เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 86 องค์หญิงเล็ก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 86 องค์หญิงเล็ก
เล่มที่ 3 บทที่ 86 องค์หญิงเล็ก
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้าง นางจำหญิงสาวนางนั้นได้ หลิงจื่อเซวียนก็ย่อมจำได้แน่นอน
เมื่อครู่นางทะเลาะโต้เถียงกับหญิงสาวนางนั้น และได้สาดผงยาเล็กน้อยก่อนจะจากไป ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้นางถึงแก่ชีวิต แต่หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนถัดไปจะมีผดผื่นแดงขึ้นบนใบหน้าของนาง หลิงมู่เอ๋อร์มีความมั่นใจในวิชาแพทย์ของตนเองว่านอกจากตนแล้ว ผู้อื่นก็อย่าคิดว่าจะถอนพิษยานี้ได้ เว้นแต่ว่าจะรอจนกว่าจะหายไปเองในหนึ่งเดือนหลังจากนี้
หญิงสาวนางนั้นมองดูแล้วก็ไม่ได้นับว่าเป็นคนเลวร้ายอันใด จะถอนพิษให้นางดีหรือไม่? เพียงแต่ได้วางยาไปแล้ว และหญิงสาวนางนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าใกล้ได้ง่ายๆ อีกด้วย ถึงแม้มีใจคิดอยากจะช่วยนางถอนพิษ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น เมื่อถึงเวลานั้นหากหญิงสาวระแคะระคายขึ้นมา มีแต่จะนำพาความเดือดร้อนมาให้ตนเองและคนในครอบครัว ช่างเถิด!อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หลังจากหนึ่งเดือนให้หลังฤทธิ์ของยาก็จะสลายไปเอง ใบหน้าของหญิงสาวก็จะหายเป็นปกติ นางก็ไม่ได้ลงมืออย่างอำมหิต คิดว่าคงไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่โตอะไรต่อหญิงสาวนางนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์คิดได้เช่นนี้ ก็ปล่อยวางเรื่องนี้ลง ไหนเลยนางจะรู้ไม่ว่าเพียงเพราะความไม่พอใจชั่วขณะของตนเองที่มีต่อหญิงสาวจึงได้ลงมือวางยา แต่กลับกลายเป็นว่าส่งผลกระทบต่อหญิงสาวไปชั่วชีวิต
แน่นอนว่าผลกระทบนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้หลังจากเวลาผ่านไปนาน หญิงสาวกลับอยากขอบคุณในการกระทำของนางในเวลานี้ นี่ก็ถือได้ว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกันอย่างแท้จริง
บนถนนเส้นใหญ่ เมื่อลูกผู้ดีมีเงินได้เห็นองค์หญิงเล็กแห่งราชวงศ์หยางปรากฏตัวขึ้น ก็รีบเผยรอยยิ้มอย่างประจบสอพลอออกมาทันที หญิงสาวชาวบ้านที่ถูกรังแกจึงฉวยโอกาสหลบหนีไปแล้ว
องค์หญิงเล็กแห่งราชวงศ์หยางมิใช่คนที่จะพูดคุยได้ง่าย ไม่ว่าลูกผู้ดีมีเงินผู้นั้นจะร้องขอให้ละเว้นชีวิตอย่างไร หลังร้องเรียกหญิงสาวว่าท่านหญิงได้พักหนึ่ง แส้ที่อยู่ในมือของหญิงสาวก็ยังคงไม่หยุดหวดลงมา กระทั่งหญิงสาวเหนื่อยล้าแล้วถึงได้หยุดไปเอง บนร่างกายของลูกผู้ดีมีเงินนั้นก็เต็มไปด้วยบาดแผล หญิงสาวถึงได้ไว้ชีวิตคนผู้นั้นไป
“แม่นางผู้นี้ช่างกระทำรุนแรงยิ่งนัก ภายหลังจะมีผู้ใดกล้าแต่งนางหรือ?” หยางซื่อตัวสั่นเทา “ข้าไม่อยากมีลูกสะใภ้เช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้าง “พี่ชาย จำคำพูดของท่านแม่เอาไว้แล้วหรือยังเจ้าคะ?ในอนาคตข้างหน้านี้ท่านจะหาแม่นางที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ ท่านแม่จะหวาดกลัวเอาได้”
“เหลวไหล” หลิงจื่อเซวียนมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กน้อยคนนี้เริ่มหยอกเย้าพี่ชายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็ขนย้ายข้าวของไปยังเรือนของชาวบ้านที่เช่าเอาไว้ เมื่อสิ่งของต่างๆ ถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปซื้อข้าวสาร แป้งและวัตถุดิบไว้ทำอาหาร และทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข หลายวันต่อมาพวกเขาล้วนยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดร้าน จวนที่พักของตระกูลหวังยังไม่อาจย้ายเข้าไปได้ แต่สามารถใช้หน้าร้านได้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ออกแบบร้านทั้งสองแห่งใหม่ ร้านขายข้าวจะปรับปรุงอาคารใหม่ให้เป็นเหลาอาหารสองชั้น ดังนั้นจะต้องสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งจากภายในถึงภายนอก ร้านขายผ้าก็ดัดแปลงเป็นร้านยา ร้านยามีขนาดใหญ่มากและข้างในยังทำห้องรักษาผู้ป่วยขนาดใหญ่อีกหนึ่งห้อง ระยะนี้นางยังได้ศึกษาค้นคว้าเครื่องมือที่สามารถให้น้ำเกลือได้ออกมาด้วย ซึ่งเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่มากต่อคนในสมัยโบราณ
ชื่อเสียงฉายานามเซียนหมอของหลิงมู่เอ๋อร์ได้แพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว และเป็นที่ฮือฮาตั้งแต่ตอนที่ร้านยายังสร้างไม่เสร็จดี ขณะเดียวกันก็มีผู้คนมาเยือนที่นี่ด้วยเลื่อมใสศรัทธา
แต่ว่าผู้คนที่มาเยือนด้วยเลื่อมใสศรัทธาเหล่านั้นแทบจะมีแต่สามัญชนคนธรรมดา ประตูจวนของผู้มั่งคั่งไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ที่นี่คือเมืองหลวง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยขาดแคลนหมอที่มีชื่อเสียง ตระกูลสูงศักดิ์และมีอำนาจเหล่านั้นสามารถเข้าวังเพื่อเชิญหมอหลวงมาตรวจโรคให้ได้ ถึงแม้ว่าจะเชิญหมอหลวงไม่ได้ก็สามารถเชิญหมอที่มีชื่อเสียงในใต้หล้านี้ได้ หลิงมู่เอ๋อร์เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ในสายตาของพวกเขาแล้วก็เป็นเพียงคนที่ถูกสงสัยว่าใช้วิธีที่ไม่ชอบธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ
ร้านยายังสร้างไม่เสร็จ หลิงมู่เอ๋อร์จึงออกไปตรวจคนไข้ข้างนอกมาหลายวันแล้ว โรคไขข้ออักเสบที่ขาของบ่าวชราตระกูลหวังที่ได้รับการรักษาจากหลิงมู่เอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว ตระกูลหวังยังพอมีลู่ทางในเมืองหลวงอยู่บ้าง ผู้คนที่รับรู้ถึงการมีตัวตนของหลิงมู่เอ๋อร์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้รู้จักกับพ่อค้าผ่านการแนะนำจากตระกูลหวังไม่น้อย
“โอ๊ย…โอ๊ย…” หญิงชรานางหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น กุมท้องของตนเองแล้วร้องออกมา “ท้องของข้า…ปวดจะตายอยู่แล้ว…”
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะออกไปตรวจคนไข้ที่ด้านนอกกำลังจะกลับจวน ได้พบเข้ากับหญิงชรานางนั้นจึงรีบนั่งลงแล้วทำการรักษาให้กับนาง
“ท่านยาย ท่านเป็นโรคลำไส้อักเสบ ตอนนี้ข้ามีเครื่องมือไม่ครบ ท่านตามข้ากลับไปที่บ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์แบกหญิงชราขึ้นหลังแล้วรีบมุ่งกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว
หญิงชราปวดเป็นอย่างมาก ไม่มีแม้แต่แรงที่จะตอบรับนาง ถึงแม้จะกล่าวว่าไม่รู้จักแม่นางผู้นี้ แต่ในเวลานี้ก็คิดว่าคงไม่มีผู้ใดจะมาทำร้ายนางหรอกกระมัง หญิงชราจึงยอมให้หลิงมู่เอ๋อร์แบกนางไปที่บ้าน
“เกิดอะไรขึ้น?” หยางซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์แบกหญิงชรานางหนึ่งกลับมา จึงรีบเข้าไปรับจากมือของนางทันที “หญิงชราท่านนี้เป็นอันใดไปหรือ?”
“นางเป็นโรคลำไส้อักเสบเจ้าค่ะ จำเป็นต้องรักษาเดี๋ยวนี้ ท่านแม่ ประคองนางไปที่ในห้องเสียก่อน ข้าจะเตรียมของที่จะรักษาให้นาง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับหยางซื่อ
หยางซื่อก็คอยเป็นลูกมือให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ย่อมรู้ดีว่านางต้องการสิ่งใด หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะประคองหญิงชราเข้าไปในห้อง หยางซื่อก็ถือสิ่งของเข้ามาแล้ว หยางซื่อเรียกเจี้ยงเซียงและซางจือให้มาเป็นลูกมือให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ เจี้ยงเซียงและซางจือมีพรสวรรค์ในวิชาแพทย์ ตอนนี้ก็สามารถรักษาโรคเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ตั้งใจที่จะฝึกฝนพวกนางให้เป็นหมอเทวดามีชื่อเสียงของที่นี่
“ชู่ว!” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าหญิงชราหลับไปแล้ว จึงกล่าวกับสาวรับใช้สองคนว่า “ให้นางพักผ่อนเสียก่อน รอนางฟื้นแล้วค่อยส่งนางกลับบ้านก็แล้วกัน!”
“คุณหนูช่างมีเมตตายิ่งนัก” ซางจือกล่าว “หญิงชราท่านนี้โชคดีจริงๆ ที่ได้พบคนที่จิตใจดีงามอย่างเช่นคุณหนู”
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ได้พบกับคุณหนู หญิงชราท่านนี้ก็คงจะรอดได้ยากแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะยินยอมพาคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนกลับบ้าน ถึงแม้ว่าจะพากลับมาด้วยแต่ก็ไม่ได้มีวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศเท่ากับคุณหนู ชื่อเสียงฉายานามเซียนหมอของคุณหนูช่างสมคำร่ำลือเสียจริง” เจี้ยงเซียงเก็บเครื่องมือไปพลางกล่าวไปพลาง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกจนปัญญากับสาวรับใช้สองคนที่พูดกันเองยกย่องกันเองจริงๆ นางทำการรักษาเสร็จแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าหยางซื่อยังรออยู่ที่ด้านนอก นางจึงเดินออกไป
“ท่านแม่…” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหยางซื่อ นางยิ้มพลางกล่าว “เมื่อครู่ข้าไปที่ตระกูลหวังมาเจ้าค่ะ พรุ่งนี้พวกเขาก็จะย้ายออกแล้ว พวกเราสามารถเก็บของย้ายเข้าไปได้เลย”
หยางซื่อกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ ครั้นได้ยินคำพูดของนางจึงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี
“ดีเหลือเกิน ถึงอย่างไรที่นี่เป็นบ้านเช่า บริเวณใกล้เคียงทั้งค่อนข้างรกร้างว่างเปล่า เจ้าเป็นหญิงสาวไปๆ มาๆ คนเดียว แม่กลัวว่าจะเจอกับคนไม่ดี จวนตระกูลหวังอยู่ใกล้กับเมืองชั้นใน แถวนั้นมีทหารเดินตรวจตราอยู่ตลอด พวกเราอาศัยอยู่ที่นั่นก็วางใจได้บ้าง” หยางซื่อนวดก้อนแป้ง และนำก้อนแป้งขาวนวลนั้นนวดให้เป็นเส้นยาว
หลิงมู่เอ๋อร์มองอยู่ด้านข้างอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าหยางซื่อกำลังห่อเกี๊ยวอยู่ นางไปล้างมือแล้วเข้ามาช่วย สองแม่ลูกกำลังสนทนากันว่าจะทำเรื่องอะไรต่อไป
คนอื่นๆ ในบ้านก็ต่างพากันทยอยกลับมาบ้านแล้ว
หลิงเฉินติดตามหลิงต้าจื้อไปดูการสร้างโรงหมอ หลิงหลีติดตามหยางต้าหนิวไปตรวจดูความคืบหน้าของเหลาอาหาร ครั้นทั้งสองคนกลับมาก็บอกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น รออีกแค่ครึ่งเดือนก็จะมีหน้าร้านใหม่ เพียงแต่ว่าช่วงนี้ใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากแล้ว ครั้นเห็นเงินที่ใช้จ่ายออกไปก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แทบอยากจะรีบทำงานหาเงินให้ได้เร็วขึ้น
หลิงจื่อเซวียนพาหลิงจื่ออวี้ หยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์ไปเดินเล่น ตอนที่กลับมานั้นสีหน้าของแต่ละคนก็ดูไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะหลิงจื่อเซวียน ราวกับว่ากำลังพยายามข่มระงับอารมณ์โกรธอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” หยางซื่อกล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ “พี่ชายเจ้าขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์ดี ยากที่จะได้เห็นเขาโมโหเช่นนี้”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ ไปถามกัน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับหยางซื่อ แล้วเดินไปแตะที่ไหล่ของหลิงจื่อเซวียน “พี่ชาย เป็นอันใดไปเจ้าคะ?ดูท่าทางอารมณ์ไม่ใคร่ดี พี่ชายของข้าขึ้นชื่อในเรื่องเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่านมาก่อนเลย!”
ครั้นหลิงจื่อเซวียนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ สีหน้าที่อึมครึมของเขาก็จางหายไป กลับมาสู่ท่าทางในยามปกติอีกครั้ง เขาลูบเส้นผมของหลิงมู่เอ๋อร์เบาๆ “ไม่มีอะไร”
หลิงมู่เอ๋อร์มุ่ยปาก “แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยมีเรื่องปิดบัง เหตุใดยังเกรงใจกับข้าเช่นนี้เจ้าคะ? เห็นข้าเป็นคนนอกแล้วใช่หรือไม่?”
“พูดจาเหลวไหล” หลิงจื่อเซวียนขมวดคิ้วและเคาะไปที่หน้าผากของนาง “ผู้ใดสอนเจ้าให้กล่าวเช่นนี้กัน?ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ก็แค่ได้พบกับคนที่ไม่ชอบมากผู้หนึ่งเท่านั้น เจ้าก็เคยพบแล้ว นั่นก็คือองค์หญิงเล็กแห่งราชวงศ์หยางที่ยื้อแย่งสิ่งของกับเจ้าในวันนั้น”
“เหตุใดท่านถึงได้พบนางอีกแล้ว?นางทำให้ท่านลำบากใจแล้ว?” หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินว่าเป็นหญิงสาวนางนั้น ก็มองเขาอย่างเป็นกังวล “นางทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ?”
“นั่นก็ไม่ใช่” หลิงจื่อเซวียนส่ายหน้า เขาถอนหายใจด้วยสายตาที่ซับซ้อน
หลิงจื่อเซวียนไม่ยอมพูด หลิงมู่เอ๋อร์จำต้องไปสอบถามเรื่องราวจากเด็กทั้งสามคนนั้น สุดท้ายเด็กทั้งสามก็เล่าว่าองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยางนางนั้นขวางทางพวกเขาอย่างไร้เหตุผล ทั้งยังด่าทอหลิงจื่อเซวียนอย่างหยาบคาย เดิมทีหลิงจื่อเซวียนไม่อยากจะสนใจนาง แต่ว่านางยิ่งอาละวาดหนักขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดหลิงจื่อเซวียนโมโหมากเลยต่อว่านางกลับไป ทำเอาองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยางนางนั้นร้องห่มร้องไห้
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
องค์หญิงแห่งราชวงศ์หยางนั้นดูก็รู้ว่าไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมมาก่อน สตรีประเภทนี้ถือว่าตนเองนั้นสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร คิดว่าบุรุษในใต้หล้านี้จะมาคอยเอาใจห้อมล้อมนาง จู่ๆ วันหนึ่งก็มีบุรุษที่ไม่ไว้หน้านางตนเองปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยางคงจะไม่มีทางลืมการมีอยู่ของเขาไปได้ง่ายๆ หลังจากนี้หลิงจื่อเซวียนหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบหน้ากับองค์หญิงแห่งราชวงค์หยางนางนี้ไม่ได้แล้ว
“เรื่องนี้อย่าได้บอกท่านพ่อท่านแม่ล่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กำชับกับหลิงจื่ออวี้
ถึงแม้ว่าหลิงจื่ออวี้อายุยังน้อย แต่ก็เข้าใจทุกอย่าง เขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้บอกเหตุผลกับเขา แต่เขาก็พอเดาออกได้หลายส่วน เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจ แสดงท่าทางว่าจะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาด
“คุณหนู หญิงชราท่านนั้นฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” ซางจือเดินเข้ามาด้วยท่าทางอึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป “แต่ว่า…มีบางอย่างแปลกไปเจ้าค่ะ”
“อะไรอย่างนั้นหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะคุยกับหลิงจืออวี้จบ และกำลังเตรียมจะเดินกลับไปช่วยที่ห้องครัวก็ได้พบเข้ากับซางจือ
ซางจือมุ่ยปากไปยังทิศทางของห้องด้วยท่าทางราวกับต้องการบอกว่าท่านเข้าไปดูก็จะรู้เองเจ้าค่ะ
หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปในห้อง ขณะนั้นเจี้ยงเซียงกำลังประคองหญิงชรานางนั้นดื่มน้ำอยู่ หญิงชรานั่งอยู่บนเตียง นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน
“คุณหนู” เจี้ยงเซียงเห็นหลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้ามา ก็ขานเรียกนางหนึ่งเสียง และกล่าวกับหญิงชราว่า “คุณหนูท่านนี้เป็นคนที่ช่วยชีวิตท่านไว้”
หญิงชราพินิจมองหลิงมู่เอ๋อร์ แล้วแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้า ไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบแทนแม่นางอย่างไรดี”
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเป็นหมอ ช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวนิ่ง “ท่านยาย ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ข้า…ข้าจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว” หญิงชราผู้นั้นส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “พวกเจ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถึงได้เข้าใจว่าท่าทางแปลกๆ ของซางจือนั้นมาจากไหนหญิงชราผู้นี้สูญเสียความทรงจำ และดูเหมือนว่านางจะเก็บตัวปัญหากลับมาอีกแล้ว
นางควรแก้ปัญหาการเก็บคนกลับมาที่บ้านหรือไม่?ทุกครั้งที่เก็บคนกลับมามักจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ตนเองเสมอ ดูไปแล้วหญิงชรานางนี้สวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง แต่บุคลิกท่วงท่าของนางนั้นย่อมไม่ใช่หญิงชราทั่วไปแน่นอน แต่ไม่รู้ว่านางจะมีเรื่องราวความเป็นมาอะไรรอให้ตนเองขุดคุ้ยเท่านั้นเอง