เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 39 สุนัขกระโดด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 39 สุนัขกระโดด
เล่มที่ 2 บทที่ 39 สุนัขกระโดด
ไม่! นางไม่ต้องการเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้
จวงต้าหลินล่อลวงนาง ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของผู้คน เกี่ยวโยงไปจนถึงคนในสกุลเงยศีรษะไม่ขึ้น นางถูกทุกคนทอดทิ้ง เขาถือสิทธิ์อันใดถึงยังมีชีวิตที่ดีได้?
เมื่อวานนางได้ยินคำบอกเล่าของหลิงมู่เอ๋อร์ นางจึงล่วงหน้าไปหาหลิงหูเตี๋ย เดิมทีนางเชื่อคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์เพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น ครั้นนางได้ลองหยั่งเชิงหลิงหูเตี๋ย ในใจก็มีความมั่นใจแล้วแปดส่วน หลิงหูเตี๋ยและจวงต้าหลินสุนัขตัวผู้และตัวเมียคู่นั้นทำลายทั้งชีวิตนาง พวกเขายังอยากที่จะใช้ชีวิตมีความสุขอย่างอิสระลอยนวล อย่าได้ฝันไปเลย นางจะไม่ให้พวกเขาได้สมปรารถนา
นางไม่ต้องการแต่งให้กับพ่อหม้าย ยิ่งไม่ต้องการแต่งให้กับคนร่อนเร่พเนจรที่ไม่สามารถแต่งภรรยาได้ จวงต้าหลินทำลายความบริสุทธิ์ของนางแล้ว ก็จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อนาง มิฉะนั้น…นางจะไม่เสียดายหากจะต้องสู้จนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องสนใจข้าแล้ว ข้าจะจัดการด้วยตนเองเจ้าค่ะ”หลิงไฉ่เวยคิดได้อย่างกระจ่างแจ้งก็ไม่ร้องไห้อีกต่อไป นางลุกยืนขึ้น ยืดท้องที่ปรากฏออกมาอย่างเห็นได้ชัดให้ตรง มองสิ่งที่เรียกว่าพี่ชายพี่สะใภ้เหล่านั้นอย่างเฉยเมย “พวกท่านวางใจ ข้าจะไม่เป็นภาระให้พวกท่าน ถึงแม้ว่าจะแต่งออกไปไม่ได้ ข้ายินยอมที่จะเป็นแม่ชี ดีกว่าอยู่ที่นี่ไปตลอดชั่วชีวิต”
“ท่านป้าน้อย อย่าได้หุนหันพลันแล่นเวลากล่าวหรือทำสิ่งต่างๆ เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเวลาที่คนเรามีโทสะจนถึงขีดจำกัด ฟันของผู้ใดจะไม่กระทบกับริมฝีปากบ้าง? ชั่วชีวิตของคนเรา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการกระทบกระทั่งกัน” ฟางซื่อยิ้มอย่างเย็นชาพลางกล่าว “เจ้ายังอายุน้อย ชีวิตยังอีกยาวไกล! ต่อให้เจ้าอยากจะไปเป็นแม่ชี นั่นก็ต้องทนรับกับความยากลำบากเหล่านั้นให้ได้ก่อนแล้ว”
ในใจของฟางซื่อพ่นน้ำลายถุ้ย นังแพศยา คิดว่าเป็นแม่ชีจะง่ายขนาดนั้นเชียว? ถ้าหากขาดบุรุษไป เจ้าที่ยังไม่ได้แต่งงานจะไม่ถูกบุรุษผู้อื่นทำลายทิ้งหรือ? ตนเองไม่รู้จักรักษากริยา ยังต้องการให้ทุกคนในบ้านจัดการเรื่องเลอะเทอะให้เจ้า ถือสิทธิ์อันใดกัน? เพราะว่าเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกระทบต่อการเล่าเรียนของจวิ้นเอ๋อร์ ช่างน่าชังเสียจริง! หากมิใช่เพราะผู้เฒ่าสองคนนั้นคอยปกป้อง นังเด็กแพศยาผู้นี้ก็คงไม่มีที่ซุกหัวนอนไปนานแล้ว
“ไฉ่เวย…” หวังซื่อคว้าตัวไฉ่เวยไว้ “เจ้าจะไปที่ใด? นี่ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างนะ! ”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องมายุ่งกับข้าแล้วเจ้าค่ะ” หลิงไฉเว่ยผลักหวังซื่อออกไปอย่างหมดความอดทน นางออกแรงมากเกินไป หวังซื่ออายุมากแล้ว เพราะความทุกข์ใจสะสมติดต่อมาหลายวันจนทำให้ร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก นางไม่ได้ยืนอย่างมั่นคง ร่างทั้งร่างล้มลงไปด้านหลัง ในชั่วพริบตา หวังซื่อก็ชนเข้ากับมุมโต๊ะ ศีรษะกระแทกจนเกิดเสียงดัง และเลือดสีสดก็ไหลออกมา
“ว้าย! ท่านแม่” ฟางซื่อและหม่าซื่อรีบร้อนวิ่งไปหาหวังซื่อ
หลานซื่อปิดตาของบุตรชายที่อยู่ในอ้อมแขน ไม่ให้เขาเห็นฉากนองเลือดนี้
แววตาของหลานซื่อเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ในสายตาของนาง ผู้คนเหล่านี้เป็นเพียงแค่ศัตรูที่อาศัยอยู่ด้วยกัน สิ่งเดียวที่นางสนใจมีเพียงแค่บุตรชายที่อยู่ในอ้อมแขนเท่านั้น
หลิงหลินที่อยู่ด้านข้างๆ หาวหวอดอย่างง่วงงุน เขาเอ่ยอย่างรำคาญว่า “ร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่เช้าตรู่ ช่างโชคไม่ดีจริงๆ พวกท่านจัดการมันกันเองเถิด! ข้าจะกลับไปนอนแล้ว! ”
บุตรสองคนที่หวังซื่อโปรดปรานรักใคร่มาโดยตลอด หลิงหลินไม่สนใจที่หวังซื่อได้รับบาดเจ็บ เขาหาวและเดินกลับไปที่ห้องนอน หลิงไฉ่เวยผู้ที่ผลักหวังซื่อ นางยิ่งเห็นด้วยตาของตนเองว่าหวังซื่อชนกับมุมโต๊ะเลือดสีสดไหลออกมาปริมาณมาก ทว่าหลิงไฉ่เวยเพียงแค่ชะงักฝีก้าวไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินออกไป ทั้งหมดนี้ หวังซื่อทอดมองและจดจำไว้ในใจ นางที่ในใจไม่ได้รับความเป็นธรรมนั่งร่ำไห้เสียงดังบนพื้นทันที
“ข้าทำบาปกรรมอันใด! ข้าไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด สวรรค์ เหตุใดท่านจึงไม่พาข้าไป ข้าตายไปก็ดีแล้ว จะมีชีวิตอยู่เพื่ออันใดกัน? ”
หลิงซงลุกยืนขึ้น สูบยาสูบและเดินออกไป
วุ่นวายตลอดทั้งเช้าแล้ว ตอนนี้เขาไม่ต้องการได้ยินเสียงใดๆ อีก
เฮ่อ! เจ้าใหญ่ซื่อตรงไม่มีความเห็น ช่วยอันใดไม่ได้ เจ้ารองถึงครอบครัวที่มีคนฉลาด แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สนใจเพียงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เจ้าสาม… ตัดขาดกับพวกเราแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการช่วยเหลือพวกเรา ไม่แทงเราด้วยมีดสักหลายทีก็ดีแล้ว เจ้าสี่… เด็กคนนี้ฝากความหวังเอาไว้ไม่ได้ บุตรสาวเพียงผู้เดียวที่ได้มาอย่างลำบากก็เหลวไหลเช่นนี้
เขากับหวังซื่อมีบุตรมากมาย ทว่าผลสุดท้ายกลับไม่มีประโยชน์เลยสักคน สวรรค์ช่างโหดร้ายกับเขาจริงๆ
หลิงซงยืนอยู่ในลานบ้าน มองดูเรือนทรุดโทรมหลังเล็กที่ห่างไกลออกไป ตามสายตาของเขา สามารถมองเห็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวหลิงต้าจื้อได้อย่างชัดเจน
เรือนทรุดโทรมหลังเล็กนั้นเป็นพื้นที่ที่หมู่บ้านไม่ต้องการ ตอนแรกที่หลิงต้าจื้อยืนกรานที่จะแต่งงานกับหยางซื่อ พวกเขาไม่พอใจยิ่งจึงกล่าวว่าหากเขาแต่งงานกับหยางซื่อจะให้แยกบ้าน ให้เขาแยกออกไปคนเดียว ต่อมายายแก่สร้างความลำบากใจให้หยางซื่อครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่ชอบลูกที่เกิดจากหยางซื่อ เดิมทีเป็นครอบครัวเดียวกัน ผลสุดท้ายกลับยิ่งห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ยิ่งสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมาถึงขั้นนี้
อันที่จริงหากคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หยางซื่อนอกจากชีวิตอาภัพเรื่องสามีแล้ว อย่างอื่นก็ล้วนดีมากทีเดียว แม้ว่าคราแรกตอนที่หยางซื่อแต่งเข้ามา ยังไม่ได้รับสินสอดจากครอบครัวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าไม่รับ แต่เป็นครอบครัวพวกเขาไม่ได้ตระเตรียมไว้ ไม่ต้องพูดถึงสินสอด แม้กระทั่งพิธีแต่งงานก็ไม่มี หลิงต้าจื้อรับหยางซื่อไปยังเรือนทรุดโทรมหลังเล็กหลังนั้น ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกัน ต่อจากนั้นหลิงจื่อเซวียน หลิงมู่เอ๋อร์และหลิงจื่ออวี้ก็เกิดมาตามลำดับ พวกเขาทั้งครอบครัวมีนิสัยนอบน้อม ไม่สู้คน ยายแก่ถึงกับขนาดขโมยกินไข่ไก่อยู่เดือนของหยางซื่อ ซึ่งไข่ไก่เหล่านั้นยังเป็นของที่ส่งมาจากครอบครัวฝ่ายมารดาของหยางซื่อ
ฉากแต่ละฉาก เรื่องราวในอดีตก็ผุดขึ้นในหัวของเขา เมื่อเห็นว่าครอบครัวของบุตรคนที่สามอยู่อย่างรักใคร่และอบอุ่น แต่ครอบครัวอื่นๆ กลับหน้าไหว้หลังหลอก หน้ากับใจไม่ตรงกัน แต่ละคนมีแผนการอยู่ในใจของตนเอง หลิงซงกำลังคิดว่า ถ้าตอนแรกไม่แยกบ้านกัน พี่ชายบุญธรรมของหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นก็จะเป็นที่พึ่งพิงของพวกเขาแล้ว หลานชายของเขาแต่ละคนล้วนโดดเด่น มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างนี้ ยังกลุ้มใจว่าจะใช้ชีวิตไม่ดีอีกหรือ?
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้รับรู้ถึงการ ‘สำนึกผิด’ ของหลิงซง เขาสำนึกผิดไม่ใช่เพราะคิดว่าทำเรื่องอันใดผิดไป แต่สำนึกผิดเพราะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินได้
ถ้าหลิงมู่เอ๋อร์รับรู้ถึงความคิดของหลิงซง นางคงจะส่งคำพูดให้กับเขาไปหนึ่งประโยคอย่างแน่นอนว่า “ตาเฒ่า ยังไม่ตื่นอีกหรือ? เช็ดขี้ตาแล้วไปนอนต่อเสียเถิด!”
ในตัวเมือง บนแผงขายของ หยางซื่อกำลังจุดไฟ หลิงต้าจื้อเก็บกวาดถ้วยตะเกียบไปพลาง ในเวลาเดียวกันก็ทักทายลูกค้าเหล่านั้นไปด้วย หลิงมู่เอ๋อร์รับผิดชอบในการทำข้าวห่อไข่ในสถานที่ตั้งแผงขายของ
ข้าวห่อไข่หนึ่งร้อยชิ้นที่ทำเมื่อเช้านี้ขายหมดแล้ว ตอนนี้ยังมีลูกค้ามาที่นี่อยู่ พวกเขาจำเป็นต้องทำสดในที่แผงขายเท่านั้น
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วยาม พวกเขาขายข้าวห่อไข่ได้สองร้อยชิ้น ไม่เพียงแค่นี้ ดูเหมือนว่ายังคงมีคนทยอยมาที่นี่อีกจำนวนมาก
หยางซื่อเช็ดเหงื่อ และเหลือบมองหลิงจื่ออวี้ที่อยู่ด้านข้าง หลิงจื่ออวี้ยังเด็กเกินไป พวกเขาไม่กล้าให้เขาช่วยงาน จึงปล่อยให้เขานั่งเล่นอยู่ข้างๆ หลิงมู่เอ๋อร์มอบของเล่นหนึ่งชิ้นให้หลิงจื่ออวี้ เขาถือมันไว้ในมือและเล่นอย่างมีความสุข ถึงอย่างไรเด็กน้อยก็ชื่นชอบของเล่น และหลิงจื่ออวี้เข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก เห็นสิ่งใดก็ล้วนแปลกใหม่ทั้งสิ้น
“มู่เอ๋อร์ ไม่มีไข่ไก่แล้ว” หยางซื่อกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “ดูเหมือนว่าวันนี้จะต้องพอแค่นี้แล้ว”
“ท่านแม่ ยังไม่สิ้นสุดเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปกล่าวกับหยางซื่อ “ข้าเอาแป้งหมี่มา ในเมื่อตอนนี้ยังมีลูกค้าอยู่ ก็ถามพวกเขาว่าจะยินยอมกินเกี๊ยวที่ข้าห่อหรือไม่เจ้าคะ”
“เกี๊ยว นั่นคือสิ่งใด? ” หลิงต้าจื้อกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ ได้ยินคำพูดน่างงงวยของหลิงมู่เอ๋อร์ “พวกข้ายังไม่เคยได้ยินเลย!”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดในใจ หรือว่าคนที่นี่ยังไม่เคยกินเกี๊ยว? เช่นนั้น นี่ก็ถือเป็นโอกาสเช่นกัน
นางยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “เป็นผู้วิเศษในความฝันท่านนั้นสอนข้า เขายังบอกว่าเขาชอบทานเกี๊ยวมากที่สุด จากนั้นจึงได้สอนให้ข้าทำเกี๊ยวเจ้าค่ะ”
“มู่เอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ” หยางซื่อมองนางอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “สวรรค์มีตาแล้ว คนดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี”
ในเวลานี้ มีสตรีนางหนึ่งหยุดอยู่หน้าแผงขายของ เอ่ยถาม “ข้าต้องการข้าวห่อไข่สามชิ้น”
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านอาสะใภ้ ข้าวห่อไข่ได้ขายหมดแล้ว และช่วงนี้ก็เก็บไข่ได้ยาก ช่วงระยะนี้ข้าไม่ขายข้าวห่อไข่แล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับสตรีผู้นั้น
ครั้นสตรีนางนั้นได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าทำการค้า เหตุใดถึงไม่เตรียมให้พร้อมเล่า? ข้าเดินมาหลายชั่วยาม จากหมู่บ้านถึงในเมือง ก็เพราะได้ยินมาว่าข้าวห่อไข่ของบ้านเจ้าอร่อย ตอนนี้เจ้าบอกกับข้าว่าไม่มีแล้ว? เจ้าล้อข้าเล่นใช่หรือไม่? ”
“ท่านอาสะใภ้ อย่าเพิ่งโมโหเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยความอดทน ไม่ใช่เพราะว่านางเห็นแก่เงิน แต่การทำการค้า แน่นอนว่าต้องใช้ความสันติก่อเกิดความมั่งคั่งร่ำรวย ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อทำการค้า แน่นอนว่าต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าที่เจ้าเล่ห์ทุกรูปแบบ นางได้เตรียมใจไว้นานแล้ว ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงลูกค้า ทั้งยังไม่ใช่ศัตรู นางจะไม่ใช้วิธีการเช่นเดียวกับที่รับมือกับหวังซื่อไปใช้กับลูกค้าเหล่านี้ “ตอนนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว ไก่ยังไม่วางไข่ ไข่ไก่ของแต่ละเรือนมีไม่มาก ท่านเป็นคนชนบท น่าจะทราบเหตุผลข้อนี้ดี อีกอย่างแล้ว ไม่มีข้าวห่อไข่ ยังมีอาหารชนิดอื่น ที่ข้ายังมีข้าวผัด เป็นข้าวผัดของข้าวห่อไข่ รับรองอร่อยมากแน่นอนเจ้าค่ะ และยังมีเกี๊ยว สิ่งนี้เป็นอาหารที่ข้าเพิ่งจะคิดค้นออกมาใหม่ ท่านยังได้เป็นคนแรกที่ได้ทาน! หากท่านต้องการ ข้าจะลดราคาให้ท่านสองในสิบ แต่เดิมชามละสิบห้าอีแปะ ข้าคิดท่านเพียงแค่สิบสองอีแปะเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สตรีผู้นั้นได้ยินมาว่าข้าวห่อไข่หนึ่งชิ้นราคาสามสิบอีแปะ ตอนนี้เกี๊ยวนี่ราคาสิบห้าอีแปะ และนางต้องจ่ายเพียงแค่สิบสองอีแปะ จึงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย อีกอย่างนางเดินมาหลายชั่วยามและหิวมานานแล้ว ตอนนี้ได้กลิ่นที่หอมกรุ่นนั้น จึงเริ่มควบคุมไม่ได้
“ข้าวผัดราคาเท่าใด?” สตรีผู้นั้นมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น นั่งลงที่โต๊ะด้านหน้า
“ถ้าเป็นเฉพาะข้าวผัด ก็ยี่สิบอีแปะแล้วกันเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ย “ไม่ใช่ว่าไข่ไก่ของข้ามีค่าสิบอีแปะ แต่เป็นเพราะท่านอาสะใภ้ตรากตรำเดินทางมาไกลแต่ไม่ได้กินข้าวห่อไข่ ในใจข้ารู้สึกละอายใจ จึงอยากชดใช้ให้ท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ ถ้าเป็นผู้อื่นมาถาม ข้าจะขายให้ในราคายี่สิบห้าอีแปะอย่างแน่นอน”
ครั้นสตรีนางนั้นได้ยิน สีหน้าก็ยิ่งดีขึ้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ข้าวผัดยี่สิบอีแปะ เกี๊ยวสิบสองอีแปะ เช่นนั้นเป็นเกี๊ยวก็แล้วกัน!
“เอาเกี๊ยวให้ข้าหนึ่งชาม”สตรีนางนั้นกล่าว
“ได้เลยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับ และเริ่มห่อเกี๊ยวในทันที เมื่อคืนวานนางห่อเกี๊ยวไว้แล้วไม่น้อยและใส่ไว้ในมิติ ตอนนี้นำเอาออกมายังสดใหม่อยู่
แน่นอนว่า หยางซื่อและหลิงต้าจื้อล้วนไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเกี๊ยววางอยู่ที่ใด เพียงแค่คิดว่านางวางแยกไว้ต่างหาก พวกเขาจึงไม่ได้สนใจคอยเฝ้าดู
ตอนที่เกี๊ยวร้อนๆ ยกมาวางขึ้นบนโต๊ะ สตรีผู้นางก็ได้กลิ่นอันหอมกรุ่น สูดหายใจเข้าลึกๆ “หอมเหลือเกิน”
“ท่านอาสะใภ้ นี่คือเครื่องปรุงรสของพวกเรา ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์บีบเครื่องปรุงรสให้สตรีผู้นั้นจำนวนหนึ่ง “เพราะส่วนประกอบหายาก ถ้าหากยามปกติต้องการเพิ่มเครื่องปรุงรส จะต้องเพิ่มอีกห้าอีแปะเจ้าค่ะ ท่านอาสะใภ้เป็นลูกค้ารายแรก ข้าจะเพิ่มเครื่องปรุงรสให้ท่านมากหน่อย และไม่คิดเงินส่วนต่างเพิ่มเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กสาวผู้นี้ช่างทำการค้าเป็นจริงๆ ” สตรีนางนั้นมองนางด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากอร่อย ข้าจะกลับมาอีก”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นขอบคุณท่านอาสะใภ้มากเจ้าค่ะที่ให้ความสนใจการค้าของข้า”หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยจบ จึงถอยหลังไปสองสามก้าว และเดินไปนั่งที่หน้าเตาต่อ ไม่รบกวนการทานอาหารของหญิงผู้นั้น
“ไอ๊หยา อร่อยยิ่งนัก” สตรีนางนั้นกัดไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็ไม่สนใจว่ามันจะร้อน จากนั้นก็กัดอีกหนึ่งคำ “ช่างอร่อยเหลือเกิน สิ่งที่เรียกว่าเกี๊ยวนี่ ช่างอร่อยจริงๆ ”
เมื่อสักครู่ข้าวห่อไข่ขายหมดแล้ว ลูกค้าเหล่านั้นจึงทำได้แต่แยกย้ายไป ด้วยท่าทางที่ดูราวกับผิดหวัง ในตอนนี้หลิงมู่เอ๋อร์ได้เปิดตัวอาหารใหม่ พวกเขาก็เริ่มเข้ามาล้อมรอบกันทีละคน
“สาวน้อย เจ้าช่างใจร้ายจริงๆ พวกข้าก็ไม่ได้ซื้อข้าวห่อไข่ เหตุใดเจ้าก็ไม่แนะนำอาหารชนิดใหม่นี้ให้ข้าบ้าง” คนด้านข้างบ่น “เร็วเข้า เอามาให้พวกข้าหนึ่งชามใหญ่ ไม่ไม่ สองชาม ข้าต้องการสองชาม”
ประสบการณ์ในอดีตบอกคนเหล่านั้น ถ้าลงมือช้าเกินไป อีกสักประเดี๋ยวก็จะไม่มีแล้ว ฝีมือของสาวน้อยผู้นี้ ตอนนี้มีชื่อเสียงในตัวเมืองแล้ว
“ได้เจ้าค่ะ พี่ชาย ท่านนั่งรอสักครู่ก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “กำลังจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
คนอื่นๆ กำลังเข้าแถวอยู่ บอกกล่าวหลิงมู่เอ๋อร์ทีละคนว่าต้องการกี่ชาม หลิงมู่เอ๋อร์มีความจำเป็นเลิศ ขอเพียงแค่เคยกล่าวกับนาง นางก็ทำออกมาได้อย่างแม่นยำ ทุกคนพบว่าเด็กสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันก็ยกย่องฝีมือของนาง แล้วก็ยังยกย่องความสามารถของนางที่เพียงแค่ผ่านตาก็จดจำได้ไม่ลืม