“นะ…นี่มัน สุดยอดไปเลย!” ไซเลอร์อุทานขึ้นมาเสียงดังลั่น หลังจากที่เขาลองยิงธนูโลหะสีดำออกไปเข้ากลางเป้าซ้อมเมื่อสักครู่
“สุดยอดยังไงของเจ้าไซเลอร์? ปกติเจ้าก็ยิงแม่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” เดนิสที่ในชุดแบทเทิลสูทรัดรูปสีดำกล่าวถามเพื่อนที่ใส่ชุดเหมือนกัน
“ท่านเดนิสธนูนี่ทั้งเบาทั้งแข็งแกร่ง แถมยังใช้แรงน้อยกว่าปกติมากด้วย มันจะทำให้ข้าสามารถยิงลูกศรออกไปได้เร็ว และถี่กว่าเดิมมาก คอยดูนะขอรับ!” หลังจากที่โชว์คอมพาวด์โบว์ หรือธนูสมัยใหม่ที่มีรอกทดกำลังติดอยู่ที่ปลายทั้งสองด้านให้กับบุตรชายบารอนได้ดู ไซเลอร์ก็สาธิตการยิงลูกศรออกไปอีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ได้เพียงแค่ยิงลูกศรออกไปทีละดอก แต่ยิงออกไปทีละสองดอกต่อเนื่องกันด้วยความเร็ว ตั้งแต่ล้วงดึงลูกศรออกมาจากซองจนง้างแล้วยิงออกไปสี่รอบติดกัน ยังใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และลูกศรทั้งหมดแปดดอกนั้นก็เข้ากลางเป้าทั้งหมดไม่พลาดแม้แต่ดอกเดียว
เดนิสที่เคยซ้อมยิงธนูกับไซเลอร์มาก่อน ย่อมรู้ว่าบุตรชายของยอดนักธนูแห่งฮาเวสตี้นั้นมีฝีมือดีไม่แพ้ผู้เป็นบิดา ทั้งความเร็วในการยิง ระยะการยิงที่ไกล รวมถึงความแม่นยำก็อยู่ในระดับยอดฝีมือของคนรุ่นเดียวกัน แต่ในตอนนี้ตรงหน้าของเขาไซเลอร์กลับทำได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าจริงๆ
“เอิ่ม…ปกติเจ้าก็ยิงได้แม่นอยู่แล้ว แต่นี่มันจะมากเกินไปรึเปล่า ระยะ 20 เมตรเจ้าทำได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ? แค่เปลี่ยนธนูใหม่เนี่ยนะ!” เดนิสที่เห็นผลงานการยิงของไซเลอร์ก็อดที่จะตกใจไม่ได้
“มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นนี่หรอกนะขอรับ ข้าต้องปรับแต่งมันตามวิดีโออะไรนั่นที่สอนวิธีใช้อยู่เป็นชั่วโมง แถมยังทดลองยิงไปแล้วตั้งหลายรอบ นี่ยังไม่รวมที่ต้องปรับแต่งพิเศษเพื่อไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยดึงอีก ทำให้ข้าสามารถใช้มือเปล่าดึงสายได้ ว่าแต่ท่านเดนิสเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” ไซเลอร์พยายามอธิบายว่าเขาต้องปรับแต่งชิ้นส่วนธนูที่ซับซ้อนนี้ ให้เหมาะกับตัวเองอย่างยากลำบาก แม้ว่าเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาที่น้อยมากเกินกว่าจะบอกว่าลำบากได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองดูเก่งเพราะอาวุธมากกว่าฝีมือ
“แหมๆ ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะ แต่ในส่วนของข้าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ข้ายังคงใช้ดาบเล่มเดิมของตัวเองนี่แหละ แต่ใช้เวลาไปกับการศึกษาวิธีใช้อุปกรณ์แปลกๆที่ติดอยู่กับชุดของพวกเรามากกว่า” ชายหนุ่มผมแดงพูดไปด้วยก็สาธิตเปิดการใช้งานหน้าจอที่เกราะแขน และกล่องมิติเก็บของที่เข็มขัดให้กับเพื่อนได้ดู
ชายหนุ่มทั้งสองยังคงอวดอุปกรณ์ไฮเทคที่ตัวเองเลือกมาใช้ในภารกิจครั้งนี้เหมือนกับเด็กได้ของเล่นใหม่ ซึ่งเรญ่าที่เป็นหัวหน้าภารกิจก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะสิ่งนี้จะเป็นการทำให้พวกเขาได้คุ้นเคยกับเครื่องมือต่างๆได้มากขึ้น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า
แต่ก็ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดแม้ว่าจะเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน แต่แผนการช่วยนักโทษในครั้งนี้ทั้งหมดเธอต้องเป็นคนจัดการเอง เพราะภามยังคงอยู่ที่ปราสาทของพวกโอเมก้า และที่จริงแล้ววันนี้เธอก็มีภารกิจเดิมอยู่แล้วอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยนใหม่หมด
ถึงจะค่อนข้างวุ่นวายแต่เรญ่าที่ศึกษาการใช้งานเครื่องมือในห้องบัญชาการรบแห่งนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว ก็สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นสูงให้ประมวลผลความเป็นไปได้ของแผนการ ว่าจะมีความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์รวมทั้งเตรียมแผนสำรองเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย งานนี้จึงร่นระยะเวลาไปได้มากทีเดียว
ทางด้านเดนิส และไซเลอร์ที่เตรียมตัวในส่วนของตัวเองเรียบร้อย ก็เดินเข้ามารายงานตัวกับหัวหน้าภารกิจเผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย เพราะพวกเขาเห็นว่าเรญ่ากำลังเคร่งเครียดจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ตรงหน้า ที่เต็มไปด้วยแผนผังของถ้ำ และอาคารมากมาย
“พี่เรญ่าพวกเราเตรียมตัวเสร็จแล้ว มีอะไรให้พวกข้าช่วยไหมขอรับ?” เดนิสกล่าวถามหญิงสาวด้วยความตั้งใจจริง เพราะนี่เป็นภารกิจแรกตั้งแต่มาอยู่ที่ฟาร์มกลางหุบเขาแห่งนี้
“ทางนี้ก็เสร็จแล้วเหมือนกัน ข้าแค่ทบทวนแผนการเล็กน้อยเท่านั้น เอาล่ะเดี๋ยวข้าจะอธิบายแผนให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียดเลยก็แล้วกัน ดูตรงภาพนี้ นี่คือถ้ำที่ใช้เป็นคุกขังนักโทษของโอเมก้า…” อดีตนักฆ่าสาวเริ่มอธิบายแผนการของเธอให้กับสองหนุ่มด้วยความตั้งใจ แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์ลอบเร้นมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พาคนอื่นในฟาร์มไปทำภารกิจโดยที่ไม่มีภามไปด้วย
อีกทางด้านหนึ่ง ณ ปราสาทสีเทา ในขณะที่ภาม และมีอากำลังแอบฟังการประชุมของกลุ่มโอเมก้าแห่งฟลอริสตี้อยู่นั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าด้านหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ภายในชั้นใต้ดินของปราสาท จะมีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นในความมืดเพียงคนเดียว
ซึ่งเธอก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแอนเน่นั่นเอง เด็กน้อยเหมือนว่าจะตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว เธอจึงเดินเข้าไปตรงหน้าประตูพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปสัมผัสกับมัน แสงสว่างสีฟ้าจางๆส่องประกายรอบมือเล็กๆนั้น จนมันแผ่ซ่านกระจายไปทั่วลวดลายพิสดารบนประตูบานนี้
“แกร๊ก! แกร๊ก! กึง! ครืด!….” เสียงกลไกโลหะของประตูบานใหญ่ทำงานอย่างต่อเนื่องอยู่สักครู่ บานเหล็กหนาทั้งสองข้างก็ค่อยๆเปิดออกกว้างด้วยตัวของมันเองช้าๆ ซึ่งเมื่อมองจากด้านนอกเข้าไปก็ไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความมืดมิดดุจดั่งเป็นอีกมิติหนึ่งที่แยกออกจากภายนอก
แอนเน่ลังเลใจอยู่สักครู่ด้วยเธอไม่อาจมองเห็นอะไรเลยสักนิด แต่เด็กน้อยก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในจิตใจมันทำให้หัวใจดวงน้อยนี้เต้นแรงขึ้น ด้วยความรู้สึกนี้เธอจึงใช้มือสองข้างกุมหัวใจของตนเพื่อปลอบประโลม และสร้างความกล้าให้กับตัวเอง
‘ข้าต้องเข้าไปข้างในมีบางอย่างเรียกข้า ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่ากำลังทรมานอยู่เลย ข้าไม่อาจนิ่งเฉยเช่นนี้ได้’ แอนเน่ได้แต่คิดปลอบใจตัวเอง และเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ท่ามกลางความมืดมิดอันน่าหวาดหวั่นไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ
เสียงกลไกโลหะขนาดใหญ่ที่ทำงานจากการเปิดประตูในห้องใต้ดิน ดังลั่นไปทั่วทั้งปราสาทหินแห่งนี้ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนในห้องประชุมโต๊ะกลมประหลาดใจไม่น้อยกับเสียงไม่คุ้นเคยนี้ แต่สำหรับเจ้าของบ้านอย่างจอมเวทย์ฮานเขากลับมีสีหน้าตกใจสุดขีด และร้อนรนยิ่งกว่าแขกผู้มาเยือนหลายเท่านัก
สมาชิกผู้นำทั้งหมดของกลุ่มโอเมก้าวิ่งตามหลังจอมเวทย์ชรามาเรื่อยๆ โดยไม่รู้เรื่องราวอันใด สิ่งที่ฮานบอกกับทุกคนก็คือน่าจะมีผู้บุกรุกยอดฝีมือแอบเข้ามาในห้องลับของตนเท่านั้น สำหรับผู้ที่กล้าบุกรุกสถานที่ลับของจอมเวทย์ระดับสูงนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน พวกเขาย่อมไม่อาจปล่อยผ่านได้
แน่นอนว่าภามกับมีอาที่ล่องหนอยู่ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เพราะนี่ก็อาจเป็นเบาะแสสำคัญอย่างหนึ่งที่อาจใช้เล่นงานศัตรูก็เป็นได้ และในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงที่หน้าประตูห้องใต้ดินที่เปิดค้างไว้อยู่ เหล่าคนรับใช้ของปราสาทมากมายถือคบไฟให้ความสว่างตลอดทาง พร้อมกับอาวุธครบมือ
“นายท่านพวกเราจะเข้าไปเลยหรือไม่ขอรับ?” บอดี้การ์ดที่ใส่ชุดเกราะหนังพร้อมรบกล่าวถามจอมเวทย์ชราผู้เป็นเจ้านายด้วยเสียงขึงขัง ท่าทางของเขาไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อผู้บุกรุกแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวใจเย็นๆ ข้าต้องปลดการทำงานของม่านอาคมบังตาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าอาจเข้าไปติดตาข่ายอาคมที่จับตัวผู้บุกรุกเอาไว้ก็ได้” กล่าวอธิบายเล็กน้อยฮานก็ก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งพร้อมกับยื่นแขนขวาออกไปตรงหน้า แล้วร่ายคาถาออกมาซึ่งทำให้หมอกสีดำที่พรางตาคนด้านนอกไว้หายไป
หลังจากไร้ซึ่งสิ่งบดบังแสงไฟจากคบเพลิงจำนวนมากก็ส่องสว่างเข้าไปภายใน นอกจากที่นี่จะเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์แปลกๆมากมายแล้ว ยังมีกรงเหล็กมากมายเรียงรายอยู่เต็มไปหมดทุกขนาด ตั้งแต่เล็กเท่ากรงดักหนูไปจนถึงใหญ่เท่ารถบรรทุก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงกลับเป็น…
“แอนเน่! เจ้า อย่าเข้าไปใกล้มันนะ! รีบหนีออกมา!” ฮานตะโกนเรียกเด็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก
MANGA DISCUSSION