงมู่เอ๋อร์กลับถึงบ้าน นางตัดสินใจแช่อยู่ในถังอาบน้ำอย่างสุขสบายไปรอบหนึ่งก่อน เมื่อจัดการตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงาร่างสายหนึ่งพลันกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามา
“ความชอบของจวิ้นอ๋องน้อยช่างพิเศษเสียจริง” หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แปรงผมของตนเอง
ผมยาวดำขลับสยายอยู่เบื้องหลัง นิ้วเรียวยาวกำลังจัดระเบียบพวกมันอยู่ หลังจากที่นางเหลือบมองซูเช่อแวบหนึ่งแล้ว ย่อมไม่สนใจอีก
ซูเช่อคิดไม่ถึงว่า หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากมาเร็วขึ้นกว่านี้สักหนึ่งเค่อ ใช่ว่าจะพบกับสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าหรือไม่? เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็อดกระดากเล็กน้อยมิได้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก ยังมิสู้เข้ามาจากทางประตูใหญ่ เขาเพียงไม่ต้องการให้ยุ่งยาก ดังนั้นกระโดดข้ามกำแพงได้ก็เข้ามาหานางแล้ว
เส้นผมของหลิงมู่เอ๋อร์ยังคงชื้นอยู่มาก หลังจากนางหวีเสร็จแล้ว ก็ใช้ผ้าสะอาดเช็ดผม เช่นนี้จะได้แห้งเร็วขึ้นหน่อย ซูเช่อไม่กล่าววาจา นางก็ไม่พูดจา อย่างไรเสีย ผู้ที่เป็นห่วงเหล่าฟูเหรินก็เป็นเขา นางจะไปกังวลใจด้วยเพื่อสิ่งใด?
ซูเช่อนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น
แม้เขาจะเกิดมาสูงศักดิ์มั่งคั่ง ทว่าตั้งแต่เล็กก็ได้ผ่านเหตุการณ์มาไม่น้อย นับตั้งแต่อายุสิบห้า เขาก็เริ่มทำงานในราชสำนัก ที่สัมผัสพบเจอล้วนเป็นเหล่าจิ้งจอกเฒ่า ปกติแล้วก็สู้รบกับพวกเขาด้วยไหวพริบและวิธีการต่าง ๆ ความอดทนเล็กน้อยเพียงเท่านี้ยังพอมีอยู่บ้าง จนเมื่อหลิงมู่เอ๋อร์จัดการเส้นผมเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้วางแก้วในมือมองไปที่นาง
ในยามนั้น ในดวงตาของเขาสาดประกายประหลาดใจอย่างชื่นชมออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์สวมชุดยาวสีเงินยวง ตัวกระโปรงปักดอกเบญจมาศเล็กๆ ไว้ เอวบางเล็กนั้นภายใต้การขับเด่นของกระโปรงยาวทำให้เปี่ยมด้วยบรรยากาศดั่งมีมนตร์เสน่ห์ เรือนร่างที่อิ่มเอิบสมบูรณ์นั้น ยิ่งทำให้เขาเสพบุญตาอย่างอิ่มเอม นางมิได้เกล้าผมยาวขึ้นไป แต่ปล่อยให้มันสยายออก ทั่วทั้งร่างเกียจคร้านราวสุนัขจิ้งจอก ในยามที่ทำให้คนตกตะลึงก็เกิดความรู้สึกระมัดระวังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
“ร่างกายท่านย่าของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเช่อได้สติกลับมา หลุบตากล่าวว่า
“ข้ามิได้บอกไปแล้วหรือ? ร่างกายของนางดีมาก” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้ว “ตอนนั้นยามอยู่ในห้อง ท่านมิได้ฟังข้าพูดหรือ?”
“เจ้าก็กระจ่างดีว่าคำพูดพวกนั้นล้วนเพื่อปลอบใจนาง ข้าต้องการฟังความจริง” ซูเช่อขมวดคิ้ว “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าท่านย่าของข้าถูกพิษ”
“ในเมื่อรู้อยู่แต่แรกแล้ว เหตุใดไม่เรียกหมอมารักษา ข้าเป็นเพียงหมอหญิงจากชนบทนางหนึ่ง ท่านก็เชื่อถือข้าถึงเพียงนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางมองซูเช่อนิ่งๆ
แววตาของซูเช่อซับซ้อน ทักษะทางการแพทย์ของนางไม่เป็นที่ต้องสงสัย ทว่าที่เชื่อถือนางเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน บางที่อาจเป็นเพราะนางช่วยเขาไว้ เขาจึงได้วางใจในตัวนางไม่น้อยกระมัง หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมีฉายาเซียนแพทย์ ชื่อเสียงด้านจิตใจดีงามเป็นที่เลื่องลือ เขาจึงไม่กลัวว่านางจะลงมือทำร้ายหญิงชรานางหนึ่งที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน
“เอาเถอะ ข้าไม่ล้อท่านเล่นแล้ว ท่านย่าของเจ้าต้องพิษจริงๆ และยังเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้าอีกด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบๆ “ตอนนี้ค้นพบช้าเกินไปเสียแล้ว แม้จะแก้พิษให้นาง ก็กลัวว่าจะมิอาจอยู่ได้เกินสามปี”
“เจ้ามีเงื่อนไขใด? ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ เจ้าสามารถกล่าวมาได้เลย ขอเพียงเจ้าสามารถรั้งชีวิตของท่านย่าของข้าไว้ได้” ซูเช่อกำฝ่ามือแน่นขณะกล่าววาจา
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาทีหนึ่ง เขี่ยเส้นผมที่กระจายอยู่บริเวณข้างหูเล่น “ข้าไม่ได้สนใจในเงื่อนไขพวกนั้นของท่าน ทว่า ข้ามีความสนใจในพิษที่นางได้รับ พิษออกฤทธิ์ช้าเช่นนี้ยุ่งยากเป็นที่สุด ฤทธิ์ของมันไม่ร้ายแรงนัก แต่จะค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปในเลือดเนื้อ ข้าก็อยากจะรู้ให้ชัดเจนว่านั่นเป็นพิษใด ท่านหาโอกาสให้ข้าดูสิ่งของที่นางใช้เสียหน่อย พิษชนิดนี้ไม่แน่ว่าจะต้องใส่ในอาหาร อาจจะวางไว้ในสิ่งที่นางใช้เป็นประจำก็เป็นได้”
“คิดอยากจะดูข้าวของเครื่องใช้ของท่านย่าข้า ก็มีเพียงไปอยู่เป็นเพื่อนนางเป็นประจำแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องอยู่ในจวนซักหลายวันจึงจะได้ ไม่ทราบว่าเมื่อใดจะสะดวก ข้าสามารถเตรียมการให้เจ้าได้ ส่วนเรื่องฐานะนั้น ก็บอกว่าเป็นสตรีคู่ใจของข้า เช่นนี้ได้หรือไม่?” ซูเช่อเลิกคิ้วมองนาง
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ? หากไม่อาจจัดฐานะที่เหมาะสมให้ข้า ท่านก็ไม่ต้องมาหาข้าแล้ว ข้าช่วยงานท่าน ยังต้องเสี่ยงกับการถูกผู้ที่ชื่นชมท่านพวกนั้นตามสังหาร เช่นนั้นข้ามิใช่เสียเปรียบมากหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิดกัน หากไม่มีเรื่องอื่นก็เชิญกลับเถิด! ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
“อย่าโมโหไปเลย ไม่หยอกเจ้าแล้ว ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็จะมารับเจ้า” ซูเช่อเมื่อพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์จบ ก็กระโดดข้ามกำแพงไปราวกับเงาร่างสีขาวสายหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว “จวิ้นอ๋องน้อยคนนี้ช่าง…”
วันถัดมา หลิงมู่เอ๋อร์ไปที่บ้านสกุลจูก่อนเพื่อรักษาดวงตาให้จูฉี จูชิงเฟิงไม่ให้นางเข้าใกล้เขา แต่ในยามที่นางรักษาจูฉี เขาจะดูอยู่ด้านนอกประตู สำหรับบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว เขาให้ความสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าความดื้อรั้นของคนผู้นี้ใช่ว่าจะไร้ยารักษา
“เป็นอย่างไรบ้าง? ฉีเอ๋อร์?” เหยาซื่อมองจูฉีอย่างประหม่า
จูฉียิ้มบางว่า “ท่านแม่วางใจ ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
“ดวงตา…” เหยาซื่อพกพาความหวังเศษเสี้ยวหนึ่งมองไปที่จูฉี
“คันเล็กน้อย เจ็บแปลบเล็กน้อย อย่างอื่นก็มิรู้สึกถึงสิ่งใดแล้วขอรับ อ้อ ถูกแล้ว จุดแสงสว่างที่เป็นสีขาวนั่น ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นแล้ว” จูฉีกล่าวอย่างสงสัย หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินสิ่งที่จูฉีบรรยาย ก็แปะยาที่ปรุงเสร็จแล้วลงบนดวงตาของเขาอีกครั้ง กำชับว่า “วันละสามครั้ง แต่ละครั้งพอกไว้สองชั่วยาม ในสองชั่วยามนี้ก็ไม่จำเป็นต้องนอนอยู่ตลอดเวลา ท่านสามารถใช้ห่อผ้าผูกบริเวณรอบดวงตานี้ไว้ เช่นนี้ตัวยาก็จะไม่หล่นลงมาแล้ว ”
“อีกครู่ข้าก็จะไปทำผ้าห่อ” เหยาซื่อรีบกล่าว “แม่นาง ยังมีสิ่งใดกำชับอีกหรือไม่?”
“นี่เป็นยาทาน ท่านจำว่าต้องให้เขาทาน” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่ห่อผ้าด้านข้างแล้วกล่าวออกมา “โดยปกติแล้วสามารถให้เขานั่งอยู่ในลานบ้านชั่วครู่ได้ ไม่จำเป็นต้องพักอยู่ในห้องทั้งวัน แม้จะเป็นคนธรรมดา หากอยู่ในที่แห่งนี้ทั้งวัน เช่นนั้นก็จะเบื่อจนแย่เอาได้”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” เหยาซื่อด้านหนึ่งผงกศีรษะ ด้านหนึ่งรับคำ
“ข้าจากไปก่อนแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปตรวจอาการให้ผู้อาวุโสอีก อีกสองสามวันถัดจากนี้ ข้าจะอาศัยอยู่ในบ้านของนาง ในภายหลังข้าจะมาฝังเข็มให้บุตรชายของท่านช้าหน่อย ดังนั้น พรุ่งนี้ข้าจึงยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเรือนของท่านในยามใด! เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากันเถิด!” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากให้เหยาซื่อเข้าใจผิด จึงบอกกล่าวกับนางให้ชัดเจนก่อน
“แม่นาง…ท่านคงมิได้จะไม่สนใจฉีเอ๋อร์ของพวกเราแล้วใช่หรือไม่?” เหยาซื่อเข้าใจผิดแล้วจริงๆ
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัวปฏิเสธ “แน่นอนว่าไม่ ข้ากลับก่อนแล้ว”
จนกระทั่งเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์จากไปไกล จูชิงเฟิงจึงได้ยันไม้เท้าเข้ามาในห้อง เหยาซื่อรีบประคองเขา ให้เขานั่งลง
จูฉีแม้จะมองไม่เห็น แต่การฟังและการรับกลิ่นนั้นดีมาก ในห้องมีเสียงลมหายใจสามเสียง หนึ่งคือเขา สองคือท่านแม่ สามย่อมต้องเป็นท่านพ่อของเขาแล้ว
“ท่านพ่อ แม่นางหลิงผู้นี้ดูไปแล้วเป็นคนดี น้องชายของนางก็มิน่าจะต่างกันมาก ท่านจะลองคิดดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” จูฉีกล่าวอย่างอ่อนโยน
จูชิงเฟิงมองจูฉีทีหนึ่ง “เจ้ากลับเชื่อฟังนางนัก นางยังไม่ได้ขอให้เจ้าช่วยเหลือ เจ้าก็เริ่มมาเป็นทูตให้นางแล้ว”
จูฉีใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวอย่างหมดหนทางว่า “ท่านพ่อ ท่านกล่าวอะไรกันขอรับ? ท่านทราบหรือไม่ว่าคำพูดที่ท่านกล่าวออกมานี้ หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้าจะกลายเป็นเยี่ยงใด?”
“ผู้อื่นต้องการคิดเช่นใดก็ปล่อยเขา” จูชิงเฟิงกล่าวอย่างดูแคลน “ปากงอกอยู่บนร่างของผู้อื่น หรือยังจะมิให้ผู้อื่นกล่าวหรือ? พวกเราไม่ผิดต่อจิตใจของตนเองก็พอแล้ว”
จูฉีถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง หลายปีมานี้ เขาคาดหวังอย่างไร้ใดเปรียบที่จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยเหลือท่านพ่อท่านแม่ของเขาได้ ท่านพ่อดื้อเกินไป ส่วนท่านแม่ก็อ่อนแอจนเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาทั้งครอบครัวจะทำเช่นไร? ท่านแม่ได้นำปิ่นชิ้นสุดท้ายไปจำนำแล้วกระมัง? ข้าวสารในบ้านน่าจะเหลืออยู่เพียงก้นหม้อแล้วกระมัง?
แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่เขาก็มีความรู้สึก สิ่งใดก็ไม่อาจอำพรางสายตาของเขาได้ และเพราะเช่นนี้ เขาจึงหวังว่าท่านพ่อจะไม่ดื้อรั้นจนเกินไป แม่นางหลิงดีถึงเพียงนี้ คนในครอบครัวของนางย่อมต้องเป็นมิตรอย่างแน่นอน หากท่านพ่อเป็นอาจารย์สกุลหลิงของพวกเขาจริงๆ วันหลังอาหารการกินเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของทั้งครอบครัวก็จะไม่เป็นปัญหาอีก หากท่านพ่อไม่อยากเข้าไปอยู่ในจวนสกุลหลิงจริงๆ พวกเขาก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้ ขอเพียงท่านพ่อมิไร้ซึ่งความใส่ใจในสิ่งต่างๆ ปล่อยให้ท่านแม่คอยกังวลกับการดำรงชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว เกิดเป็นบุรุษ อย่างน้อยก็ควรจะคิดถึงปัญหาในการดำรงชีวิตของคนในครอบครัวบ้าง
“คอยดูอีกทีเถอะ!” ครั้งนี้ จูชิงเฟิงมิได้ปฏิเสธในคำเดียว
เหยาซื่อมองจูชิงเฟิงอย่างประหลาดใจ ในฐานะภรรยาผูกผมของจูชิงเฟิง นางเข้าใจถึงนิสัยของเขาอย่างชัดเจน สถานการณ์ในวันนี้ช่างพบได้ยากเกินไปแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์กลับไปได้ไม่นานก็ถูกซูเช่อรับตัวไปแล้ว ซูเช่อนั่งอยู่ในรถม้า สิบนิ้วประสานกัน มองดูหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า
บนใบหน้าของหญิงสาวยังมีเหงื่ออยู่บาง ๆ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเดินทางกลับมาจากสถานที่ห่างไกล นางถือกล่องที่หนาและหนักอยู่ใบหนึ่ง กล่องใบนั้นดูแล้วไม่สะดุดตาคนนัก ทว่าที่บรรจุไว้ คือชีวิตของผู้คนมากมาย
ซูเช่อค่อนข้างจะมองสตรีนางนี้ไม่ออกอยู่บ้าง บางทีแล้ว เขาอาจไม่เคยมองนางออกมาก่อนก็เป็นได้ หญิงสาวนางนี้มักจะไม่เหมือนกับสตรีนางอื่น เมื่อพบหญิงนางนี้แล้วไปเห็นหญิงนางอื่นอีก ก็รู้สึกเหมือนเป็นเพียงชาดประทินที่ดาษดื่นเท่านั้น น่าเสียดายที่ฐานะต่ำจนเกินไป หากฐานะของนางสามารถสูงขึ้นมาอีกหน่อย… บางทีพวกเขา…
ซูเช่อตกตะลึงไป เมื่อครู่เขากำลังคิดถึงสิ่งใดกัน? เขาถึงกับเกิดความคิดที่เหลวไหลเช่นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร… ซูเช่อลูบหน้าผาก ท่าทางอ่อนใจ
หรือจะเหมือนกับที่ท่านย่ากล่าวจริง ๆ เขาควรจะรับอนุสักสองคนแล้ว? หรือแม้จะไม่รับอนุ ก็ควรจะรับสาวใช้สักเสองสามคนเข้าห้อง ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงเกิดความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้กับสาวน้อยชาวชนบทผู้หนึ่งได้?
บุรุษบ้านอื่นอายุได้สิบกว่าปีก็มีสาวใช้อุ่นเตียงแล้ว แต่หลายปีมานี้เขามิให้สตรีเข้าใกล้ข้างกาย หรือตัวเขาเองก็เกิดความต้องการของบุรุษขึ้นมาแล้ว?
“ท่านครู่หนึ่งถอนใจ ครู่หนึ่งลูบหน้าผาก อีกครู่ลูบจมูก…คุณชายใหญ่สกุลซู ท่านคงมิได้กำลังมีความรักหรอกนะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนี้ของซูเช่อ ก็อดขนลุกขึ้นมาทั่วร่างมิได้
เพราะในยามปกติแล้ว ซูเช่อล้วนสวมหน้ากากจิ้งจอกที่สมบูรณ์แบบ วันนี้พักหนึ่งโมโหตนเอง พักหนึ่งเขินอาย พักหนึ่งพูดจากำกวม ช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ซูเช่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างลึกซึ้ง เผยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากยามปกติแม้แต่น้อยออกมา “เบื้องหน้าของข้าก็มีแต่แม่นางเท่านั้น เจ้าบอกข้ากำลังมีความรัก หรือคิดว่าข้าเกิด…ต่อเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบขัดคำพูดของเขาไว้ “จะต้องเป็นข้าเข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน ท่านคุณชายใหญ่สกุลซู ไม่ถูกต้อง ฐานะเช่นจวิ้นอ๋องน้อยนี้ สตรีเช่นใดไม่มี? พบพานหญิงงามชั้นยอดมามากมาย สตรีในใต้หล้าในสายตาของท่านแล้วไม่นับเป็นอย่างไรได้ จะมีความรักได้อย่างไร?”
“พูดได้ไม่เลว” ซูเช่อหัวเราะเบา ๆ “ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจึงเกิดความคิดที่จะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้า?”
“…” มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุก “ท่านไม่ใช่สเป็คที่ข้าชอบ”
“หืม?” ซูเช่อเลิกคิ้ว “สเป็ค?”
“ความหมายก็คือ ท่านไม่ใช่ประเภทที่ข้าชอบ ข้าไม่มีทางชอบท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างเปิดเผยเสียเลย “แน่นอนว่า ฐานะของพวกเรามีความแตกต่าง ไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ไม่มีทางมีความสัมพันธ์ใดต่อกันได้ ที่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าข้าเป็นหมอผู้หนึ่ง ท่านเป็นญาติของผู้ป่วย ดังนั้นจึงได้มีการติดต่อกัน”
“ข้าเข้าใจว่า…อย่างน้อยพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน” ซูเช่อหัวเราะเบา “ดูท่า ในสายตาของแม่นาง ข้าคงมิต่างจากอสรพิษหรือแมงป่องแล้ว”