เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 82 สารภาพ
เล่มที่ 3 บทที่ 82 สารภาพ
ในเนื้อแท้แล้ว พวกเขายังรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน
ดังเช่นในตอนนี้ที่พี่น้องตระกูลโจวได้ล่วงเกินองค์ฮ่องเต้แล้ว โจวฉี่รุ่ยถึงขนาดกับกล่าวออกมาโดยตรงว่าต้องการเปลี่ยนฮ่องเต้ สำหรับคนในตระกูลหลิงแล้ว หัวข้อสนทนานี้น่ากลัวเกินไป และพวกเขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอันใด
อย่างไรเสียโจวฉี่เยี่ยนยังไม่ได้ถูกความเกลียดชังเข้าครอบงำ หลังจากเขาสงบสติลง ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกล่าว “ขออภัยด้วยขอรับ พวกข้าพี่น้องสร้างความลำบากให้กับทุกท่านแล้ว รอให้พี่ชายฟื้นขึ้นมา พวกข้าจะไปจากที่นี่ ทุกท่านก็ทำเหมือนไม่เคยพบพวกข้าสองพี่น้องมาก่อน หากผู้อื่นถามถึงก็อย่าได้ยอมรับถึงการมีอยู่ของพวกข้า”
“เจ้าเด็กหนุ่มรุ่ย พวกเจ้าจะไปที่ใดล่ะ? ญาติพี่น้องของพวกเจ้าล้วนไม่มีแล้ว”หยางซื่อใจอ่อนลง ครั้นได้เห็นชะตาชีวิตที่ลำบากของพี่น้องคู่นี้ ในใจของนางก็รู้สึกเป็นทุกข์
“อาสะใภ้อย่าได้กังวล แม้ว่าครอบครัวพวกข้าจะถูกฆ่าล้างตระกูล แต่ก็ยังมีญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ไม่อยากเข้าไปเป็นภาระให้กับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่เคยตามหาพวกเขา บัดนี้พวกข้าต้องการจะแก้แค้น จึงจำเป็นต้องติดต่อกับพวกเขา” โจวฉี่รุ่ยหลุบตาลงพลางกล่าวว่า “เพียงแต่ว่า การแยกจากกันในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกับทุกท่านอีกเมื่อไร บางทีชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้กระมัง! ความเมตตาที่ทุกท่านมีต่อพวกข้าพี่น้อง พวกข้าก็ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณ หวังเพียงว่าจะตอบแทนในชาติหน้าแล้วขอรับ”
“กล่าวคำพูดหมดกำลังใจอันใดกัน?” หลิงต้าจื้อตบไปที่มือของเขา “ทานข้าวเถิด”
อาหารมื้อนี้ ทุกคนทานอย่างไม่รู้รสชาติ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน มีความรักความผูกพันต่อพี่น้องตระกูลโจว เรื่องราวที่พี่น้องตระกูลโจวได้ประสบพบเจอนั้น พวกเขาก็เป็นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่ว่า ถ้าพวกเขาต้องการก่อกบฏจริงๆ นั่นก็จะต้องฝ่าฟันอันตรายเพื่อเอาชีวิตรอดมาให้ได้ ต่อให้วรยุทธ์ของพวกเขาสองพี่น้องจะสูงส่งมากเพียงใด แต่พวกเขาจะสามารถสังหารกองทัพทหารส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ได้หรือ?
“มู่เอ๋อร์…” หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะเข้าไปในห้อง หยางซื่อก็เคาะประตูห้องของนางแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังนั่งอยู่หน้าคันฉ่องเพื่อถอดเครื่องประดับ แม้ว่านางจะไม่ได้แต่งหน้า แต่เครื่องประดับบนผมก็จะต้องถอดออก
“ท่านแม่ ประตูไม่ได้ลงกลอนเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับ
หยางซื่อยกกาน้ำชาเข้ามา “น้ำชาในห้องของเจ้าเย็นไปนานแล้ว แม่เปลี่ยนกาน้ำชาใบใหม่ให้เจ้า”
“ท่านแม่ คืนนี้ไม่ต้องมาเปลี่ยนให้แล้วนะเจ้าคะ ข้าไม่ดื่มชาเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์สางเส้นผมสีดำขลับของตน ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย
หยางซื่อเดินเข้าไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วทอดมองนางในกระจก หลังจากผ่านการบำรุงร่างกายในช่วงเวลานี้ ตอนนี้หยางซื่อดูอายุน้อยลงมาก ดูเหมือนหญิงสาวออกเรือนในวัยสามสิบ เดิมทีนางที่มีผมขาวสีดอกเลาเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากเทียบยาของหลิงมู่เอ๋อร์จัดให้ เส้นผมบนศีรษะนั้นจึงกลายเป็นสีดำสนิทและเงางาม ทำให้หยางซื่อมีหน้าตาสดใสเปล่งประกายมีสง่าราศี
“มู่เอ๋อร์ของแม่สวยขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องตาเด็กหนุ่มสกุลใด” หยางซื่อรับหวีในมือของนางมา แล้วสางเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน
หลิงมู่เอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความรักของหยางซื่อ ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยความสุข
เช่นนี้มันดีจริงๆ !
นางเป็นที่รักใคร่ของท่านพ่อท่านแม่ เป็นที่โปรดปรานของพี่ชาย และเป็นที่เคารพของน้องชาย ถึงแม้ว่าจะให้นางใช้ชีวิตธรรมดาแบบนี้ต่อไปชั่วชีวิต นางก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ
“ท่านแม่ ท่านนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องของพวกพี่ใหญ่โจวหรือเจ้าคะ?”หลิงมู่เอ๋อร์รู้ใจหยางซื่อดีเกินไปแล้ว นางก็เป็นเพียงคนใจอ่อนคนหนึ่ง
“ชะตาชีวิตเด็กสองคนนั้นช่างลำบาก แม่สงสารพวกเขาจริงๆ” หยางซื่อส่ายศีรษะพลางเอ่ย “น่าเวทนาเด็กสองคนนั้นจริงๆ เพียงแต่ เส้นทางที่พวกเขาเลือกในตอนนี้คือเส้นทางที่มองไม่เห็นแสงตะวัน เส้นทางนั้นยากลำบากเหลือเกิน จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายเพื่อเอาชีวิตรอดมาให้ได้ แม่เป็นห่วงพวกเขาจริงๆ”
“ท่านแม่ อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ พวกเขาจะดีขึ้น ฮ่องเต้รัชสมัยนี้อายุไม่น้อยแล้ว จะช้าหรือเร็วก็จะต้องสิ้นพระชนม์ในสักวัน เวลานั้นความแค้นของพวกพี่ใหญ่โจวก็ลดลงไปมากอยู่” หลิงมู่เอ๋อร์พิงอยู่ในอ้อมแขมของหยางซื่อ “ใช่แล้ว อีกสักระยะหนึ่งข้าจะต้องไปเมืองหลวงสักเที่ยวนะเจ้าคะ”
“เหตุใดเพิ่งกลับมาก็จะไปอีกแล้ว” ครั้นหยางซื่อได้ยิน ไหนเลยจะจำเรื่องของผู้อื่นได้ รู้แค่ว่าความสามารถของบุตรสาวยิ่งนานวันยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ และโอกาสที่นางจะได้เจอบุตรสาวก็น้อยลงเรื่อยๆ หยางซื่อคิดว่าอายุของบุตรสาวก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านไปอีกสองปีก็ต้องแต่งงาน ถึงตอนนั้นก็ยิ่งเป็นคนของสกุลอื่น พอคิดเช่นนี้ ในใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวด
“ข้าสัญญากับคนผู้หนึ่งไว้แล้ว ว่าจะช่วยเขารักษาท่านย่าของเขาเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “หลังจากข้ารักษาคนเสร็จแล้วก็จะกลับมาเจ้าค่ะ”
“น้ำในเมืองหลวงนั้นลึกมาก [1] ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะถูกผู้อื่นรังแก” หยางซื่อทอดถอนหายใจเบาๆ “มู่เอ๋อร์ ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรืออาภรณ์แล้ว ไม่เช่นนั้น…เจ้าอย่าเป็นหมอเช่นนี้เลย เจ้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ถ้าหากถูกผู้อื่นรังแก แม่จะต้องเสียใจมาก พวกเราแค่ทำการค้าเหลาอาหารสกุลหลิงให้ดีก็พอแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านดูพี่ใหญ่โจวสิเจ้าคะ ครอบครัวของพวกเขานับว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์ใช่หรือไม่? แม้แต่คนที่มีฐานะเช่นนั้นก็ยังโชคร้ายตกลงมาจากท้องฟ้า [2] ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดาอย่างพวกเรา” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “อยากมีชีวิตที่มั่นคง ก็ต้องยืนให้สูงกว่านี้ ด้วยวิชาแพทย์ของข้า ย่อมมีคนจำนวนมากต้องมาขอร้องข้า ในบรรดาคนเหล่านั้นต้องมีขุนนางผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ข้าอยากใช้วิชาแพทย์ของข้าออกไปท่องใต้หล้าช่วยชีวิตผู้คน ท่านแม่คอยดูเถิดเจ้าค่ะ! ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“เจ้าเติบใหญ่แล้ว มีความคิดเป็นของตนเอง แม่โน้มน้าวเจ้าไม่ได้แล้ว” หยางซื่อทอดมองบุตรสาวของตนเองอย่างรักใคร่
เพราะพวกเขาในฐานะบิดามารดานั้นไร้ประโยชน์ จึงทำให้นางต้องประคับประคองเลี้ยงดูครอบครัวนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีนางก็เป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไร้เดียงสา แต่ตอนนี้กลับผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เพียงแต่ว่า พวกเขาจำเป็นต้องยอมรับว่าสิ่งที่นางตัดสินใจมักจะดีที่สุดเสมอ ทุกคนในครอบครัวก็เต็มใจเชื่อฟังการจัดแจงของนาง
หมอหญิงเทวดากลับมาแล้ว ข่าวคราวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ในทุกวันๆ วัน โชคดีที่นางไปหาพ่อค้านายหน้าและซื้อสาวใช้ที่มีความรู้วิชาแพทย์มาสองคน พอมีพวกนางเป็นลูกมือ หลิงมู่เอ๋อร์ถึงพอหายใจหายคอได้เล็กน้อย สาวใช้สองนางนั้นมีนามว่าซางจือและเจี้ยงเซียง
ซางจือและเจี้ยงเซียงเคยเป็นสาวใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ รับหน้าที่ดูแลห้องโอสถโดยเฉพาะ ตระกูลสูงศักดิ์นั้นถูกศัตรูทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาด และพวกนางก็ถูกขายออกไป
ช่วงระยะนี้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องฆ่าล้างตระกูลติดต่อกันอยู่หลายครั้ง และได้ตระหนักรู้ถึงอำนาจและอิทธิพลมากขึ้น นางยิ่งรู้สึกว่าควรจะมีกำลังเป็นของตนเอง เช่นนี้ก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าครอบครัวที่ตนเองห่วงใยจะถูกผู้อื่นทำเหมือนเป็นวัชพืชที่จะถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็มีการรังแกผู้อ่อนแอ และเกรงกลัวต่อผู้แข็งแกร่งกว่าเหมือนกัน
หลังจากผ่านจากการอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์พบว่าซางจือและเจี้ยงเซียงมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์เป็นอย่างมาก จึงรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์และให้พวกเขาเรียนรู้วิชาแพทย์ ครั้นสาวใช้ทั้งสองนางนั้นได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยินยอมที่จะสอนพวกนาง ก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณมาก คนภายนอกดูแคลนสตรีที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์ เพราะคิดว่านั่นเป็นอาชีพของหมอตำแย พวกนางอาศัยอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์รู้ว่าการเรียนรู้วิชาทางการแพทย์สำคัญเพียงใด นอกจากนี้ พวกนางมีวิชาแพทย์แล้วไม่ว่าอยู่ที่แห่งหนใดก็สามารถมีชีวิตรอดได้
“คุณหนู ด้านนอกโรงหมอของพวกเรามีหญิงแก่นางหนึ่งล้มอยู่เจ้าค่ะ ดูจากท่าทางของนางแล้วเหมือนเป็นโรคลมชักกำเริบที่ท่านกล่าวถึงเลยเจ้าค่ะ” ซางจือเดินเข้ามาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์เขียนเทียบยาเสร็จแล้ว ก็ยื่นเทียบยาส่งให้เจี้ยงเซียงที่อยู่ด้านข้าง “จัดยาสามสำรับให้ท่านปู่ผู้นี้ ทั้งหมดห้าสิบอีแปะเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านหมอเทวดา” ชายชราที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ
“กลับไปพักอีกครึ่งเดือน ในระยะครึ่งเดือนนี้อย่าได้ลงจากเตียงทำงานที่ไร่นานะเจ้าคะ อาการป่วยของท่านจะต้องพักรักษากาย ไม่อาจทำงานเช่นนี้ได้อีกแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กำชับผู้ป่วย
หญิงที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนเอ่ย “ได้ยินหรือไม่ตาแก่? ทุกครั้งข้าเตือนเจ้า เจ้ามักจะไม่ฟัง ตอนนี้หมอเทวดากล่าวแบบนี้แล้ว เจ้าคงเชื่อฟังแล้วกระมัง?”
ชายชรายิ้มอย่างอายๆ
สามีภรรยาชราคู่นั้นต่างประคองกันและกันแล้วเดินจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นไปมองที่ซางจือ “ไม่เห็นตัวคนป่วย คาดว่าเจ้าน่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว หญิงชราท่านนั้นไปแล้ว?”
“เจ้าค่ะ ข้าช่วยนางตามวิธีที่คุณหนูบอก หลังจากที่นางฟื้นก็ตกรางวัลให้บ่าวสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ” ซางจือนำก้อนเงินหยวนเป่าหนึ่งก้อนวางลงบนโต๊ะ “นางรีบร้อนไปทำธุระอันใดสักอย่าง ยังบอกว่าจะกลับมาที่โรงหมอให้คุณหนูตรวจโรคอย่างละเอียด นางยังต้องการรักษาที่ต้นเหตุเจ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] น้ำในเมืองหลวงนั้นลึกมาก京城那地方的水很深 (水很深 น้ำลึกมาก) หมายถึง บุคคลในเมืองหลวงนี้มีแผนสูง ความคิดซับซ้อน วางแผนเยอะ เจ้าเล่ห์ มีความคิดที่ลึกซึ้งยากแท้หยั่งถึง โดยทั่วไปจะใช้เป็นคำเตือนให้ระแวดระวังผู้อื่น
[2] โชคร้ายตกลงมาจากท้องฟ้า祸从天降 หมายถึง เกิดเหตุร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิดมาก่อน